5. กินอาหารฤทธิ์เย็นหรือฤทธิ์กลาง เช่น แตงโม สาลี่ เป็นต้น และหลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารที่มีรสเผ็ดร้อนสามารถกินได้ แต่ต้องควบคุมให้อยู่ในปริมาณพอเหมาะ
6. ดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และอยู่กับอากาศตามฤดูกาล การปล่อยให้ร่างกายต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่แปรเปลี่ยนกะทันหันหรือถูกลมเป่าโกรกร่างกายตรง ๆ เพราะจะทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันและเจ็บป่วยง่าย
7. พักผ่อนให้เพียงพอ แนะนำว่าอย่างน้อย ๆ ควรนอนหลับให้สนิทในช่วงเวลา 23.00 น. – 3.00 น. เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่เส้นลมปราณของถุงน้ำดีและตับทำงานมากที่สุด เลือดทั่วร่างกายจะไหลเวียนกลับไปสู่ตับ โดยตับจะช่วยทำลายสารพิษต่าง ๆ ในเลือดและสร้างเลือดใหม่
8. ควรออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การรำไทเก๊ก ที่นอกจากจะช่วยให้เลือดลมเดินสะดวกแล้ว ยังช่วยเรื่องการเผาผลาญพลังงานและสร้างสมาธิ ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
สุดท้ายนี้ อาจารย์วีรชัยได้ให้ คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคเอสแอลอี ไว้ว่า การรักษาโรคเอสแอลอีนั้นไม่ควรรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกอย่างเดียว แต่ควรทำควบคู่ไปกับการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยแพทย์แผนจีนจะทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมการรักษาหลัก ปรับการทำงานของอวัยวะภายในให้ประสานสอดคล้องกันส่งผลในการเสริมฤทธิ์ของยาแผนปัจจุบันต่าง ๆ จึงสามารถลดขนาดยาแผนปัจจุบันลงมาในปริมาณที่ต่ำที่สุด แต่ยังมีฤทธิ์รักษาได้ เช่น ช่วยลดปริมาณการใช้ยาจำพวกสเตียรอยด์ลง จึงช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาดังกล่าวได้ แต่ทั้งนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ไม่ควรซื้อยากินเองหรือปรับลดปริมาณยาด้วยตนเองโดยเด็ดขาด
บทความน่าสนใจอื่นๆ
บรรเทาโรคเอสแอลอีด้วยการดูแลตัวเอง
วิตามินเพิ่มอิมมูน ป้องกัน เอสแอลอี( SLE )