วิธีที่ 1 เปลี่ยนรูปแบบการตื่น - การนอน
คุณพอลลา ฟอร์ด-มาร์ติน (Paula Ford-Martin) นักเขียนแนวสุขภาพ แนะนำไว้ในหนังสือ The Everything Health Guide to Migraines ว่า การนอนหลับมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคไมเกรน โดยพบว่า การงีบพักผ่อนในช่วงเวลาสั้นๆ และการนอนหลับสนิทในช่วงเวลากลางคืนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง โดยไม่ถูกรบกวนจากสิ่งแวดล้อมภายนอกก็ช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้
ดังนั้นถ้าอาการไมเกรนกำเริบจากการนอนไม่ถูกต้อง จึงควรแก้ไขโดยการปรับตารางการเข้านอนและการตื่นนอนเสียใหม่ ซึ่งต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยลดการเกิดไมเกรนได้
โดยสามารถปรับเปลี่ยนเวลาตื่นและเข้านอนได้ดังต่อไปนี้
– เข้านอนก่อนเวลา 23.00 น.
– ตื่นนอนเวลา 6.00 น.
– กินอาหารเช้าเวลา 7.00 น.
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเข้านอนดึก ไม่ควรเข้านอนหลังจากเวลา 1.00 น. ไปแล้ว และไม่ควรตื่นสายจนถึงเวลาบ่ายเพราะจะทำให้อาการปวดไมเกรนกำเริบได้
และสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอคือ อาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ควรกินหลังเวลา 10.00 น. เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่งผลให้อาการปวดไมเกรนกำเริบได้เช่นกัน
NATURAL PAINKILLER
เรามีวิธีช่วยนอนหลับสนิทป้องกันอาการปวดไมเกรนมาแนะนำดังนี้
- ใช้ผ้าปิดตาหรือคูลเจลปิดตาก่อนนอน
- ฝึกโยคะท่าง่าย ๆ หรือเปิดเพลงฟังเบาๆ ก่อนนอน
- นอนแช่น้ำอุ่น พร้อมกับจิบชาที่ไม่มีกาเฟอีน

วิธีที่ 2 ออกกำลังกายลดเครียด
คุณพอลลาอธิบายว่า ความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญมากที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ มีรายงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับโรคไมเกรน โดยความเครียดจะส่งผลให้การทำงานของฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นสาเหตุของอาการไมเกรน
นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยบางเรื่องพบว่า ผู้ที่มีความเครียดมากๆ ร้องไห้เยอะ หรือมีความกังวลสูง ร้อยทั้งร้อยจะต้องถูกอาการปวดไมเกรนเล่นงาน
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องลดปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด ทำให้ร่างกายผ่อนคลายลงสำหรับวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดความเครียดได้คือการออกกำลังกายประเภทแอโรบิก ระดับความหนักปานกลาง เช่น จ๊อกกิ้ง เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ ไทชิ เพราะขณะที่เราออกกำลังกายนั้น ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติในร่างกาย ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชฌฆาตความปวดโดยจะเข้าไปช่วยจัดการและรักษาอาการปวดไมเกรนได้
NATURAL PAINKILLER
- เริ่มต้นจากการออกกำลังกายแบบเบาๆ ในวันแรก แล้วค่อยไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ในวันถัดไป
- ควรออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันวันละประมาณ 10 - 15 นาที
- ควรมีเทรนเนอร์ควบคุมการออกกำลังกายเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด