object(WP_Query)#2614 (52) {
  ["query"]=>
  array(7) {
    ["cat"]=>
    string(0) ""
    ["post_type"]=>
    string(4) "post"
    ["post_status"]=>
    string(7) "publish"
    ["posts_per_page"]=>
    int(12)
    ["orderby"]=>
    string(4) "date"
    ["order"]=>
    string(4) "DESC"
    ["paged"]=>
    int(4)
  }
  ["query_vars"]=>
  array(66) {
    ["cat"]=>
    string(0) ""
    ["post_type"]=>
    string(4) "post"
    ["post_status"]=>
    string(7) "publish"
    ["posts_per_page"]=>
    int(12)
    ["orderby"]=>
    string(4) "date"
    ["order"]=>
    string(4) "DESC"
    ["paged"]=>
    int(4)
    ["error"]=>
    string(0) ""
    ["m"]=>
    string(0) ""
    ["p"]=>
    int(0)
    ["post_parent"]=>
    string(0) ""
    ["subpost"]=>
    string(0) ""
    ["subpost_id"]=>
    string(0) ""
    ["attachment"]=>
    string(0) ""
    ["attachment_id"]=>
    int(0)
    ["name"]=>
    string(0) ""
    ["pagename"]=>
    string(0) ""
    ["page_id"]=>
    int(0)
    ["second"]=>
    string(0) ""
    ["minute"]=>
    string(0) ""
    ["hour"]=>
    string(0) ""
    ["day"]=>
    int(0)
    ["monthnum"]=>
    int(0)
    ["year"]=>
    int(0)
    ["w"]=>
    int(0)
    ["category_name"]=>
    string(0) ""
    ["tag"]=>
    string(0) ""
    ["tag_id"]=>
    string(0) ""
    ["author"]=>
    string(0) ""
    ["author_name"]=>
    string(0) ""
    ["feed"]=>
    string(0) ""
    ["tb"]=>
    string(0) ""
    ["meta_key"]=>
    string(0) ""
    ["meta_value"]=>
    string(0) ""
    ["preview"]=>
    string(0) ""
    ["s"]=>
    string(0) ""
    ["sentence"]=>
    string(0) ""
    ["title"]=>
    string(0) ""
    ["fields"]=>
    string(0) ""
    ["menu_order"]=>
    string(0) ""
    ["embed"]=>
    string(0) ""
    ["category__in"]=>
    array(0) {
    }
    ["category__not_in"]=>
    array(0) {
    }
    ["category__and"]=>
    array(0) {
    }
    ["post__in"]=>
    array(0) {
    }
    ["post__not_in"]=>
    array(0) {
    }
    ["post_name__in"]=>
    array(0) {
    }
    ["tag__in"]=>
    array(0) {
    }
    ["tag__not_in"]=>
    array(0) {
    }
    ["tag__and"]=>
    array(0) {
    }
    ["tag_slug__in"]=>
    array(0) {
    }
    ["tag_slug__and"]=>
    array(0) {
    }
    ["post_parent__in"]=>
    array(0) {
    }
    ["post_parent__not_in"]=>
    array(0) {
    }
    ["author__in"]=>
    array(0) {
    }
    ["author__not_in"]=>
    array(0) {
    }
    ["ignore_sticky_posts"]=>
    bool(false)
    ["suppress_filters"]=>
    bool(false)
    ["cache_results"]=>
    bool(true)
    ["update_post_term_cache"]=>
    bool(true)
    ["update_menu_item_cache"]=>
    bool(false)
    ["lazy_load_term_meta"]=>
    bool(true)
    ["update_post_meta_cache"]=>
    bool(true)
    ["nopaging"]=>
    bool(false)
    ["comments_per_page"]=>
    string(2) "50"
    ["no_found_rows"]=>
    bool(false)
  }
  ["tax_query"]=>
  object(WP_Tax_Query)#2621 (6) {
    ["queries"]=>
    array(0) {
    }
    ["relation"]=>
    string(3) "AND"
    ["table_aliases":protected]=>
    array(0) {
    }
    ["queried_terms"]=>
    array(0) {
    }
    ["primary_table"]=>
    string(8) "wp_posts"
    ["primary_id_column"]=>
    string(2) "ID"
  }
  ["meta_query"]=>
  object(WP_Meta_Query)#2615 (9) {
    ["queries"]=>
    array(0) {
    }
    ["relation"]=>
    NULL
    ["meta_table"]=>
    NULL
    ["meta_id_column"]=>
    NULL
    ["primary_table"]=>
    NULL
    ["primary_id_column"]=>
    NULL
    ["table_aliases":protected]=>
    array(0) {
    }
    ["clauses":protected]=>
    array(0) {
    }
    ["has_or_relation":protected]=>
    bool(false)
  }
  ["date_query"]=>
  bool(false)
  ["request"]=>
  string(221) "
					SELECT SQL_CALC_FOUND_ROWS  wp_posts.ID
					FROM wp_posts 
					WHERE 1=1  AND wp_posts.post_type = 'post' AND ((wp_posts.post_status = 'publish'))
					
					ORDER BY wp_posts.post_date DESC
					LIMIT 36, 12
				"
  ["posts"]=>
  array(12) {
    [0]=>
    object(WP_Post)#2610 (24) {
      ["ID"]=>
      int(249833)
      ["post_author"]=>
      string(2) "74"
      ["post_date"]=>
      string(19) "2023-08-15 13:12:06"
      ["post_date_gmt"]=>
      string(19) "2023-08-15 06:12:06"
      ["post_content"]=>
      string(11557) "“ การที่ น้ำตาลในเลือดสูง เปรียบเหมือนทุกเซลล์ในร่างกายถูกเชื่อม  ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัว คลายตัวได้ตามปกติ  คนเป็นเบาหวานจึงมักปวดตามกล้ามเนื้อต่าง ๆ  เดินไปชนอะไรนิดหน่อยผิวก็เขียวเป็นจ้ำ กล้ามเนื้อหัวใจก็บิดตัวไม่ดี  ไตเสื่อม  ตาเป็นต้อกระจก  ใบหน้าเหี่ยวย่น ผิวไม่อิ่มฟู เพราะคอลลาเจน อีลาสตินก็เชื่อมเหมือนกัน

“ น้ำตาลจะเข้าไปทดแทนเนื้อเยื่อในกระดูก ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนเพิ่มขึ้น  พอน้ำตาลไปเกาะสมอง ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์เร็วขึ้น  น้ำตาลที่สะสมเป็นไขมัน เป็นเซลลูไลท์ เป็นโรคอ้วน   นอกจากนั้นพอไขมันไปสะสมในเลือด ทำให้เกิดพลัค (Plaque)  ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือด สโตรก   รวมทั้งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเสีย เกิดภาวะแพ้อาหารแฝง ติดเชื้อง่ายกว่าปกติ  เมื่อโควิด 19 ระบาด  คนเป็นเบาหวานเสียชีวิตมากขึ้น เพราะภูมิคุ้มกันไม่ดี”

 

เกณฑ์ชี้วัดว่าน้ำตาลในเลือดสูง         

“นอกจาการวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่ทุกคนรู้จักแล้ว   การวัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด ฮีโมโกลบิน เอวันซี  ( Hemoglobin A1C - HbA1c) ก็สำคัญ เพราะจะทราบถึงพฤติกรรมของเราย้อนหลังไปได้ถึง 3เดือน “  ค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุดของ HB A1c    คือ 4.5-5   ถ้าจะเกินกว่านี้ก็ไม่ควรเกิน 6  ถ้า 6.5 ถือว่าใกล้เป็นเบาหวาน หรืออาจเป็นเบาหวานแล้วก็ได้  และถ้าเกิน 7 ไม่ดีแล้ว   หากพบว่า HB A1c อยู่ในระดับ 5.5-6  คุณต้องปรับปรุงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต  ทั้งการกินอาหาร การออกกำลังกาย ลดความเครียด ก่อนจะกลายเป็นเบาหวาน “ นอกจากนั้นในต่างประเทศยังมีการวัด   AGEs (Advanced Glycation End-Products)  ซึ่งเป็นภาวะก่อนจะเป็นเบาหวาน ถ้ากำจัดสารตัวนี้ได้ เราก็จะไม่เป็นเบาหวาน “ ไกลเคชั่น (Glycation)  เกิดจากน้ำตาลทำปฏิกิริยากับโปรตีนในร่างกาย  ทำให้เซลล์ถูกเคลือบด้วยสารแก่ เป็นภาวะที่น้ำตาลในกระแสเลือดไปทำปฏิกิริยาทางเคมีกับโปรตีนในร่างกาย  ก่อให้เกิดความเสื่อมและความชราก่อนวัย “ ไกลเคชั่น เปรียบเหมือนสนิมเกาะเหล็ก ในกรณีนี้คือน้ำตาลเริ่มไปเกาะตามข้อต่อของโมเลกุลต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้โครงสร้างเซลล์เริ่มเปลี่ยน   ผลวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการทำงานของสมอง พบว่าเมื่อน้ำตาลเริ่มไปเกาะไปกวนสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ((hippocampus) ทำให้สมาธิไม่ค่อยดี หลงลืมอะไรง่าย คุย ๆ อยู่นึกชื่อคนไม่ออก  เพราะน้ำตาลไปรบกวนโครงสร้างและการทำงานของสมอง “ ผลการวิจัยอีกชิ้น ซึ่งตัดกระดูกของคนที่ยังไม่เป็นกระดูกพรุนแต่อายุมากกว่า 44 ไปตรวจ พบว่า การที่สารไกลเคชั่นเริ่มไปแทรกเข้าไป ทำให้โครงสร้างกระดูกเปลี่ยนไป คือยังไม่ถึงกับทำให้กระดูกบาง แต่เริ่มบาง “ จะเห็นได้ว่าน้ำตาลสูงไป ต่ำไป ไม่ดีทั้งสองแบบ เราจึงต้องอยู่บนทางสายกลาง”    

แต่ละวันเราต้องการน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน

          “ ขึ้นอยู่กับกิจกรรม วัย อาชีพ และโรคของแต่ละคน  นอกจากนั้นอวัยวะแต่ละอวัยวะก็ต้องการใช้น้ำตาลไม่เท่ากัน  คำว่าใช้น้ำตาล ไม่ใช่ การเผาผลาญน้ำตาลเสียทุกกรณีไป   การเผาผลาญพลังงาน เรียกว่า  fat metabolism  ส่วนการใช้น้ำตาล คือ   glycolysis  ซึ่งแต่ละคนใช้ไม่เท่ากัน “เมื่อก่อนกิจกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ทำงานใช้แรง ตื่นเช้ามาไปทำงาน ทำสวน  การเผาผลาญพลังงานในแต่ละวันสูง  จึงกินข้าวเยอะ  แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีทำให้มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย  งานที่ทำส่วนใหญ่ก็นั่งโต๊ะ ไม่ค่อยได้เดินไปไหน เมื่อไม่ต้องใช้แรงมากเท่าเมื่อก่อนก็ควรจะต้องลดการกินแป้งลง โดยเฉพาะ ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ซึ่งมีน้ำตาลค่อนข้างสูง “ ปัจจุบัน อาหารใดน้ำตาลมากน้ำตาลน้อย  เราดูจากค่าดัชนีน้ำตาล  (Glycemic Index: GI) ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกความสามารถของร่างกายในการดูดซึมอาหารชนิดต่าง ๆ   แบ่งเป็นอาหารจีไอต่ำ มีค่าต่ำกว่า 55  อาหาร จีไอปานกลาง มีค่าระหว่าง 55-69  ส่วนอาหารจีไอสูง คืออาหารที่มีค่าตั้งแต่ 70 ขึ้นไป “ โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานอาหารจีไอต่ำ  ได้แก่อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักใบทุกชนิด ถั่ว ธัญพืช  และผลไม้รสหวานน้อย เช่น ลูกพลัม เชอรี่    และหลีกเลี่ยงอาหารจีไอสูง  ซึ่งได้แก่ กลุ่มแป้ง ขนมปัง โดนัท ขนมเค้ก น้ำส้ม  ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวเหนียว  ซีเรียล สปาเกตตี้ ที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม “ อย่างไรก็ตาม อาหารจีไอสูง ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป บางครั้งเวลาที่เราต้องการความสดชื่น ไม่จำเป็นว่าต้องกินแต่อาหารจีไอต่ำตลอดเวลา  หรือผักบางชนิดที่จีไอค่อนข้างสูง เช่น ผักกลุ่มฟักทอง มันหวานต่าง ๆ  แต่ก็มีไฟเบอร์ แคโรทีน จึงไม่ได้เป็นตัวร้าย 100 เปอร์เซ็นต์” อยากให้เขา(น้ำตาล) มามีบทบาทในชีวิตแค่ไหน เราเลือกได้ค่ะ ข้อมูลจาก : พญ. สาริษฐา สมทรัพย์
  เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาหารกาย & อาหารใจเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง แมลงสาบ เชื้อโรคร้าย กว่าที่คิด ออกกำลังกาย 10 นาทีขึ้นไป ช่วยลดโรค" ["post_title"]=> string(108) "ว่ากันด้วยเรื่องของ "น้ำตาลในเลือดสูง"" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(190) "%e0%b8%a7%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%99%e0%b9%89" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-15 13:12:06" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-15 06:12:06" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249833" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [1]=> object(WP_Post)#2609 (24) { ["ID"]=> int(249829) ["post_author"]=> string(2) "74" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-15 11:40:37" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-15 04:40:37" ["post_content"]=> string(5486) "การฝึกโยคะช่วยสร้างสุขภาพกายและใจไปพร้อมๆ กัน เพราะระหว่างฝึกต้องทําสมาธิพร้อมๆ กับการควบคุมร่างกายและลมหายใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ครูกาญจนา พูดถึงประโยชน์ของการฝึกโยคะว่า “ ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ มีการยืดเหยียด และช่วยให้สมองได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น”  นอกจากนี้การฝึกโยคะยังช่วยรักษาระบบต่างๆของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นประสาทให้มีความสมบูรณ์ เราสามารถจําแนกประโยชน์ของการฝึกโยคะได้ดังนี้

ด้านร่างกาย

เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้สะดวกกระตุ้นระบบเผาผลาญ การดูดซึมอาหาร และการขับถ่าย ช่วยสร้างความสมดุลให้อวัยวะภายในร่างกาย ทําให้สดชื่น รู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้น บำบัดและบรรเทาอาการเจ็บปวดบริเวณกระดูกและไขข้อต่าง ๆ กระชับสัดส่วน ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์

ประโยชน์ของการฝึกโยคะด้านจิตใจ

สร้างความสดใสร่าเริงในการดําเนินชีวิตประจําวัน ทําให้มีสติ จิตใจแน่วแน่ มีสมาธิในการทํางาน ช่วยผ่อนคลายความเครียด ช่วยให้นอนหลับสบาย

ท่าที่ 1

วิธีปฏิบัติ

 

ท่าที่ 2

วิธีปฏิบัติ

 

ท่าที่ 3

วิธีปฏิบัติ

 

ท่าที่ 4

วิธีปฏิบัติ

  ที่มา : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 582
  เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ออกกำลังกาย 10 นาทีขึ้นไป ช่วยลดโรค ออกกำลังกาย เสริมภูมิคุ้มกัน รู้หรือไม่ การวิ่ง ใช้อวัยวะใดช่วยซัพพอร์ตบ้าง ?  " ["post_title"]=> string(60) "4 ท่าโยคะ ช่วยหลับสบาย" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(174) "4-%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%a2%e0%b8%84%e0%b8%b0-%e0%b8%8a%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%aa%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%a2" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-15 11:40:37" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-15 04:40:37" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249829" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [2]=> object(WP_Post)#2608 (24) { ["ID"]=> int(249825) ["post_author"]=> string(2) "74" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-15 11:28:30" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-15 04:28:30" ["post_content"]=> string(28672) "ทุกวันนี้โรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกแล้ว  ใคร ๆ  ก็เป็นมะเร็งได้ ไม่ว่าอายุมากหรือน้อยแค่ไหน  และปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของผู้ป่วยโรคนี้ก็คือเรื่องอาหารการกิน  ซึ่งมักมีคำถามว่า กินอะไรได้ กินอะไรไม่ได้  ชีวจิตจึงชวนคุณหมอจ๋า - พญ. อัญวีณ์ เกียรติอภิพงษ์ แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกันและการชะลอวัยมาคุยกันเรื่องนี้  

ยังไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่าโรคมะเร็งเกิดจากอะไร

มันยังเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้เลย แม้ว่าจะมีการทำวิจัยมากมาย  แต่ก็ยังไม่มีใครพบสาเหตุที่แน่ชัด  ส่วนใหญ่มักออกมาว่าพฤติกรรมแบบนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่ได้ทำพฤติกรรมแบบนี้ เท่านั้น ในความเป็นจริง  ร่างกายทุกคนมีการสร้างเซลล์มะเร็งขึ้นมานับไม่ถ้วนทุกวัน เพราะเซลล์มะเร็งเกิดจากการแบ่งตัวของเซล์ในร่างกายเรานี่เอง  แต่เป็นการแบ่งตัวแล้วหน้าตาผิดปกติไปจากเดิม ถ้าร่างกายยังมีความสามารถในการตรวจจับ เซล์ที่ผิดปกติก็จะถูกทำลายไม่ปล่อยให้กลายเป็นก้อนเนื้อ  นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันในร่างกายของเรานับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลา เชื่อกันว่ายิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งมีโอกาสที่เซล์แบ่งตัวผิดพลาดมากขึ้น แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า คนแก่ไม่ได้เป็นมะเร็งทุกคน  และมะเร็งบางกลุ่มก็เป็นกันตั้งแต่อายุยังน้อย  หรือเรื่องพันธุกรรมมีผล 5-10 % เท่านั้น  แต่กลายเป็นพฤติกรรมมากกว่าที่ทำให้เซลล์แบ่งตัวผิดปกติ จ๋าค่อนข้างเชื่อทฤษฎีหลังมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราเจอมะเร็งในคนอายุน้อยกันมากขึ้น  

มะเร็ง 5 อันดับแรกที่คนเป็นกันมากที่สุด

  มะเร็ง 5 อันดับแรกที่คนทั่วโลกเป็นกันได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่  แต่ละประเทศอาจสลับตำแหน่งสูงต่ำต่างกันไปบ้าง สำหรับประเทศไทยโดยภาพรวมคนไทยเป็นมะเร็งท่อน้ำดีและตับสูงสุด  แต่ถ้าแยกตามเพศ ผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมสูงสุด  ผู้ชายมะเร็งตับและท่อน้ำดีสูงสุด ส่วนจำนวนผู้เป็นมะเร็งทั้งโลก ปี 2018  ผู้เป็นมะเร็งรายใหม่เฉลี่ยปีละ 18 ล้านคน  และคาดว่าในปี 2025  ผู้เป็นมะเร็งรายใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยนปีละ 19 ล้านคน ประเทศไทย ที่ผ่านมาตัวเลขผู้เป็นมะเร็งรายใหม่เฉลี่ยปีละ 100,000 คน แต่ปี 2565 พบว่ามีผู้เป็นมะเร็งรายใหม่ถึง 140,000 คน เฉลี่ยวันละ 400 คน อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนคนเป็นมะเร็ง ยกตัวอย่างเช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะมีก้อนเนื้องอก ไม่นานก็แตกมีเลือดไหล น้ำเหลืองไหล  ถ้ามะเร็งเต้านม นมก็จะใหญ่ข้างเล็กข้าง แต่ทุกวันนี้คนเป็นมะเร็งไม่ได้มีวิถีชีวิตแบบนั้นแล้ว   ไม่ได้เข้าสังคมไม่ได้หรือมีสภาพร่างกายทุพลภาพจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ   ดังนั้นแม้ว่าผู้ป่วยมะเร็งไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลง  แต่หากพูดถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย กลับดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก  เพราะวิทยาการทางการแพทย์ช่วยให้ผู้ป่วยอยู่กับมะเร็งได้ดีขึ้น  

ไม่ว่าจะรักษามะเร็งด้วยวิธีใด ร่างกายก็ต้องแข็งแรง

คนไข้ก็ต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรงพอ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถรักษาได้ เพราะถ้าผอมมาก โปรตีนในร่างกายต่ำมาก  เซลล์เม็ดเลือดขาวเม็ดเลือดแดงในร่างกายไม่เหลือเลย ก็ไม่สามารถผ่านเกณฑ์เข้ารับการรักษาได้ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด ให้เคมีหรือฉายแสง ทำให้ต้องเลื่อนการรักษาออกไป แม้แต่หลังการรักษา อย่างการให้เคมีบำบัด   สิ่งที่เกิดขึ้นคือผิวดำ คล้ำ หมอง ๆ ปากแห้ง หรือแสบปากไปหมดเลย กลืนอะไรก็ไม่อร่อย อาหารย่อยยาก ทางเดินอาหารทั้งหมดที่เคยชุ่มฉ่ำไปด้วยเซลล์ดี ๆ ก็แห้งฝ่อไป เม็ดเลือดขาวหายไปจำนวนมาก ทำให้ภูมิคุ้มกันตก ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในช่วงนี้นอกจากกินยากแล้ว อาหารที่กินยังต้องพิถีพิถัน เพราะภูมิคุ้มกันน้อย  

โปรตีน อาหารสำคัญของผู้ป่วยมะเร็ง

ตลอด 10 ปีที่อยู่คลุกคลีกับผู้ป่วยมะเร็ง คนไข้ถามทุกวันว่าต้องกินอะไร มันยากเนอะ กินอาหารปกติก็แทบกินไม่ได้อยู่แล้ว ยังจะให้กินอะไรแบบนี้อีก  จึงเป็นโจทก์ใหญ่ของคนเป็นมะเร็งเลย  การรักษามะเร็งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน คือการทำลายเซลล์มากมาย  ทีนี้ส่วนประกอบหลักของเซลล์คือโปรตีน   ถ้าไม่มีโปรตีนเราสร้างเซลล์ใหม่ไม่ได้  ดังนั้นโปรตีนจึงสารอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ไม่ว่าจะก่อน ระหว่าง หรือหลังรักษา ผู้ป่วยมะเร็งบางส่วนเชื่อว่า ต้องไม่กินเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์อีกเลย  ทั้ง ๆ ที่โปรตีนจากสัตว์ เรียกว่า  complete protein คือโปรตีนจากสัตว์เพียง 1 ชนิด ให้กรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ดังนั้นถ้าปฏิเสธผลิตภัณฑ์จากสัตว์ไปเลย  คนไข้จะเสียโอกาสได้รับโปรตีนดี ๆ  บางคนอาจไปกินถั่วแทน แต่ก็ต้องกินในปริมาณมาก เพื่อให้ได้โปรตีนเท่ากับที่ได้จากสัตว์ นอกจากนั้นโปรตีนจากพืชและสัตว์ก็แตกต่างกัน โปรตีนจากสัตว์มีวิตามินและเกลือแร่ค่อนข้างมาก ในขณะที่โปรตีนในพืชมีน้อย และไม่มีวิตามินบี 12  ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด  การที่ผู้ป่วยมะเร็งปฏิเสธไม่เกินเนื้อสัตว์อีกเลย จะส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวได้ยากขึ้น เนื้อสัตว์จริงๆ ไม่ได้น่ากลัว ถึงแม้ว่ามีการศึกษาพบว่าเนื้อแดงสามารถกระตุ้นให้เป็นมะเร็งได้มากกว่า เพราะมันมีสาร nitrosamines  แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือสิ่งที่แฝงมากับการปศุสัตว์  เช่น การให้ฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะกับสัตว์เพราะต้องการควบคุมโรคระบาด  จึงกลายเป็นว่าเราได้รับยาปฏิชีวนะมาแบบไม่ตั้งใจ   ซึ่งทำให้เราสูญเสียความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ไป  ส่งผลให้กระบวนการภูมิคุ้มกันเสียไป  และก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง อันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เป็นมะเร็ง  อย่างไรก็ตามควรเลือกกินเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงแบบออแกนิค ถ้าเป็นถั่วควรเลือกที่ระบุว่า Non-GMO คนปกติที่ไม่ป่วยเป็นมะเร็ง ต้องการโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สมมุติว่าหนัก 50 ก็ต้องกินโปรตีนให้ได้วันละ 50 กรัม  ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยมะเร็งยิ่งต้องการโปรตีนเพิ่มจากปกติ  1.5-2 เท่า [caption id="attachment_249826" align="aligncenter" width="640"]  [/caption]

อาหารประเภทอื่นก็จำเป็น 

นอกจากโปรตีน  ร่างกายก็ต้องได้รับสารอาหารประเภทอื่น ๆ ครบถ้วนอย่างเหมาะสมด้วย  อย่างคาร์โบไฮเดรต ปกติคนไทยกินมากกว่าที่ร่างกายต้องการอยู่แล้ว โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว อย่างพวกน้ำตาล น้ำหวาน ข้าวขาว  ควรเปลี่ยนเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง  ที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ช้า และทำให้ร่างกายอิ่มเร็วขึ้น นอกจากนั้นยังได้ไฟเบอร์ไปปรับสมดุลลำไส้  หรืออาจกินไฟเบอร์มากขึ้น แต่ก็ต้องเป็นไฟเบอร์ที่มั่นใจว่าไม่มีสารพิษ  ไม่มีสารตกค้างหรือยาฆ่าแมลง ไขมันก็จำเป็น แต่บางคนก็ไม่กินอีก ทั้งที่ไขมันที่เป็นตัวให้พลังงานมากที่สุด แต่เนื่องจากไขมันจากสัตว์เป็นไขมันอิ่มตัวสูง  เราจึงควรเลือกไขมันจากพืช เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก  ซึ่งมีโอเมก้า 9 ที่ช่วยลดการอักเสบระดับเซลล์  บางครั้งอาหารที่เรากินทำให้เกิดการอักเสบโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเหมือนกับการทำให้เซลล์บาดเจ็บตลอดเวลา   หากเป็นแบบนี้บ่อย ๆ  ก็อาจกลายเป็นมะเร็งได้           นอกจากนั้นยังต้องดื่มน้ำให้พอ  เพราะกระบวนการจัดการเซลล์ของร่างกายมีน้ำประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องใช้น้ำในการขับของเสียในกระบวนการเมตาบอลิซึ่มต่าง ๆ วิตามินและแร่ธาตุ  ควรกินให้หลากลาย โดยเฉพาะวิตามินที่มีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันได้แก่ วิตามินซี วิตามินดี 3 sync selenium 4 ตัวนี้มีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่าช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้จริง ถ้าภูมิคุ้มกันเราไม่แข็งแรง  มันจะตรวจจับเซลล์มะเร็งได้ไม่ดี ถ้าเป็นมะเร็งแล้วภูมิคุ้มกันแข็งแรงก็มีประโยชน์ในการช่วยกระตุ้นการทำงานของ NK Cell  ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ผลคือช่วยลดความรุนแรงของมะเร็งระยะต่าง ๆ ได้  

อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งควรหลีกเลี่ยง     

เราอาจเคยได้ยินที่พูดกันว่าน้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง  จริง ๆ แล้วเซลล์มะเร็งกินอาหารทุกอย่าง  แต่มีทฤษฎี   Warburg effect  ซึ่งกล่าว่า เซลล์มะเร็งใช้น้ำตาลเปลืองมาก  น้ำตาล 1 โมเลกุลให้พลังงานนิดเดียว มันหิวเลยต้องใช้น้ำตาลมาก ๆ  เพื่อให้ได้พลังงานออกมามาก ๆ  อาหารอย่างอื่นมะเร็งเอาไปใช้ยาก แต่น้ำตาลนำไปใช้ได้เลย     ไม่ว่าจะยังไม่เป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งแล้ว กำลังรักษาอยู่  หรือในช่วงระยะฟื้นฟู ก็ต้องควบคุมน้ำตาล น้ำตาลที่เราคาดไม่ถึงคือ อาหารที่ต้มจนผิวของเนื้อสัตว์หรือผักเป็นสีน้ำตาล นั่นคือน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการ คือเป็นน้ำตาลที่แอดวานซ์ขึ้นไปอีก และมีความสามารถในการเกาะติดเซลล์ให้มีความชราลงได้เร็วขึ้น  อาหารตุ๋นก็ต้องเป็นการตุ๋นที่ไม่ได้ใส่น้ำตาลแล้วทำให้เกิดสีน้ำตาล บางคนอาจไม่ทันคิดเรื่องนี้ บางคนบอกว่าไม่ได้กินน้ำตาลอยู่แล้ว แต่อาจไม่ได้ระวังน้ำตาลแฝง เช่น น้ำจิ้มน้ำหวาน น้ำผลไม้  มันเป็นแหล่งของน้ำตาลเหมือนกัน   ไม่ถึงกับห้ามกินน้ำตาลเด็ดขาด  แต่ไม่ควรกินมากกว่าวันละ 4-6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม  ถ้าลองดูฉลากโยเกิร์ตขวดเดียวก็มีน้ำตาล 21 กรัมแล้ว  หมดโควตาแล้ว ดังนั้น จึงต้องจริงจังกับการเลือกอาหาร อ่านฉลากโภชนาการให้เป็นนิสัยมากขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าอาหารที่เราเห็นว่ามันไม่เห็นหวานเลย แต่น้ำตาลเยอะอยู่นะ  นอกจากนั้น พวกอาหารแปรรูป เช่น ลูกชิ้นไส้กรอก  ก็ต้องระวัง เพราะอาหารเหล่านี้มีสารอาหารที่มีประโยชน์น้อยมาก และมีสารปรุงแต่ง สารกันบูดค่อนข้างมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีกับร่างกายแถมมะเร็งชอบ  อันนี้รวมไปถึงอาหารปิ้งย่างโดยเฉพาะปิ้งจนเกรียมไหม้  นั่นคือสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ที่เราเห็นได้ด้วยตาเลย  

อย่าทิ้งการรักษาในปัจจุบัน

ความเชื่อเรื่องการกินอาหารประเภทนั้นประเภทนี้  อยากให้มีสติในการรับฟังข้อมูล  ควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาก่อนว่านำมาใช้ร่วมกันได้หรือไม่  ซึ่งจะช่วยทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น   คุณหมอบางท่านอาจมองว่า พวกสมุนไพรมีสเตรียรอยด์  เพราะสารบางอย่างที่มากับพืชบางชนิดมีฤทธิ์ในทางยาที่อาจมาขัดขวางการรักษา    เราสามารถหา second opinion  กับคุณหมอที่เป็น Integrative Cancer  ซึ่งจะมีแนวคิดเรื่องการนำหลายวิธีมาใช้ร่วมกันในการรักษามะเร็ง อย่างไรก็ตาม คุณหมอกลุ่มนี้ก็จะบอกอยู่ดีว่าการรักษาแพทย์แผนปัจจุบันก็ต้องทำให้ครบ  แต่จะแนะนำวิธีซัพพอร์ตอื่น ๆ  เพิ่มขึ้น สรุปแล้วถ้าคนไข้อยากกินอะไร เอาเป็นว่าอย่าสุดโต่ง อย่ากินอยู่อย่างเดียว

ผู้ป่วยมะเร็ง จิตใจก็สำคัญ 

ผู้เป็นมะเร็งต้องเริ่มต้นจากการยอมรับก่อน บางคนปฏิเสธมัน  ไม่ใช่ฉัน มันเกิดขึ้นได้ยังไง เราดูแลตัวเองดีมาก ทำไมถึงเกิดในช่วงนี้ การคิดแบบนี้ยิ่งทำให้ร่างกายเครียดมาก พอเครียด โรคดำเนินเร็วมาก บางทียังไม่ทันรักษาเลย  ไปไกลเลย เพราะฉะนั้นต้องตั้งสติและยอมรับ เราไม่ควรเห็นว่ามะเร็งที่อยู่ในร่างกายเราเป็นศัตรู  ถ้าเรายอมรับได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของร่างกายเรา  เพราะเกิดจากการแตกตัวของเซลล์ในร่างกาย  อย่าคิดว่าตัวเองโชคร้าย เพราะมะเร็งมันเกิดกับใครก็ได้ ถ้าเราทำใจยอมรับและเรียนรู้มันว่าเรามีมันอยู่ในร่างกาย แล้วค่อยๆ เปิดใจและเรียนรู้ไปด้วยกันว่าเราจะต้องอยู่กับเขาอย่างไร  ไม่ว่าเราจะต้องรักษาด้วยวิธีที่รุนแรงแค่ไหน เราก็กำลังดูแลเราและเขาให้เดินไปด้วยกันต่อได้  เรายังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนปกติ  เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เรารักได้เหมือนเดิม  มีช่วงเวลาที่เราทำงานได้เหมือนเดิม เป็นมะเร็งเป็นได้ก็รักษาได้ บางคนรักษาไม่หายด้วยซ้ำก็อยู่กันไป 10 ปี  เราแค่มีหน้าที่ต่อเพื่อนคนนี้ในอีกมุมนึง เราอาจจะต้องไปหาหมอให้คุณหมอดูว่าเพื่อนเราเป็นยังไงบ้าง คนนี้เขายังสบายดีอยู่ไหม ลามไปถึงไหนแล้ว ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต  
  เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ รู้ยัง! ถ้าป่วยตับแข็ง จะมี “อาการร้ายๆ” เหล่านี้ตามมา สารอาหาร รับมือ อาการวัยทอง ดีท็อกซ์ 6 อวัยวะล้างพิษ รู้จักฮอร์โมน ก่อนร่างกายสวิง    " ["post_title"]=> string(102) "อาหารกาย & อาหารใจเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(190) "%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%83%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%9c" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-15 11:28:30" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-15 04:28:30" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249825" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [3]=> object(WP_Post)#2607 (24) { ["ID"]=> int(249799) ["post_author"]=> string(2) "74" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-13 20:30:01" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-13 13:30:01" ["post_content"]=> string(16419) "

ไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากจนเกินไป ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายรวน ซึ่งอาการนี้ไม่เพียงมีการรักษาในแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนจีนเองก็มีวิธีรักษา ที่น่าหยิบมาใช้ดูแลตัวเองไม่น้อยเลยค่ะ

รู้จักไทรอยด์เป็นพิษ

ต่อมไทรอยด์ถือเป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนและปล่อยฮอร์โมนสู่กระแสเลือด เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะอื่นในร่างกาย ลักษณะของต่อมไทรอยด์คล้ายปีกผีเสื้อ ซึ่งจะมีสองข้าง ซ้ายและขวา ตำแหน่งคืออยู่บริเวณหน้าหลอดลม

ไทรอยด์เป็นพิษ ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันคือมีการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากเกินไป จุดที่ถูกกระตุ้นจึงเกิดเป็นถุงน้ำและส่งผลต่ออวัยวะทั่วร่างกาย ทำให้มีการเผาผลาญสูงกว่าปกติ เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ ขึ้นตามมา เช่น เหนื่อยหอบง่าย ใจสั่น ขี้ร้อน เหงื่อมาก หงุดหงิด นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ เป็นต้น

การวินิจฉัยภาวะไทรอยด์ผิดปกติส่วนใหญ่ทำโดยการตรวจเลือด เพื่อเช็กการทำงานของต่อมไทรอยด์และการเผาผลาญในร่างกาย โดยตรวจวัดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ T3 และ T4 เพื่อดูการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าผิดปกติหรือไม่

ไทรอยด์เป็นพิษในทางแพทย์แผนจีน

ตามทฤษฎีของแพทย์แผนจีนอธิบายไว้ว่า ไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากร่างกายมีความร้อนมากเกินไป และเป็นโรคที่เกิดจากเลือด หยินในร่างกายถูกลดทอนให้น้อยลง ร่างกายมีเสลดและเสมหะมาก ส่งผลให้มีความเครียดกังวลจนทำให้หัวใจและตับทำงานผิดปกติ

ส่วนอาการอื่น ๆ คือ มือสั่น ร้อนๆ หนาวๆ เหงื่อออกง่าย หัวใจเต้นเร็ว ตาโปน ตัวอ้วนตัน อาการบวมน้ำง่าย ร่างกายขับน้ำออกไม่ทัน ควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นลักษณะอาการของคนที่มีเสลด มีความชื้นในร่างกายมากเกินไป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาการไฮเปอร์ไทรอยด์ทั้งสิ้น ดังนั้นแพทย์แผนจีนจะเน้นทำการรักษาตามอาการ ด้วยวิธีเสริมหยิน เพิ่มเลือด ขับเสมหะ ลดไฟในตับ

การฝังเข็ม

ศาสตร์ทางการแพทย์แผนจีนจะใช้วิธีการฝังเข็มเพื่อระบายความร้อนออกมา มีหลายจุดสำคัญที่ใช้ฝังเข็มเพื่อช่วยให้ร่างกายสงบลง เช่น บริเวณรอบๆ คอ บริเวณเส้นลมปราณตับ จุดฝังเข็มขับความร้อนตามปลายมือปลายเท้า จุดลดเสลดอุดตันในเส้นลมปราณ

การกินอาหารและยาจีน

ในการรักษาอาการไทรอยด์ แพทย์จีนเน้นปรับสมดุลหยินหยาง ในทางแพทย์แผนโบราณตำราจีนและไทยถือว่าไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากการกินอยู่และพฤติกรรมที่ไม่สมดุล การกินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมากกว่าฤทธิ์เย็น พฤติกรรมรีบๆ
ทำงานหนักยาวๆ ใช้ร่างกายโดยไม่พัก มีความเครียดสูง ทำให้หยินหยางไม่สมดุล จึงทำให้ภายในร่างกายร้อนเกิน
และร่างกายขับความร้อนออกมาไม่ทัน ก่อเสลดในเส้นลมปราณตับที่ตำแหน่งไทรอยด์ จนกระทั่งการทำงานของ
ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ วิธีธรรมชาติแบบจีนช่วยบำบัดรักษาอาการไทรอยด์คือ

ปรับนิสัยการกิน หันมากินอาหารฤทธิ์เย็นแทน งดเนื้อสัตว์ใหญ่ แต่ยังกินปลาได้ เช่น ปลานึ่งทาเกลือ เพื่อเสริมไอโอดีน กินผักผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น แตงโม สับปะรด แอ๊ปเปิ้ล

อาหารที่มีสรรพคุณฤทธิ์เย็น เช่นแตงโม ผักใบเขียว กุ้งปูหอยทะเลทุกชนิดที่ปรุงสุกต้มทั้งเปลือก จะได้น้ำซุปที่ต้มหอยกับกุ้งทั้งเปลือก ควรกินสัปดาห์ละประมาณ 2- 3 ครั้ง และแนะนำให้ปรับพฤติกรรมการทำงานและพักผ่อนให้สมดุล ปรับอารมณ์ คลายเครียด

สำหรับสมุนไพรยาจีนเน้นให้กินกลุ่มยาขับเสลด กลุ่มยาลดร้อนทำให้เลือดเย็น และกลุ่มยาช่วยสงบตับ บำรุงตับ
หยินและเลือด ส่วนใหญ่หมอจีนจะเลือกวิธีการรักษาตามอาการ และเมื่ออาการดีขึ้นหมอจะเสริมเรื่องการกินยา
บำรุงร่างกาย ให้กินเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ฮอร์โมนทำงานคงที่และพลังงานซี่ของตับขยับดี เช่น ยาไฉหูซูกันหวัน ยาปั้นเซี่ยโฮ่วพั่วทัง ซึ่งเป็นยาที่หาได้ในร้ายขายยาแผนจีนใกล้บ้านเลยค่ะ

มีอาการคอพอก ตาโปน

ในกรณีคนที่มีอาการคอหอยพอกและอาการตาโปนร่วมด้วยเป็นภาวะการขาดไอโอดีน หมอจะให้กินยาจีนสูตรที่มีส่วนผสมมาจากเปลือกหอยนางรมและของทะเลลึก เช่น สาหร่าย ปลิงทะเล เกลือทะเล ซึ่งมีแร่ธาตุไอโอดีนและมีแคลเชียมสูง เพราะทฤษฎีของแผนจีนเชื่อว่า ความเค็มจะช่วยสลายก้อนที่โตขึ้นและสลายเสลดที่รวมตัวกันตรงบริเวณคอ นอกจากนี้ผู้ป่วยจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร จะช่วยให้อาการดีขึ้น

มีอาการภาวะขาดน้ำ

โรคไทรอยด์เป็นพิษจะผลิตความร้อนมาก ก่อให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำอย่างเพียงพอต่อวันจะช่วยลดภาวะขาดน้ำและทำให้อาการดีขึ้น

สรุปคือ เน้นอาหารที่มีแคลเชียม ไอโอดีน และโซเดียมมากขึ้นแต่ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะทำให้กระดูกบางลง ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารเสริมที่มีแคลเซียมและวิตามินดีควบคู่กันไปด้วย ทั้งในระหว่างการรักษาและหลังจากอาการดังกล่าวหายแล้ว เพื่อบำรุงกระดูกให้แข็งแรงขึ้นค่ะ

ออกกำลังกาย

สูตรที่หมอใช้รักษาคนไข้ ส่วนใหญ่เป็นการออกกำลังกายแบบเบาๆ เน้นแนวยืดเหยียดหรือการเดินประมาณวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น หรือการแกว่งแขน โดยการแกว่งแขนเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 20 นาที เน้นให้เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้ร่างกายได้ขยับ เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนไปเลี้ยงต่อมไทรอยด์ได้ดี หรือเป็นการฝึกโยคะเน้นท่าที่ให้ศีรษะลงพื้นก็สามารถช่วยได้

สำหรับการออกกำลังกายแบบชีวจิตเองก็คือการรำกระบองในท่าไหว้พระอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียน การทำงานของต่อมน้ำเหลืองดีขึ้น


ที่มา

นิตยสารชีวจิต โดยแพทย์หญิงศรันยา สาครินทร์ แพทย์แผนปัจจุบัน จบจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และศึกษาต่อปริญญาโทด้านฝั่งเข็มยาจีน นวดทุยหนา และโภชนาการ จากประเทศสหรัฐอเมริกา จึงมีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการรักษาโรคจากทั้งศาสตร์ตะวันออกและตะวันตก

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

" ["post_title"]=> string(110) "ดูแล ไทรอยด์เป็นพิษ ตามวิถีแพทย์แผนจีน" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(200) "%e0%b8%94%e0%b8%b9%e0%b9%81%e0%b8%a5-%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%94%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b8%a9-%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a7" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-13 20:30:04" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-13 13:30:04" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249799" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [4]=> object(WP_Post)#2606 (24) { ["ID"]=> int(248533) ["post_author"]=> string(2) "95" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-12 23:08:39" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-12 16:08:39" ["post_content"]=> string(11363) "

ในช่วงนี้ที่ทุกคนยังใส่แมสก์กันอยู่ บวกกับต้องเจอสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวก่อนฝนจะตก หรือแม้ฝนจะตกอากาศก็ยังร้อนชื้นอยู่ดี สมมงประเทศร้อน 3 ฤดู คือ ร้อน ร้อนมาก และร้อนสุด ๆ

นอกจากนั้นแล้วการใส่แมสก์และสภาพอากาศในชีวิตประจำวันเหล่านี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดมลภาวะกับผิวหน้าของเรา แต่รู้ไหมคะว่ามีสมุนไพรที่สามารถช่วยทุกคนแก้ไขปัญหานี้ได้ นั่นก็คือ ทานาคา นั่นเอง

ทานาคานับได้ว่าเป็นสมุนไพรเพื่อความงามโดยเฉพาะ ด้วยคุณสมบัติไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำให้ผิวกระจ่างใส ปกป้องผิวจากรังสียูวี ลดเลือนริ้วรอย รวมไปถึงใช้กับสิว ไม่ว่าจะเป็นลดการอักเสบของสิว ลดรอยด่างดำที่เกิดจากสิว

รู้จักทานาคา

ทานาคา เป็นสมุนไพรจากประเทศพม่า ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ลำต้นหนาม เปลือกเป็นสีน้ำตาล ในขณะที่ส่วนอ่อนๆ เช่นกิ่งและยอดจะเกลี้ยงและมีสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ คนไทยเรียกอีกชื่อว่า "ต้นกระแจะ"

ทานาคา

การใช้ทานาคา

แบบดั้งเดิมคือ เลือกยอดอ่อนของทานาคามาตัดเป็นท่อน ๆ ขนาดพอดีมือ จากนั้นนำส่วนของเปลือกไม้ไปฝนบนแผ่นหินกลมที่มีร่องใกล้ขอบให้น้ำส่วนเกินไหลออกมา พร้อมพรมน้ำเป็นระยะ จะได้ออกมาเนื้อคล้ายแป้งน้ำสีขาวนวลจนถึงเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ  ใช้สำหรับทาหน้าและทาตัว

ทานาคาในปัจจุบัน

ทานาคาได้พัฒนาเป็นเครื่องสำอางประเภทต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของคนยุคปัจจุบันมากขึ้น โดยมักจะพบในรูปแบบผลิตภัณฑ์ผงบดละเอียดที่พร้อมใช้วางขายอยู่ตามท้องตลาด ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งฝนท่อนไม้เองเลย เช่น สบู่ก้อน สบู่เหลว แป้งกระป๋อง แป้งพัฟ โลชั่นทาผิว ครีมทาผิวหน้า ผงพอกหน้า ผงขัดผิว เป็นต้น

งานวิจัยทานาคา

แม้ทานาคาจะเป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาเนิ่นนาน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีงานวิจัยรองรับมากมายในคุณสมบัติต่างๆ ที่มี

ทานาคา

สรรพคุณของทานาคา

นอกจากนี้ ประเทศไทยเองก็มีทานาคาเหมือนกันนะคะ ทานาคาเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อต้น กระแจะ แต่ก็ยังมีชื่ออื่น ๆ ที่เรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น จังหวัดราชบุรี เรียกว่า พญายา ทางเหนือเรียก กระแจะจันหรือขะแจะ หรือทางตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า ตุมตัง ตามตำรายาของไทยเอง กระแจะ มีสรรพคุณทางยาทุกส่วนของต้นอีกด้วยค่ะ

สำหรับใครที่กำลังเจอกับปัญหาเรื่องผิวหน้าจากมลภาวะในชีวิตประจำวัน ลองใช้ทานาคามาบำรุงผิวหน้าให้หน้าขาวเนียนสวยกันดูนะคะ

ที่มา

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

5 สมุนไพรฟื้นฟูระบบย่อย

7 สมุนไพรไทยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ

ว่านหางจระเข้ของดีในบ้าน

" ["post_title"]=> string(77) "ทานาคา สมุนไพร ประทินผิวสวย" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(200) "%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b2-%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%9e%e0%b8%a3-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%9c%e0%b8%b4%e0%b8%a7" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-12 23:20:13" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-12 16:20:13" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=248533" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [5]=> object(WP_Post)#2605 (24) { ["ID"]=> int(249777) ["post_author"]=> string(2) "94" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-11 20:07:40" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-11 13:07:40" ["post_content"]=> string(7443) "

กินเค็มมากๆ หรือบริโภคโซเดียมปริมาณมากเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน ทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง พบมากสุดเมื่ออายุมากขึ้น ลดเค็มด่วนเพื่อการทำงานที่ดีของไต

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โซเดียมเป็นส่วนประกอบของเกลือ ซึ่งเกลือ 1 กรัม จะมีโซเดียมประมาณ 400 มิลลิกรัม

โดยร่างกายจะมีความต้องการโซเดียมประมาณ 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าได้รับมากร่างกายจะขับออกทางไตจะทำให้ไตทำงานหนัก ดังนั้นการที่ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณที่พอเพียงไม่มากไม่น้อยจนเกินไปจะเกิดผลดีต่อการทำงานของไต

ส่วนเกลือโซเดียม หรือเกลือแกงเป็นตัวหลักของสารที่ให้ความเค็มในเครื่องปรุงรสที่นิยมใช้ คือ น้ำปลา ซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เต้าเจี้ยว ฯลฯ และยังใช้ในการ ถนอมอาหารประเภทหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง ไข่เค็ม ปลาร้า ปลาเค็ม เนื้อเค็ม เป็นต้น

นอกจากนี้ เกลือโซเดียมยังแฝงมากับอาหารอื่นๆ เช่น ขนมอบกรอบ ผงชูรส หากรับประทานอาหารที่เค็มจัดที่มีเกลือโซเดียม หรือเกลือแกงมากกว่า 6 กรัมต่อวัน หรือมากกว่า 1 ช้อนชาขึ้นไป จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบบริโภค ผัก ผลไม้

นพ.เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวว่า ในแต่ละวันไม่ควรบริโภคโซเดียมเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งวิธีที่จะช่วยลดปริมาณการบริโภคโซเดียมมีหลายวิธี เช่น หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารรสจัด และอาหารหมักดอง ชิมอาหารทุกครั้งก่อนเติมเครื่องปรุง เลือกบริโภคอาหารสด หรืออาหารที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป และขนมขบเคี้ยวที่มีเครื่องปรุงรสปริมาณมาก

ลดความถี่ของการบริโภคอาหารที่ต้องมีเครื่องปรุงน้ำจิ้ม และลดปริมาณน้ำจิ้มที่บริโภค ทดลองปรุงอาหารโดยใช้ปริมาณเกลือ น้ำปลา ตลอดจนเครื่องปรุงรสอื่นๆ เพียงครึ่งหนึ่งที่กำหนดไว้ในสูตรปรุงอาหาร ถ้ารสชาติไม่อร่อยจริงๆ จึงค่อยเพิ่มปริมาณของเครื่องปรุงรส ควรปลูกฝังนิสัยให้บุตรหลานรับประทานอาหารรสจืด โดยไม่เติมเกลือ ซีอิ๊วขาว น้ำปลา ตลอดจนซอสปรุงรสในอาหารเด็กและทารก และควรบริโภคอาหารที่มีปริมาณโปแตสเซียมสูง เช่น ผักใบเขียวและผลไม้ จะสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้

ข้อมูลจาก เว็บไซต์ Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ

บทความอื่นที่น่าสนใจ

วูบขณะออกกำลังกาย อันตรายถึงตายนะ

ฮีโมฟีเลีย เลือดไหลไม่หยุด ผู้ชายเท่านั้นที่จะเป็น!

ชวนเช็คสัญญาณเตือน โรคนอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ

" ["post_title"]=> string(188) "รู้ยัง? กินเค็ม วันละ 1 ช้อนชา+ไม่กินผักผลไม้ เสี่ยงไตพัง-ความดันสูง!!" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(194) "%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a2%e0%b8%b1%e0%b8%87-%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b9%87%e0%b8%a1-%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%a5%e0%b8%b0-1-%e0%b8%8a%e0%b9%89%e0%b8%ad" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-11 20:07:48" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-11 13:07:48" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249777" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [6]=> object(WP_Post)#2604 (24) { ["ID"]=> int(249767) ["post_author"]=> string(2) "94" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-10 16:53:40" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-10 09:53:40" ["post_content"]=> string(12195) "

เรื่องต้องรู้ เมื่อจะ "ล้างจมูก" ทำแล้วดีมั้ย ทำทุกวันได้มั้ย เรามีคำตอบ

ฝุ่นละอองและมลภาวะอากาศ ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้อากาศ หรือทำให้ผู้ป่วยโรคในระบบทางเดินหายใจมีอาการกำเริบ หลายคนเริ่มดูแลตัวเองด้วยการ ล้างจมูก เพื่อชะล้างสิ่งสกปรก หรือสารก่อภูมิแพ้ในโพรงจมูกออกด้วยน้ำเกลือ แม้จะทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน แต่การล้างจมูกมีประโยชน์และโทษอย่างไร สามารถล้างบ่อยๆ ทุกวันได้หรือไม่ จะเป็นอันตรายไหม เรามีคำตอบ

ข้อดีของการล้างจมูก

การล้างจมูกช่วยชำระสิ่งสกปรก มลพิษหรือสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในโพรงจมูก โดยเฉพาะสิ่งแปลกปลอมที่รวมตัวเป็นน้ำมูกข้นเหนียวที่ไม่สามารถระบายออกได้เอง ทำให้อาการคัดจมูก ภูมิแพ้ น้ำมูกไหล คันจมูก หรือจาม ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดปัจจัยกระตุ้นและความรุนแรงของโรค เช่น ลดจำนวนเชื้อโรคที่อยู่ในจมูกหรือโพรงไซนัส ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของโรคทางจมูก ลดหรือระบายหนองจากโพรงไซนัสซึ่งทำให้กลุ่มผู้ป่วยไซนัสอักเสบมีอาการดีขึ้น

ช่วยทำให้เยื่อบุจมูกมีความชุ่มชื้น บรรเทาการระคายเคืองและลดการอักเสบภายในโพรงจมูก และการล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นทางจมูกหรือยาหยอดจมูกยังทำให้ยาสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ยามากขึ้น

เมื่อไรที่ควรล้างจมูก

เมื่อมีอาการคัดจมูก มีน้ำมูกข้นเหนียว เริ่มมีอาการของไซนัสอักเสบ (เช่น มีเสมหะในลำคอ หรือรู้สึกมีกลิ่นเหม็นภายในจมูก) หายใจเอาฝุ่นควัน หรือสูดดมมลพิษหรือสารก่อภูมิแพ้เข้าไป หรือผู้ที่ต้องใช้ยาพ่นหรือยาหยอดจมูก ก็สามารถล้างจมูกก่อนใช้ยาดังกล่าวได้

คำแนะนำในการล้างจมูก

หากล้างจมูกอย่างถูกวิธีและใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการล้างจมูกเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแนะนำให้ล้างจมูกวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน หรือมากกว่านั้นกรณีที่มีอาการทางจมูก เช่น มีน้ำมูกมาก คัดจมูก หรือช่วงเวลาก่อนใช้ยาพ่นหรือยาหยอดจมูก ควรเลือกสารละลายสำหรับล้างจมูกให้เหมาะสม ซึ่งแนะนำให้ใช้ น้ำเกลือปราศจากเชื้อความเข้มข้น 0.9% ของเกลือโซเดียมคลอไรด์ เนื่องจากเป็นความเข้มข้นของเกลือที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุโพรงจมูก

ผลข้างเคียง

พบผลข้างเคียงในผู้ป่วยที่ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือค่อนข้างน้อย ผลข้างเคียงที่อาจพบ ได้แก่ แสบเยื่อบุโพรงจมูก หูอื้อ และเลือดกำเดาไหล (ซึ่งพบได้น้อย) ยังไม่มีการรายงานอาการข้างเคียงรุนแรงจากการล้างจมูก

อาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นได้น้อยลงหากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของน้ำเกลือที่เหมาะสมและล้างจมูกด้วยเทคนิคและขั้นตอนที่ถูกต้อง หากล้างจมูกด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องอาจเกิดอันตรายอื่น ๆ ได้ เช่น สำลัก หรือหากมีการสั่งน้ำมูกแรง ๆ อาจทำให้เยื่อแก้วหูบาดเจ็บได้ สำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างจมูกไม่เหมาะสม เช่น ใช้น้ำประปาล้างจมูก อาจพบเชื้อแบคทีเรียหรือโปรโตซัวในน้ำ และพัฒนาเกิดเป็นโรคติดเชื้อรุนแรงได้

ล้างจมูกติดต่อกันเป็นประจำจะอันตรายหรือไม่

ถึงแม้การล้างจมูกจะมีผลข้างเคียงน้อยและพบได้ไม่บ่อยหากทำอย่างถูกวิธีและใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม แต่ข้อมูลการศึกษาในปัจจุบันและความคิดเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังไม่แนะนำให้ล้างจมูกติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากมีการศึกษาบ่งชี้ว่าการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือติดต่อกันทุกวันในผู้ที่มีโรคโพรงจมูกไซนัสอักเสบเป็นระยะเวลานานกว่า 12 เดือน ทำให้การเกิดโรคโพรงจมูกไซนัสอักเสบซ้ำเพิ่มขึ้นถึง 60%

ซึ่งคาดว่าเกิดจากการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นเวลานานอาจรบกวนหรือลดระบบป้องกันทางภูมิคุ้มกันที่สะสมในน้ำมูกหรือเมือกที่ปกป้องโพรงจมูก เนื่องจากน้ำมูกในโพรงจมูกเป็นด่านแรกในการปกป้องและดักจับเชื้อโรคของระบบทางเดินหายใจ

ข้อมูลจาก หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

บทความอื่นที่น่าสนใจ

วูบขณะออกกำลังกาย อันตรายถึงตายนะ

ฮีโมฟีเลีย เลือดไหลไม่หยุด ผู้ชายเท่านั้นที่จะเป็น!

ชวนเช็คสัญญาณเตือน โรคนอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ

" ["post_title"]=> string(88) "เรื่องต้องรู้ เมื่อจะ "ล้างจมูก"" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(191) "%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%88%e0%b8%b0-%e0%b8%a5" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-10 16:54:48" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-10 09:54:48" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249767" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [7]=> object(WP_Post)#2603 (24) { ["ID"]=> int(249733) ["post_author"]=> string(2) "74" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-09 14:33:51" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-09 07:33:51" ["post_content"]=> string(14868) "เมื่อพูดถึงSourdough (ซาวโดวจ์) หลายคนอาจจะพอคุ้นชื่อกันมาบ้าง แต่ยังมีอีกหลายคนที่ นึกภาพไม่ออกว่ามันคืออะไร และมันมีประโยชน์อย่างไร ทุกข้อสงสัยที่อยากรู้ วันนี้แอดได้หาคำตอบมาให้แล้วค่ะ ก่อนอื่นแอดจะพาไปรู้จัก “ซาวโดวจ์ หรือขนมปังเปลือกแข็ง” คือขนมปังที่เกิด จากหมักของยีสต์ด้วยวิธีธรรมชาติ เลยทำให้รสชาติที่มีออกไปในทางเปรี้ยว ซึ่งเราสามารถทำเป็นขนมปังเปล่าๆ ไม่ใส่อะไร หรือจะใส่ธัญพืชอย่างผลไม้ แห้ง ลูกเกด หรือถั่วเข้าไป เพื่อเพิ่ม texture ก็ได้เช่นกัน วันนี้เราได้ คุณศิรินภา เฟย์ หรือ คุณเปิ้ล เจ้าของคลาสเรียน artisansourdough_by_applefahey มาบอกเล่าถึงขั้นตอนการทำ รวมถึงให้ ความรู้ต่างๆ จะเป็นอย่างไรบ้างตามมาดูกัน  

ประโยชน์ของซาวโดวจ์

ในซาวโดวจ์มีสารต้านอนุมูลอิสระสารต้านการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีแบคทีเรีย บางชนิด และมีพรีไบโอติกส์ ที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์ในระบบทางเดิน อาหาร ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และทำให้การขับถ่ายของเราดีมากขึ้น อีกด้านคือความเปรี้ยวของแป้งซาวโดวจ์ที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ส่งผลให้ ขนมปังซาวโดวจ์เก็บได้นานโดยไม่ต้องเติมสารกันเสีย เนื่องจากกรดแลคติค (Lactic) ที่แบคทีเรียผลิตจะไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิดที่ ทำให้ขนมปังเสีย โดยช่วยลดปริมาณไฟเตต (Phytates) (มีคุณสมบัติในการ ยั้บยั้งการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิด) ซึ่งพบในธัญพืชอย่างข้าวสาลี นอกจากนี้ เอทานอลที่ยีสต์ในซาวโดวจ์ผลิตได้ ก็ไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย อื่นที่ทำให้เกิดการบูดเน่า ดังนั้นผู้ที่แพ้สารกันเสียจึงสามารถรับประทานขนมปัง ซาวโดวจ์ได้อย่างสบายใจ ส่วนผสมหลักของการทำซาวโดวจ์ มีอยู่ไม่กี่อย่าง คือ แป้งสาลี หรือแป้งโฮลวีท (ในส่วนของแป้งสามารถปรับได้ตามใจชอบ แต่ถ้าจะเน้นเรื่องของสุขภาพ แนะนำว่าควรใช้แป้งไม่ขัดสี) เกลือ และ ซาวโดวจ์ สตาร์ทเตอร์ (คือยีสต์ ธรรมชาติ ที่เกิดจากการหมักแป้งและน้ำ)

การทำยีสต์เพื่อทำขนมปัง

  1. แป้ง 50 น้ำ 50 สัดส่วนเท่ากัน คนผสมให้เข้ากัน
  2. 2. ทิ้งไว้ในขวดโหลที่สะอาดประมาณ 24 ชั่วโมง
  3. จากนั้นจดลงสมุดบันทึกเวลาการเลี้ยงไว้ เพื่อจดเวลาการให้อาหาร ว่าให้อาหาร (แป้ง +น้ำ) ไปแล้วตัวยีนส์ใช้เวลาในการขึ้นตัว ซึ่งแต่ละคนจะใช้เวลาการเลี้ยงยีสต์ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยสภาพแวดล้อม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการจดบันทึก
 

