เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิตให้ทันสมัย แต่กลับเป็นอันตรายต่อดวงตาเรามากขึ้น!

พัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์แทบจะไม่สามารถแยกขาดออกจากอุปกรณ์ไอที ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ กล้องดิจิตอล คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ไม่สามารถขาดไปจากชีวิตคนส่วนใหญ่ได้ ทำให้สายตาของคนเราไม่แยกขาดจากหน้าจอของอุปกรณ์เหล่านี้ ไม่เว้นแม้แต่หน้ากระดาษเอกสาร หนังสือ นิตยสารต่างๆ ก็ล้วนปรับให้อยู่ในรูปแบบที่สะดวกสบายขึ้นในแล็ปท็อป โน้ตบุก และแท็บเล็ต โดยเฉพาะมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานกว่าวันละ 8 ชั่วโมง จากสิ่งเหล่านี้มีใครเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าผลเสียที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ไอทีเหล่านี้นั้นส่งผลต่อ “ดวงตา” ของเรามากแค่ไหน?

หากพูดถึงเรื่องของอุปกรณ์ไอทีหรือเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตคนเรา อย่างโทรศัพท์มือถือที่ในอดีตเราเอาไว้ใช้พูดคุยสื่อสารกันเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีการใช้งานที่หลากหลายขึ้น ทั้งใช้ท่องโลกอินเทอร์เน็ต ถ่ายรูป เล่นเกม ฟังเพลง ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คตลอดจนค้นหาและติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ เป็นต้น ส่งผลให้เกิดค่านิยมกลุ่มสังคมก้มหน้า นิ้วจิ้มสมาร์ทโฟน ซึ่งระบาดไปทั่ว พ่อแม่ยุคนี้ก็มักจะเลี้ยงลูกด้วยการยัดแท็บเล็ตใส่มือลูก เพียงเท่านี้เด็กๆ ก็นั่งเงียบ ไม่งอแงรบกวนเป็นที่รำคาญ

การระบาดของอุปกรณ์ไอทีทำให้วิถีชีวิตของเราค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จำนวนผู้ป่วยที่มีปัญหาดวงตามากเกินไปในช่วงก่อนเข้านอนมีมากขึ้นเรื่อยๆ อาการเหล่านี้หากเป็นเพียงโรคดวงตาทั่วๆ ไป เช่น เยื่อบุตาอักเสบ หรือกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า ก็ยังรักษาได้ไม่ยากด้วยการหยอดตา หรือการพักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่ที่น่าวิตกกังวลกว่าคือ ผู้ป่วยเหล่านี้เป็นหนุ่มสาวยุคใหม่ที่ติดอุปกรณ์ไอที บางคนเป็นโรคดวงตาก่อนวัยอันควร เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อหิน และโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่ทำร้ายดวงตาอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะปล่อยให้เกิดโรคเหล่านี้ เราจึงควรระมัดระวังและหาวิธีป้องกันแต่เนิ่นๆ

ร้ายแรงยิ่งกว่าติดยา รักษาอย่างไรก็เลิกไม่ขาด

ทุกวันนี้อุปกรณ์ไอทีเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา หลายครัวเรือนมีคอมพิวเตอร์ใช้ ทั้งยังมีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตและสามาร์ทโฟนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามการใช้อุปกรณ์ไอทีนานๆ ส่งผลกระทบที่เป็นภัยต่อร่างกายหลายประการ ทั้งทำลายดวงตา ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เสียงที่ดังเกินไปจากอุปกรณ์เหล่านี้ยังเป็นอันตรายต่อหูและประสาทการฟังด้วย เชื่อมั้ยว่ามันถึงขั้นมีโรคที่เรียกว่า โรคติดอินเทอร์เน็ต เป็นอาการที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ไอทีท่องอินเทอร์เน็ตจนติดงอมแงมไม่ต่างจากการติดแอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือสารเสพติดอื่น       ถึงขั้นเลิกอย่างไรก็เลิกได้ไม่ขาดขนาดนั้นเลย

แสงสีน้ำเงิน (Blue Light) ภัยดวงตาที่แฝงมากับหน้าจอ

หลายคนเคยได้ยินคำว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจกันบ่อยๆ ใช่มั้ยคะ เราสัมผัสโลกภายนอกผ่านดวงตาซึ่งทำให้เรามองเห็น กระจกตาและเลนส์แก้วตาของคนเรามีโครงสร้างโปร่งใส แสงจะผ่านรูม่านตาไปตกกระทบที่จอประสาทตา จากนั้นเซลล์รับแสงจะแปลงสัญญาณส่งไปยังสมอง เกิดเป็นภาพที่เรามองเห็น

แสงสีน้ำเงิน เป็นแสงที่อยู่ในช่วงแสงสีขาวที่คนเรามองเห็น เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำขึ้นทำให้มนุษย์ได้รับแสงสีน้ำเงินมากขึ้นจากการใช้อุปกรณ์ไอที แสงสีน้ำเงินทำให้ภาพหน้าจอคมชัดและมีสีสดใส ทั้งยังมีในแสงจากหลอดไฟ LED หลอดไฟนีออน หลอดฟลูออเรสเซนต์ ฯลฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับพลังคลื่นของแสงอื่นๆ แสงสีน้ำเงินถือเป็นอันตรายร้ายแรงต่อจอประสาทตาอย่างมากค่ะ

>>อ่านต่อหน้าถัดไป<<