ไม่มีเซ็กซ์ ไม่ผิดหรอก แต่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

ไม่มีเซ็กซ์ ไม่ผิดหรอก แต่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

ใครที่ นานๆ ที มีเซ็กซ์ที หรือ ไม่มีเซ็กซ์ มานานหลายปี อาจต้องดูแลสุขภาพมากขึ้นหน่อย เพราะการที่ไม่ทำการบ้าน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเราได้

ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟินน้อยลง

ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่า ‘สารเอ็นดอร์ฟิน’ เป็นฮอร์โมนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดตามธรรมชาติที่ผลิตจากภายในร่างกายหลังทำกิจกรรมต่างๆ  เช่น การออกกำลังกาย การมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ดังนั้น การขาดหายไปของเซ็กส์จึงส่งผลต่อฮอร์โมนนี้ที่อาจขาดหายตามไปด้วย แต่ถ้าคุณไม่มีคู่นอนที่จะทำเรื่องอย่างว่า เราก็แนะนำให้หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งช่วยได้เหมือนกัน

ความเครียดสะสมมากขึ้น

ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์เซ็กส์อันยอดเยี่ยมมาก่อน ก็น่าจะสัมผัสได้ถึงความสุขในช่วงเวลานั้นว่าเป็นอย่างไร ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารฉบับหนึ่งเมื่อปี 2005 ทางชีวจิตวิทยาชี้ให้เห็นว่า การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนมีประสิทธิภาพมากกว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เพราะการมีเซ็กซ์ นอกจากจะช่วยเพิ่มระดับสารเอ็นดอร์ฟินแล้ว ยังช่วยหลั่งฮอร์โมนอ็อกซิโทซิน (Oxytocin) ที่ผลิตโดยสมอง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้ง ‘คอร์ติซอล’ (Cortisol) ฮอร์โมนแห่งความเครียดที่ส่งผลเสียต่อร่างกายในด้านต่างๆ เช่น นอนไม่หลับ หิวตลอดเวลา ระบบทางเดินมีปัญหา อารมณ์หงุดหงิดง่าย เป็นต้น

นอกจากนี้ ผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร Family Psychology ในปี 2010 ซึ่งทดลองกับนักศึกษาหญิงในวิทยาลัยถึงระดับความเครียดในแต่ละวัน และการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสอบปลายภาคของพวกเธอ แม้บางรายจะให้ความเห็นว่ายังพอมีวิธีอื่นที่ช่วยคลายความเครียดลงได้ แต่เมื่อเทียบกับนักศึกษาหญิงที่มีเซ็กส์สม่ำเสมอ พบว่าสาวๆ เหล่านี้ มีระดับความเครียดน้อยกว่าสาวๆ ที่ไม่มีเพศสัมพันธ์เลย

ส่งผลต่อความจำ

ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม็กกิลล์พบว่า การมีเพศสัมพันธ์ช่วยเพิ่มศักยภาพในการจำ เนื่อจากสารเคมีที่สมองหลั่งขณะมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยพัฒนาเนื้อเยื่อประสาทในสมอง ทำให้ความจำดียิ่งขึ้น

โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองโดยให้อาสาสมัครจำนวน 78 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-29 ปี ทำแบบทดสอบการจดจำคำที่เป็นนามธรรม และใบหน้าของผู้คนในคอมพิวเตอร์ ผลปรากฎว่า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง สามารถจดจำคำได้มาก แต่การมีเพศสัมพันธ์ไม่ส่งผลต่อศักยภาพในการจดจำใบหน้า

นักวิจัยยังได้ระบุว่า การมีเพศสัมพันธ์จะช่วยพัฒนาระบบประสาทในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส และทำให้เนื้อเยื่อประสาทเติบโตเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยสามารถจดจำคำได้มาก ขณะที่ความสามารถในการจดจำใบหน้าหรือภาพ จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างภายนอกของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ซึ่งไม่เกี่ยวกับสมองส่วนฮิปโปแคมปัสโดยตรง จึงทำให้การมีเพศสัมพันธ์บ่อย ไม่ช่วยให้ศักยภาพในการจดจำใบหน้าเพิ่มขึ้น

กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น

เซ็กช์ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคู่ที่คุณและเธอควรให้ความสำคัญ เพราะการได้ใช้เวลาแนบชิดทำกิจกรรมจังหวะรักก็ถือเป็นยาชนิดหนึ่งที่ช่วยเยียวยาความสัมพันธ์ของคุณทั้งสองให้แน่นแฟ้นขึ้น เพราะอย่างที่รู้ การห่างหายการมีเพศสัมพันธ์เป็นระยะเวลานาน ก็อาจเป็นบ่อเกิดของการนอกใจและเลิกราในภายหลัง ดังนั้น ไม่ว่าชีวิตของคุณหรือเธอจะเต็มไปด้วยหน้าที่การงาน แต่อย่างๆ น้อย ก็ให้เวลาสำหรับเรื่องนี้สักสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี อย่าปล่อยละเลยจนไม่มีเลย

ผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน

งานวิจัยจากวารสาร Psychological Reports ระบุว่าการมีเพศสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สามารถกระตุ้นการสร้างอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ซึ่งเป็นสารจากระบบภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค หรือแอนติบอดี (Antibody) บางชนิดสูงกว่าผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศน้อยครั้ง แต่นอกจากการมีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงด้วยวิธีอื่นด้วย เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามระยะเวลาที่กำหนด และใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงทุกครั้ง เป็นต้น

ลดโอกาสเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

มีผลการศึกษาหลายชิ้นที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ว่า การหลั่งน้ำอสุจิบ่อยๆ ช่วยลดเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ยกตัวอย่างผลการวิจัยในวารสารสาเหตุและการควบคุมโรคมะเร็งของอเมริกา ได้ให้คำอธิบายนี้ว่า ผู้ชายที่ใช้ชีวิต ‘อย่างมีสุขภาพดี’ ด้วยการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดบุหรี่ และเลี่ยงแอลกอฮอล์ (บ้าง) จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึงประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการมีเซ็กซ์ที่มี ‘คุณภาพ’ อย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน

โดยผลวิจัยสรุปได้ว่า ‘ความถี่’ ของการ ‘หลั่งน้ำอสุจิ’ สัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก นั่นหมายความว่า ถ้าคุณ ‘ถึงจุดสุดยอด’ บ่อยๆ โอกาสที่จะเป็นโรค PCa ก็จะน้อยลง ซึ่งในการวิจัยได้มีการสอบถามผู้ชาย 29,342 คน ที่มีอายุระหว่าง 46-81 ปี เพื่อเก็บสถิติจำนวน ‘การหลั่งน้ำอสุจิ’ โดยเฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ผู้ชายที่มีการหลั่งน้ำอสุจิออกมาอย่างน้อย 21 ครั้งต่อเดือน มีความเสี่ยง PCa ลดลงร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับผู้ชายที่หลั่งเพียง 4-7 ครั้งต่อเดือน ซึ่งทีมวิจัยมีสมมติฐานว่า ‘น้ำอสุจิ’ ที่คั่งค้างอยู่ภายในร่างกายและไม่ได้ถูก ‘หลั่ง’ ออกมาเป็นเวลานาน อาจมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของกระบวนการออกซิเดชัน จนทำให้เป็นพิษต่อต่อมลูกหมาก

ผลต่อผนังช่อคลอด

สำหรับปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงในวัยที่หมดประจำเดือนแล้ว ซึ่งหากปราศจากการมีเพศสัมพันธ์เป็นระยะเวลานาน จะทำให้ผู้หญิงวัยนี้มีช่องคลอดที่บางลง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการเจ็บบริเวณปากช่องคลอดและอาจมีเลือดออกในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งถัดไป โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หญิงวัยนี้ควรมีเซ็กซ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดปัญหาความอ่อนแอของผนังช่องคลอด

นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอยังสามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนลงได้ เพราะว่ากล้ามเนื้อบริเวณมดลูกจะเกิดการหดตัวเมื่อผู้หญิงถึงจุดสุดยอด รวมถึงสารเอ็นดอร์ฟินที่ร่างกายผลิตขึ้นมาภายหลังถึงจุดสุดยอด จะช่วยลดปัญหาการปวดประจำเดือนได้อีกด้วย

ส่งผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย

ผลการศึกษาที่เผยแพร่ใน American Journal of Medicine ปี 2008 รายงานว่า จากการทดสอบผู้ชายจำนวน 900 คน ตั้งแต่วัย 55-75 ปี พบว่า ผู้ชายเกือบครึ่งหนึ่งที่มีเพศสัมพันธ์ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะประสบปัญหาอวัยวะเพศชายไม่แข็งตัวน้อยกว่าคนที่ไม่มีเพศสัมพันธ์เลย อีกทั้งการมีเซ็กซ์สม่ำเสมอสามารถช่วยป้องกันปัญหาอวัยวะเพศไม่แข็งตัว ซึ่งเป็นปัญหาที่นำไปสู่การนออกใจและการหย่าร้างในภายหลังได้

ดีต่อสุขภาพหัวใจ

นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว การมีเพศสัมพันธ์ยังส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจด้วย ผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร American Jouranal of Cardiology ได้ระบุถึงการเชื่อมโยงของความถี่ในการมีเซ็กซ์ที่ส่งผลต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจ แม้การศึกษานี้จะไม่ได้บอกว่าการมีเซ็กซ์บ่อยช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ แต่ตามรายงานของคลีฟแลนด์คลีนิคแสดงว่าเซ็กซ์เป็นสิ่งที่เข้ากับสุขภาพหัวใจที่ดี

ขอบคุณข้อมูลจาก GQ Thailand

บทความอื่นที่น่าสนใจ

WORKOUT PROGRAM ลดความดัน ป้องกันเส้นเลือดแตก

7 อโรมาเทอราปี กลิ่นบำบัด ผ่อนคลายสมอง ลดซึมเศร้า

อาหารฟาสต์ฟู้ด ของอร่อย ดีต่อใจ แต่ไม่ใช่สุขภาพ