สังเกตว่ายีสต์พร้อมสำหรับการไปทำแป้งแล้ว

สังเกตได้จากตอนเลี้ยงต้องทำสัญลักษณ์ไว้ ฟองอากาศต้องขึ้นมากกว่า 2 เท่า จึงจะนำไปทำขนมได้ กระบวนการทำงานของยีสต์คือ จะทำงานจากข้างล่างขึ้น ฟองอากาศก็จะไล่ขึ้นไปจากด้านล่างไปสู่ด้านบน เราก็จะดูฟองอากาศจากข้างบน และดูข้างหน้า ในช่วงแรก ๆ ยีสต์อาจจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ขนมปังอาจจะไม่ฟูมาก ยีสต์สามารถดูความแข็งแรงได้จากความฟูหรือความดีดของขนมปัง หรือจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น แป้งดี หรือการหมักดีนั่นเอง ซึ่งยีสต์จะทำงานได้ดีและแข็งแรงในอุณหภูมิ 23 – 28 องศา แต่ถ้าไม่อยากให้ ยีสต์โตเกินไป เราสามารถเก็บยีสต์ไว้ในตู้เย็นได้ สภาพจะเหมือนจำศีล ยีสต์จะกินน้อย และค่อย ๆ โต

ขั้นตอนการทำ ซาวโดวจ์

1.ทำการ refresh starter โดยการนำยีสต์ที่แข็งแรงมาเติมน้ำกับแป้ง แล้วพัก ไว้ก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง (แต่ใครจะใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงก็ได้) เมื่อพักเรียบร้อยตัวแป้งเราจะเรียกว่าโดวจ์   2.จากนั้นใส่ยีสต์เพิ่มลงไปนวดกับแป้งโดวจ์ที่เราพักไว้ ใช้เวลานวดประมาณ 5 - 6 นาที   3. เติมเกลือลงไป นวดต่อประมาณ 3- 4 นาที เพื่อให้ตัวเกลือละลาย จากนั้นพัก โดวจ์ไว้ประมาณ 30 - 45 นาที ในอุณหภูมิห้อง   4. นำโดวจ์ที่พักไว้ออกมา เพื่อทำการยืดและพับครั้งที่ 1 (Stretch and Fold) โดยใช้มือทั้งสองจับแป้งยืดขึ้นมาและพับลงไป เพื่อให้เนื้อแป้งมีความเนียน และเป็นการพัฒนาโครงสร้างของกูลเตนในแป้ง จากนั้นพักประมาณ 30 - 45 นาที และทำการ ยืดและพับครั้งที่ 2 และพักอีกประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที   5. นำโดวจ์มาทำการ Coil fold (การยืดและพับ) แต่ขั้นตอนนี้จะเป็นการดึง ฟอร์ม หรือตบฟอร์มตัวโดวจ์ให้ขึ้นรูป และเพิ่มความแน่นของตัวโดวจ์ โดยจะทำทั้งหมดสองครั้งเช่นกัน แต่ละครั้งจะใช้เวลาการพักประมาณ 30 - 45 นาที   6. เอาโดวจ์ออกมาทำการ pre-shape คือการนำโดวจ์มาขึ้นรูปคร่าวๆ พักไว้ 20 นาที จากนั้นนำโดวจ์ของเรามาขึ้นรูปใส่ตะกร้า หรือภาชนะที่เราเตรียมไว้ และนำไปเข้าตู้เย็นต่อ 14 - 16 ชั่วโมง   7. นำโดวจ์ออกจากตู้เย็น และทำการกรีดโดวจ์ เพื่อให้โดวจ์ขยายตัวในขณะที่อบ สามารถกรีดตกแต่งเป็นรูปต่างๆ ได้   8. เข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 250 องศาเซลเซียส ประมาณ 40 นาที (ควรเปิดให้เตาอบ ทำงานก่อนสักพัก เพื่อที่เวลาโดวจ์เข้าเตาอบ จะได้มีอุณหภูมิที่คงตัวอยู่ที่ 250 องศาเลย)   9. นำซาวโดวจ์ออกจากเตาอบ แล้วรอให้เย็นประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง ค่อย ทำการหัน     สำหรับใครที่สนใจ สามารถเข้าไปดูข้อมูล หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ : Instagram: artisansourdough_by_applefahey Facebook: Artisan Sourdough    
  เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ   ฝรั่งผลไม้ฤดูฝน กินเถอะ ประโยชน์เยอะมาก รวมสมุนไพรฤทธิ์ร้อน รับมือช่วงอากาศเปลี่ยน รวมเรื่องของ “ถั่ว” ที่น่ารู้ ประโยชน์เน้นๆ จาก “โกโก้”" ["post_title"]=> string(113) "How to make Sourdough ขนมปังเปลือกแข็ง ที่ดีต่อสุขภาพ" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(197) "how-to-%e0%b8%8b%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a7%e0%b8%88%e0%b9%8c-%e0%b8%82%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b9%81" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-10 10:34:17" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-10 03:34:17" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249733" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [8]=> object(WP_Post)#2602 (24) { ["ID"]=> int(249705) ["post_author"]=> string(2) "74" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-08 17:40:30" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-08 10:40:30" ["post_content"]=> string(12768) "

แมลงสาบ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ แมลงสาบ มักสร้างความรำคาญให้แก่มนุษย์ อีกทั้งยังเป็นแมลงที่มีเชื้อโรคสะสมมากมาย เนื่องจากการกิน และที่อยู่อาศัยมักเป็นสถานที่สกปรก เต็มไปด้วยเชื้อโรค เมื่อแมลงสาบเคลื่อนที่ไปทางไหน เชื้อโรคบนตัว ก็จะปนเปื้อนกับวัตถุที่แมลงสาบสัมผัสโดยตรง จึงส่งผลทำให้มนุษย์เกิดอาการป่วยได้

แต่ไม่ใช่แค่เชื้อโรคเท่านั้นที่ทำให้คนป่วย เพราะแมลงสาบหน้าแหลมยังทำมีพิษสงมากกว่านั้นอีก คือฝุ่นละอองจากตัวแมลงสาบเองก็ก่อโรคได้ โดยที่เราไม่ต้องเจอกันตรงๆ เอาเป็นแค่ว่า พี่เขาเดินไป เขาก็ทิ้งตัวก่อโรคเอาไว้ให้เราได้มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้แล้ว

สารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบ

สารก่อภูมิแพ้มาจากส่วนต่างๆของร่างกายแมลงสาบ อย่าง ปีก ขา หนวด ไข่ น้ำลาย อุจจาระ และผงโปรตีนตามเนื้อตัวของแมลงสาบ ซึ่งสามารถร่วงไปตามเส้นทางที่มันผ่าน หรือก็คือที่อยู่อาศัยของมนุษย์นั่นเองโดยเฉพาะห้องนอน ห้องรับแขก และห้องครัว

จากการทดสอบผู้ที่มีอาการหอบหืด พบว่ามีผู้ตอบสนองต่อโปรตีนของแมลงสาบ มีทั้งในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้และหอบหืด หรือแม้แต่กลุ่มคนที่มีสุขภาพดี แสดงให้เห็นว่าการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบอาจส่งผลให้ในอนาคต กลุ่มคนที่มีสุขภาพดีก็สามารถเป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดได้

เชื้อโรคร้ายจากแมลงสาบ

นอกจากสารก่อภูมิแพ้ที่เกิดจากเศษผลที่แมลงสาบผลิตขึ้นแล้ว ด้วยแหล่งที่อยู่และอาหารการกินของแมลงสาบไม่เพียงทำให้ตัวมีกลิ่นเหม็นสาบ แต่ยังเป็นแหล่งของเชื้อโรคที่อาจทำให้เกิดโรคร้ายในคนได้อีกด้วย

หากถามว่าแมลงสาบร้ายแค่ไหน คำตอบแรกคือ ทั่วทั้งตัว รวมถึงมูลของแมลงสาบมีเชื้อที่เรียกว่า Salmonella เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ต้นตอที่ทำให้เกิดอาการไข้ ถ่ายเหลว อาเจียน หากติดเชื้อในกลุ่มเปราะบางเช่นเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ อาจทำให้เสียชีวิตได้

นอกจากนั้นแล้วแมลงสาบยังมีเชื้อราในตัว 2 ชนิด Aspergillus Fumigatus ที่เป็นสาเหตุของโรคในระบบทางเดินหายใจ และเชื้อ Aspergillus Fumigatus สาเหตุของโรคผิวหนัง

โปรโตซัวในตัวแมลงสาบ เป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกในครรภ์มารดาพิการได้ และอาจเกิดโรคบิด โรคท้องร่วงในกลุ่มผู้ใหญ่ รวมถึงมีไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้เช่นเดียวกัน

พิษร้ายของแมลงสาบยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกาฬโรค โรคบิด โรคท้องเสีย โรคติดเชื้อของช่องขับถ่าย โรคฝีผิวหนังพุพอง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคอาหารเป็นพิษ และโรคไทฟอยด์

ยังไม่จบค่ะ แมลงสาบยังเป็นแหล่งชุกชุมของพยาธินานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น  พยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือนกลม พยาธิตัวตืดแคระ พยาธิตืดวัว พยาธิใบไม้โลหิต และอื่นๆ รวมได้ถึง 12 ชนิด ซึ่งสามารถส่งต่อถึงมนุษย์ได้ผ่านทางมูลแมลงสาบ

อาการจากแมลงสาบ

อาการที่เกิดจากแมลงสาบแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มอาการ คืออาการที่มาจากโรคภูมิแพ้ จะมีคือ

  1. คันบริเวณผิวหนัง ตา หู เพดานปาก
  2. น้ำตาไหล  
  3. ไอ จาม
  4. ผื่นแพ้ บวม แดง
  5. ปวดตามร่างกาย
  6. เวียนหัว หน้ามืด
  7. ในบางรายอาจทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ หอบหืด ได้

ส่วนอาการที่มาจากเชื้อโรคต่างๆ ในรายที่อาการไม่หนักจะมีอาการคล้ายอาหารเป็นพิษคือ ป่วยนาน 8-72 ชั่วโมงและหายเองได้

  1. เป็นไข้
  2. ถ่ายเหลว
  3. อาเจียน

พฤติกรรมของแมลงสาบ

แมลงสาบเป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน สามารถกินอาหารได้ทุกประเภท เช่น พืช ซากสัตว์ เลือด น้ำลาย เสมหะ อุจจาระ ในขณะที่กินก็มีการขับถ่ายออกมาอีกด้วย มักอาศัยอยู่ในบริเวณ ที่มีอุณหภูมิอบอุ่นและมีความชื้น

วิธีการป้องกันแมลงสาบ

  1. ทำความสะอาดที่อยู่อาศัยให้สะอาดอยู่เสมอ เช่น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องเก็บของ
  2. ภาชนะที่มีอาหารควรใช้ฝาปิดอย่างมิดชิด และควรกำจัดเศษอาหารทุกวัน
  3. ควรทิ้งวัสดุ หรือของที่ไม่ใช้แล้ว เช่น หนังสือพิมพ์ กระดาษ เสื้อผ้า หรือภาชนะที่แตกหักเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงสาบ
  4. กำจัดแมลงสาบโดยใช้กับดักแมลงสาบ หรือยาฆ่าแมลง
  5. หากเจอซากแมลงสาบ ควรมีการทำความสะอาดในบริเวณนั้น

ที่มา

" ["post_title"]=> string(89) "แมลงสาบ เชื้อโรคร้าย กว่าที่คิด" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(200) "%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%9a-%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%88" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-08 17:41:11" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-08 10:41:11" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249705" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [9]=> object(WP_Post)#2601 (24) { ["ID"]=> int(249674) ["post_author"]=> string(2) "61" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-07 19:30:39" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-07 12:30:39" ["post_content"]=> string(23975) "

เริ่มแล้ว! งาน“โครงการหลวง 54” วันแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ บรรยากาศสุดคึกคัก ขอเชิญเลือกซื้อผลิตภัณฑ์คุณภาพพรีเมียมส่งตรงจากยอดดอย ได้แล้ววันนี้ -14 ส.ค. 66

บรรยากาศวันแรกภายในงาน “โครงการหลวง 54” ที่เซ็นทรัลเวิลด์ มีประชาชนเดินทางมาร่วมช้อป ชิม ซื้อ ผลิตผลผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับพรีเมียมภายในงานอย่างคึกคัก โดยงาน “โครงการหลวง 54” Royal Project : The Visionary of Urban Life “ไออุ่นจากขุนเขา เรื่องเล่าสู่ใจกลางเมือง” จัดขึ้นโดยมูลนิธิโครงการหลวงร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ภายในงานได้เนรมิตพื้นที่จำหน่ายผลิตผลผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับพรีเมียม ผลผลิตทางการเกษตรที่ปลูกโดยชาวเขาบนพื้นที่สูง สินค้าหัตถกรรม อาหารเมนูพิเศษจากวัตถุดิบคุณภาพ ผลิตภัณฑ์จากโครงการส่วนพระองค์ และดอยคำ จำลองบรรยากาศทุ่งดอกไม้นานาพรรณมาไว้ในศูนย์การค้า พร้อมนิทรรศการที่ให้สาระและความรู้ต่างๆ มากมาย

ขอเชิญชวนประชาชนมาเที่ยวชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อร่อย สด ใหม่ กว่า 1,000 รายการได้ในงาน “โครงการหลวง 54” ระหว่างวันที่ 4-14 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม Facebook : CentralWorld หรือ โครงการหลวง หรือ โครงการหลวง ดี อร่อย
ติดตามชมคลิปวีดีโอ “ไออุ่นจากขุนเขา เรื่องเล่าสู่ใจกลางเมือง” ที่ : https://youtu.be/mivHZO0REgc
คลิปวีดีโอสินค้าไฮไลท์ในงาน ที่ : https://youtu.be/uMbAuTg3vs8
ชมเรื่องราวของพู่กะเย่อและพัชรี กับไลฟ์สไตล์ชีวิตที่คัดสรรสิ่งดีๆให้ตัวเอง คลิก https://youtu.be/mivHZO0REgc

ไฮไลท์ภายในงานห้ามพลาด ตลอดทั้ง 11 วัน

ชมนิทรรศการ และการแสดงกิจกรรมในงานใน 6 โซนต่างๆ ดังนี้

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานสนับสนุนโครงการหลวง ได้แก่ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่นำอาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพของโครงการหลวงมาร่วมจำหน่ายมากมาย

" ["post_title"]=> string(202) "เริ่มแล้ว! งาน“โครงการหลวง 54” วันแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ บรรยากาศสุดคึกคัก" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(190) "%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7-%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%ab%e0%b8%a5" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-07 19:30:41" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-07 12:30:41" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249674" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [10]=> object(WP_Post)#2600 (24) { ["ID"]=> int(249641) ["post_author"]=> string(2) "74" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-07 14:26:47" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-07 07:26:47" ["post_content"]=> string(9474) "ใครๆ ก็คงอยากทำงานให้เสร็จทันเวลา ยิ่งไปกว่านั้นงานที่เสร็จต้องเป็นงานที่มีคุณภาพตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่จะมีวิธีการอย่างไรที่จะช่วยให้เราก้าวไปถึงผลลัพธ์หรือจุดมุ่งหมายที่ตั้งเป้าไว้ มาหาคำตอบไปพร้อมกัน  

Growth Mindset ที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ Carol S. Dweck นักจิตวิทยาและอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย Stanford University ได้ศึกษาการพัฒนาตนเองและเขียนหนังสือชื่อ Mindset: The New Psychology of Success ในปี ค.ศ.2006 ได้อธิบายถึงเรื่อง Growth Mindset ก้าวแรกของการสร้าง Growth Mindset คือการเตรียมตัว ค้นคว้าหาข้อมูลเป็นอย่างดี ก่อนที่จะลงมีทำอะไรใหม่ๆ หรือก่อนที่จะเริ่มโปรเจคงานใหม่ทุกครั้ง ถึงแม้ว่าสิ่งนี้อาจไม่ใช่ตัวบ่งบอกถึงผลลัพธ์ หรือไม่ได้การันตีว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาด แต่การเตรียมตัว การหาข้อมูลจะช่วยลดอัตราความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้น้อยลง ซึ่งการมี Growth Mindset ที่ดีในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่า จะไม่เกิดข้อผิดพลาดในงาน หรือเป็นเพียงแค่คาดหวังผลลัพธ์ในทางด้านดีอย่างเดียว แต่หมายถึงการตั้งใจฝึกฝน และเรียนรู้ที่จะนำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาปรับปรุง และต่อยอดในเรื่องการทำงานต่อไป  

รู้จัก ตัวเอง ให้มากขึ้น

ก่อนจะทำงานทุกชิ้นให้ถึงผลลัพธ์ เราควรจะรู้จักการตัวเอง เพื่อประเมินความสามารถของตัวเองให้ถูก อย่างเช่น เราได้รับงานมาหนึ่งชิ้น ก่อนอื่นต้องประเมินว่างานมีความยากง่ายแค่ไหน ใช้เวลาแค่ไหนในการทำ แล้วค่อยดำเนินการไปตามแผน หากไม่กำหนดระยะเวลา และคิดแต่จะให้งานเสร็จไว สุดท้ายแล้วถ้างานเสร็จไม่ทัน ผลลัพธ์ที่ตามมาคงหนีไม่พ้นความเครียด ยังไม่รวมถึงที่จะทำให้งานอื่นๆ มีความล่าช้าลงไปอีก นอกจากนี้ควรรู้เป้าหมายว่าเราทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร ทำงานชิ้นนี้ไปเพื่อใคร ตอบโจทย์กับอะไรบ้าง เพื่อที่จะทำให้เราเกิดแรงจูงใจในการทำงาน และสร้างสรรค์ผลงงานออกมาได้ดี ที่สำคัญเราจะได้ทำงานตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ให้สำเร็จอีกด้วย สุดท้ายแล้ว คือการรู้จักพัก และรู้จักลิมิตของตัวเอง การที่เราหักโหมงาน โดยไม่รู้จักลิมิตของตัวเอง นอกจากจะทำให้เรารู้สึกเครียดแล้ว ยังทำให้ประสิทธิภาพที่มีของงานลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุของการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง  

ควรมีภาวะผู้นำอยู่ในตัวเสมอ

Nick Papadopoulos รองประธานฝ่ายขายบริษัท CultureIQ และคอลัมนิสต์ประจำเว็บไซต์ Entrepreneur Asia Pacific ได้บอกว่าจากประสบการณ์ของตัวเขาเองที่เคยเป็นผู้บริหาร และเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับหลายๆ บริษัท พบว่ากลุ่มบริษัทที่จะประสบความสำเร็จ มีแนวคิดเหมือนกันคือให้พนักงานฝึกการมีภาวะผู้นำ ไม่ใช่เพียงแค่ระดับผู้บริหารเท่านั้น แต่เป็นพนักงานทุกคนที่อยู่ในบริษัทนั้น สำหรับแนวคิดนี้ เขาให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ถ้าคนเรามีภาวะผู้นำอยู่ในตัว คนนั้นจะสามารถพาตัวเองไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ ไม่เพียงเฉพาะแค่เรื่องการใช้ชีวิต แต่ยังรวมไปถึงเรื่องวิธีการทำงาน นอกจากนี้คนๆ นั้นจะมีการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ถึงผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้การมีภาวะผู้นำ ยังทำให้เราได้ฝึกทักษะการทำงานอีกหลายอย่างเช่น การตั้งคำถามต่องานที่เกิดขึ้น การคิดวิเคราะห์ในเรื่องราวต่างๆ รวมถึงฝึกทักษะการสังเกตให้มากขึ้น รวมไปถึงการพรีเซนงาน กล้าจะเสนอไอเดีย และกล้าจะพูดคุยในเรื่องข้อผิดพลาดในเนื้องานมากขึ้น   ทั้งหมดนี้เป็นเพียงพื้นฐาน หรือวิธีการทำงานเริ่มต้นเพื่อให้เราเข้าถึงผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ลงนำข้อมูลที่เราให้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ในงานที่ทำ แล้วจะเห็นที่ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น   ที่มา : thaihealthacademy  
 

เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลืมความกังวล ด้วยกิจกรรมง่ายๆ วันละ 5 นาที พาใจของเรากลับบ้าน เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน 10 วิธี ดูแลจิตใจ เจอหนักแค่ไหนก็เอาอยู่" ["post_title"]=> string(145) "เรียนรู้วิธีการทำงาน เพื่อให้ถึงผลลัพธ์ที่ตั้งไว้" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(199) "%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b9%80%e0%b8%9e" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-07 14:32:33" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-07 07:32:33" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249641" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } [11]=> object(WP_Post)#2674 (24) { ["ID"]=> int(249618) ["post_author"]=> string(2) "74" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-07 11:30:12" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-07 04:30:12" ["post_content"]=> string(14599) "

หากคุณคือผู้ใส่ใจในสุขภาพและความงาม หรือผู้สูงอายุที่กำลังมองหาความสมบูรณ์แบบ ความมั่นใจและอิสระในการใช้ชีวิต อย่าพลาด! งานสำคัญประจำปี “InterCare Asia 2023”

งานแสดงสินค้าและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่สำหรับทุกวัยครบวงจร ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 2 กันยายนนี้ ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

พบกับการรวมตัวของผู้ประกอบการชั้นนำกว่า 150 บริษัทจากธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง อุปกรณ์สำหรับผู้สูงอายุ สถานบริการ คลินิกสุขภาพ บริการท่องเที่ยว สินค้าแฟชั่น ฯลฯ ที่พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการในการเตรียมความพร้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าสำหรับทุกวัย

สุขภาพกาย

InterCare Asia 2023

สุขภาพทางการเงิน

สุขภาพใจ

พร้อมกิจกรรมพิเศษตลอดทั้ง 3 วันของการจัดงาน เปิดประสบการณ์ประทับใจที่สุดสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ

InterCare Asia 2023

พบกับสถานประกอบการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุคุณภาพแห่งปี 2566 ในการมอบรางวัล “Excellent Senior Service Award 2023”  โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสมาคมการค้าและการบริการสุขภาพผู้สูงอายุไทย ในวันศุกร์ที่ 1 กันยายนนี้

งาน "InterCare Asia 2023" จับมือ “O-lunla" นิตยสารชั้นนำสำหรับผู้สูงวัย จัดเต็มนวัตกรรมสินค้าและบริการเพื่อผู้ใส่ใจสุขภาพสำหรับทุกวัย

อย่างที่หลาย ๆ คนพูดว่า “เมื่อป่วยหนึ่งคน ก็เหมือนป่วยด้วยกันทั้งบ้าน” และเราจะผ่านช่วงเวลานั้นอย่างไร? ดังนั้น ในปีนี้ งาน “InterCare Asia” จึงเปิดพื้นที่พิเศษสำหรับ “โอ-ลั้นลา” ได้มาแบ่งปันความห่วงใย และร่วมแบ่งปันกำลังใจ ในโซน “Share & Care แค่รักยังไม่พอ”

Real Experience

ฟังชีวิต พิชิตทุกข์ เข้าใจ ยอมรับ ตระหนักรู้ เพื่อเดินต่อไปข้างหน้าจากผู้ (เคย) ป่วย และผู้ (เคย) ดูแลผู้ป่วย

Workshop & Activity

‘สนุก’ คลุก ‘ความรู้’  กิจกรรมและคลาสเวิร์กชอป เพื่อให้คนป่วยมีพลัง และคนดูแลผู้ป่วยก็ต้องยิ่งมีพลัง

Health Rally ร่วมสนุกกับกิจกรรมสะสมแต้มสุขภาพรับของรางวัล

ร่วมเต็มอิ่มกับสัมมนาที่หลากหลาย พร้อมคำแนะนำ และตอบทุกคำถาม เพื่อความอิสระอย่างสมบูรณ์แบบ

พิเศษกว่าครั้งไหน! ครบครันกว่าใคร! งาน "InterCare Asia 2023" ผนึกกำลังงาน "Wellness & Travel Fair 2023" เตรียมพร้อมนำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพครบวงจร

ในปีนี้งาน "InterCare Asia 2023" มอบที่สุดของความครบครันด้านการดูแลสุขภาพกายและใจ โดยจัดพร้อมกับงาน "Wellness & Travel Fair" โดยสมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย ซึ่งเป็นเวทีรวบรวมแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โรงพยาบาล อาหารสุขภาพ สินค้าที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ตลอดจนกิจกรรมจับคู่ธุรกิจด้าน Wellness สัมมนา “Wellness Trend Talk” โดยวิทยากรระดับประเทศ และกิจกรรมน่าสนใจอีกมากมาย เพื่อให้คุณได้เต็มอิ่มแบบคุ้มค่าและครบครันในที่เดียว

งานนี้เหมาะสำหรับ

เหตุผลสำคัญที่คุณไม่ควรพลาดงานนี้

ร่วมสร้างชีวิตอิสระ สำหรับสุขภาพกายและสุขภาพทางการเงิน ต้องเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้! ที่งาน “InterCare Asia 2023” วันที่ 31 สิงหาคม – 2 กันยายนนี้ ณ ฮอลล์ 6-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์... 3 วันเท่านั้น กับคำตอบเพื่อความพร้อมที่ดีกว่า!

SCAN เพื่อลงทะเบียนเข้าชมงาน

คิวอาร์ InterCare Asia 2023

ผู้สูงอายุสามารถลงทะเบียนได้ที่ LINE @intercare-asia พร้อมส่งข้อความ ชื่อ-นามสกุล / อายุ / หมายเลขโทรศัพท์มือถือ  เพื่อให้เราอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียน

" ["post_title"]=> string(250) "เริ่มต้นความพร้อมในวันนี้ เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในทุกด้าน กับงาน “InterCare Asia 2023”" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(198) "%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-09 10:31:27" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-09 03:31:27" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249618" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } } ["post_count"]=> int(12) ["current_post"]=> int(-1) ["in_the_loop"]=> bool(false) ["post"]=> object(WP_Post)#2610 (24) { ["ID"]=> int(249833) ["post_author"]=> string(2) "74" ["post_date"]=> string(19) "2023-08-15 13:12:06" ["post_date_gmt"]=> string(19) "2023-08-15 06:12:06" ["post_content"]=> string(11557) "“ การที่ น้ำตาลในเลือดสูง เปรียบเหมือนทุกเซลล์ในร่างกายถูกเชื่อม  ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัว คลายตัวได้ตามปกติ  คนเป็นเบาหวานจึงมักปวดตามกล้ามเนื้อต่าง ๆ  เดินไปชนอะไรนิดหน่อยผิวก็เขียวเป็นจ้ำ กล้ามเนื้อหัวใจก็บิดตัวไม่ดี  ไตเสื่อม  ตาเป็นต้อกระจก  ใบหน้าเหี่ยวย่น ผิวไม่อิ่มฟู เพราะคอลลาเจน อีลาสตินก็เชื่อมเหมือนกัน “ น้ำตาลจะเข้าไปทดแทนเนื้อเยื่อในกระดูก ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนเพิ่มขึ้น  พอน้ำตาลไปเกาะสมอง ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์เร็วขึ้น  น้ำตาลที่สะสมเป็นไขมัน เป็นเซลลูไลท์ เป็นโรคอ้วน   นอกจากนั้นพอไขมันไปสะสมในเลือด ทำให้เกิดพลัค (Plaque)  ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือด สโตรก   รวมทั้งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเสีย เกิดภาวะแพ้อาหารแฝง ติดเชื้อง่ายกว่าปกติ  เมื่อโควิด 19 ระบาด  คนเป็นเบาหวานเสียชีวิตมากขึ้น เพราะภูมิคุ้มกันไม่ดี”  

เกณฑ์ชี้วัดว่าน้ำตาลในเลือดสูง         

“นอกจาการวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่ทุกคนรู้จักแล้ว   การวัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด ฮีโมโกลบิน เอวันซี  ( Hemoglobin A1C - HbA1c) ก็สำคัญ เพราะจะทราบถึงพฤติกรรมของเราย้อนหลังไปได้ถึง 3เดือน “  ค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุดของ HB A1c    คือ 4.5-5   ถ้าจะเกินกว่านี้ก็ไม่ควรเกิน 6  ถ้า 6.5 ถือว่าใกล้เป็นเบาหวาน หรืออาจเป็นเบาหวานแล้วก็ได้  และถ้าเกิน 7 ไม่ดีแล้ว   หากพบว่า HB A1c อยู่ในระดับ 5.5-6  คุณต้องปรับปรุงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต  ทั้งการกินอาหาร การออกกำลังกาย ลดความเครียด ก่อนจะกลายเป็นเบาหวาน “ นอกจากนั้นในต่างประเทศยังมีการวัด   AGEs (Advanced Glycation End-Products)  ซึ่งเป็นภาวะก่อนจะเป็นเบาหวาน ถ้ากำจัดสารตัวนี้ได้ เราก็จะไม่เป็นเบาหวาน “ ไกลเคชั่น (Glycation)  เกิดจากน้ำตาลทำปฏิกิริยากับโปรตีนในร่างกาย  ทำให้เซลล์ถูกเคลือบด้วยสารแก่ เป็นภาวะที่น้ำตาลในกระแสเลือดไปทำปฏิกิริยาทางเคมีกับโปรตีนในร่างกาย  ก่อให้เกิดความเสื่อมและความชราก่อนวัย “ ไกลเคชั่น เปรียบเหมือนสนิมเกาะเหล็ก ในกรณีนี้คือน้ำตาลเริ่มไปเกาะตามข้อต่อของโมเลกุลต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้โครงสร้างเซลล์เริ่มเปลี่ยน   ผลวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการทำงานของสมอง พบว่าเมื่อน้ำตาลเริ่มไปเกาะไปกวนสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ((hippocampus) ทำให้สมาธิไม่ค่อยดี หลงลืมอะไรง่าย คุย ๆ อยู่นึกชื่อคนไม่ออก  เพราะน้ำตาลไปรบกวนโครงสร้างและการทำงานของสมอง “ ผลการวิจัยอีกชิ้น ซึ่งตัดกระดูกของคนที่ยังไม่เป็นกระดูกพรุนแต่อายุมากกว่า 44 ไปตรวจ พบว่า การที่สารไกลเคชั่นเริ่มไปแทรกเข้าไป ทำให้โครงสร้างกระดูกเปลี่ยนไป คือยังไม่ถึงกับทำให้กระดูกบาง แต่เริ่มบาง “ จะเห็นได้ว่าน้ำตาลสูงไป ต่ำไป ไม่ดีทั้งสองแบบ เราจึงต้องอยู่บนทางสายกลาง”    

แต่ละวันเราต้องการน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน

          “ ขึ้นอยู่กับกิจกรรม วัย อาชีพ และโรคของแต่ละคน  นอกจากนั้นอวัยวะแต่ละอวัยวะก็ต้องการใช้น้ำตาลไม่เท่ากัน  คำว่าใช้น้ำตาล ไม่ใช่ การเผาผลาญน้ำตาลเสียทุกกรณีไป   การเผาผลาญพลังงาน เรียกว่า  fat metabolism  ส่วนการใช้น้ำตาล คือ   glycolysis  ซึ่งแต่ละคนใช้ไม่เท่ากัน “เมื่อก่อนกิจกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ทำงานใช้แรง ตื่นเช้ามาไปทำงาน ทำสวน  การเผาผลาญพลังงานในแต่ละวันสูง  จึงกินข้าวเยอะ  แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีทำให้มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย  งานที่ทำส่วนใหญ่ก็นั่งโต๊ะ ไม่ค่อยได้เดินไปไหน เมื่อไม่ต้องใช้แรงมากเท่าเมื่อก่อนก็ควรจะต้องลดการกินแป้งลง โดยเฉพาะ ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ซึ่งมีน้ำตาลค่อนข้างสูง “ ปัจจุบัน อาหารใดน้ำตาลมากน้ำตาลน้อย  เราดูจากค่าดัชนีน้ำตาล  (Glycemic Index: GI) ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกความสามารถของร่างกายในการดูดซึมอาหารชนิดต่าง ๆ   แบ่งเป็นอาหารจีไอต่ำ มีค่าต่ำกว่า 55  อาหาร จีไอปานกลาง มีค่าระหว่าง 55-69  ส่วนอาหารจีไอสูง คืออาหารที่มีค่าตั้งแต่ 70 ขึ้นไป “ โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานอาหารจีไอต่ำ  ได้แก่อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักใบทุกชนิด ถั่ว ธัญพืช  และผลไม้รสหวานน้อย เช่น ลูกพลัม เชอรี่    และหลีกเลี่ยงอาหารจีไอสูง  ซึ่งได้แก่ กลุ่มแป้ง ขนมปัง โดนัท ขนมเค้ก น้ำส้ม  ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวเหนียว  ซีเรียล สปาเกตตี้ ที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม “ อย่างไรก็ตาม อาหารจีไอสูง ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป บางครั้งเวลาที่เราต้องการความสดชื่น ไม่จำเป็นว่าต้องกินแต่อาหารจีไอต่ำตลอดเวลา  หรือผักบางชนิดที่จีไอค่อนข้างสูง เช่น ผักกลุ่มฟักทอง มันหวานต่าง ๆ  แต่ก็มีไฟเบอร์ แคโรทีน จึงไม่ได้เป็นตัวร้าย 100 เปอร์เซ็นต์” อยากให้เขา(น้ำตาล) มามีบทบาทในชีวิตแค่ไหน เราเลือกได้ค่ะ ข้อมูลจาก : พญ. สาริษฐา สมทรัพย์
  เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาหารกาย & อาหารใจเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง แมลงสาบ เชื้อโรคร้าย กว่าที่คิด ออกกำลังกาย 10 นาทีขึ้นไป ช่วยลดโรค" ["post_title"]=> string(108) "ว่ากันด้วยเรื่องของ "น้ำตาลในเลือดสูง"" ["post_excerpt"]=> string(0) "" ["post_status"]=> string(7) "publish" ["comment_status"]=> string(4) "open" ["ping_status"]=> string(4) "open" ["post_password"]=> string(0) "" ["post_name"]=> string(190) "%e0%b8%a7%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%99%e0%b9%89" ["to_ping"]=> string(0) "" ["pinged"]=> string(0) "" ["post_modified"]=> string(19) "2023-08-15 13:12:06" ["post_modified_gmt"]=> string(19) "2023-08-15 06:12:06" ["post_content_filtered"]=> string(0) "" ["post_parent"]=> int(0) ["guid"]=> string(31) "https://cheewajit.com/?p=249833" ["menu_order"]=> int(0) ["post_type"]=> string(4) "post" ["post_mime_type"]=> string(0) "" ["comment_count"]=> string(1) "0" ["filter"]=> string(3) "raw" } ["comment_count"]=> int(0) ["current_comment"]=> int(-1) ["found_posts"]=> int(20916) ["max_num_pages"]=> float(1743) ["max_num_comment_pages"]=> int(0) ["is_single"]=> bool(false) ["is_preview"]=> bool(false) ["is_page"]=> bool(false) ["is_archive"]=> bool(false) ["is_date"]=> bool(false) ["is_year"]=> bool(false) ["is_month"]=> bool(false) ["is_day"]=> bool(false) ["is_time"]=> bool(false) ["is_author"]=> bool(false) ["is_category"]=> bool(false) ["is_tag"]=> bool(false) ["is_tax"]=> bool(false) ["is_search"]=> bool(false) ["is_feed"]=> bool(false) ["is_comment_feed"]=> bool(false) ["is_trackback"]=> bool(false) ["is_home"]=> bool(true) ["is_privacy_policy"]=> bool(false) ["is_404"]=> bool(false) ["is_embed"]=> bool(false) ["is_paged"]=> bool(true) ["is_admin"]=> bool(false) ["is_attachment"]=> bool(false) ["is_singular"]=> bool(false) ["is_robots"]=> bool(false) ["is_favicon"]=> bool(false) ["is_posts_page"]=> bool(false) ["is_post_type_archive"]=> bool(false) ["query_vars_hash":"WP_Query":private]=> string(32) "8a218beadd5f4225129411dd738593a4" ["query_vars_changed":"WP_Query":private]=> bool(false) ["thumbnails_cached"]=> bool(false) ["allow_query_attachment_by_filename":protected]=> bool(false) ["stopwords":"WP_Query":private]=> NULL ["compat_fields":"WP_Query":private]=> array(2) { [0]=> string(15) "query_vars_hash" [1]=> string(18) "query_vars_changed" } ["compat_methods":"WP_Query":private]=> array(2) { [0]=> string(16) "init_query_flags" [1]=> string(15) "parse_tax_query" } }
บทความโดย Porko - Page 2 of 4