การเกิดใหม่อีกครั้ง ของ หนิง ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา
หนิง ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา เป็นคนมีคติในการใช้ชีวิตที่ไม่ตายตัว เพียงแต่ไม่ว่าจะทำอะไร หนิงต้องทำให้ “ดีที่สุด”ต้องวางแผนไว้เป็นขั้นเป็นตอนเป๊ะ ๆ เพื่อที่หนิงจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้หมด แต่แล้วความคิดนี้ก็เริ่ม “เปลี่ยน” ไปเมื่อหนิงมีลูกค่ะ
หนิงเคยคิดว่าการมีลูกเป็นสิ่งที่สวยงาม มีความสุข พอเอาเข้าจริงกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะกว่าจะเดินไปถึงจุดนั้นได้ คนเป็นแม่ต้องผ่านบททดสอบมากมายที่รออยู่ข้างหน้า
บททดสอบของหนิงเริ่มขึ้นตั้งแต่คืนแรกหลังกลับจากโรงพยาบาลค่ะ เมื่อจู่ ๆ น้องเบลล่า (ด.ญ.กุญช์จารี จีระแพทย์) ที่ดูเหมือนจะเลี้ยงง่าย แผดเสียงร้องไห้จ้าจนหนิงและสามีงงไปหมด เพราะไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องง่าย ๆ จำได้แม่นเลยว่า คืนนั้นเบลล่าร้องไห้ตั้งแต่สองทุ่มถึงตีสี่ ก่อนจะค่อย ๆ หยุดร้องไปเอง
ด้วยความกลัวว่าลูกจะเป็นอะไร หนิงกับสามีต้องนั่งเฝ้าเบลล่าทั้งคืน เมื่อไม่เห็นความผิดปกติ รุ่งเช้าจึงรีบพาไปหาคุณหมอทันที ถึงได้รู้ว่าเบลล่ากำลังอยู่ใน “ภาวะโคลิก” หรือ “เด็กร้องร้อยวัน” ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ได้อันตรายอะไร และจะหายไปเองเมื่ออายุได้ 3 เดือน เพียงแต่ในระยะนี้พ่อและแม่ต้องอดทนอดกลั้นให้มากเข้าไว้
คืนต่อ ๆ มาเบลล่ายังคงร้องไห้ตั้งแต่สองทุ่มถึงตีสี่อีก หนิงก็อดนอน นั่งเฝ้าลูกอีกเช่นเคย ไม่กี่วันต่อมาหนิงเริ่มเข้าสู่ภาวะเครียดจากการอดนอน และเริ่มมี “ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด” ตามมา
จากเดิมที่เคยเป็นคนไฮเปอร์ วันหนึ่ง ๆ ต้องทำกิจกรรมนั่นนี่ตลอดวัน แต่เมื่อต้องเลี้ยงลูก หนิงกลับเป็นคนอยู่ติดที่ เพราะอยากเห็นลูกตลอด 24 ชั่วโมง ขนาดกลางวันยังไม่กล้านอนเพราะกลัวคนจะมาขโมยลูก ยิ่งกลางคืนยิ่งไม่นอน เพราะห่วงลูกที่เอาแต่ร้องไห้ จนบางทีหนิงก็ร้องไปกับลูกด้วย แล้วช่วงนั้นถ้าใครพูดถึงลูก หนิงก็จะเศร้า ร้องไห้ เรียกว่าเป็นช่วงชีวิตที่เครียดมาก ทุกข์มาก และเหนื่อยมากที่สุด
เชื่อไหมคะว่า เจออย่างนี้เข้าไปเดือนเดียวเท่านั้น น้ำหนักของหนิงก็ลดพรวดพราดลงถึง 15 กิโลกรัม!
และแล้วเมื่อครบสามเดือน ไม่เพียงเบลล่าจะหายจากภาวะโคลิกอย่างที่คุณหมอบอกไว้จริง ๆ เท่านั้น ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของหนิงก็พลอยหายไปด้วย สภาพจิตใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเรียกว่าโล่งอกกันทุกฝ่าย
เหตุการณ์ 3 เดือนนั้นทำให้หนิงรู้เลยว่า “การมีลูกก็เหมือนกับว่าเราได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เกิดเพื่อฝ่าบทพิสูจน์ความเป็นแม่ให้สำเร็จที่สำคัญ การมีลูกยังทำให้หนิงเรียนรู้ว่า “จริง ๆ แล้วเราไม่สามารถควบคุมอะไรในโลกได้ทั้งหมด เพราะแม้แต่ลูกร้องไห้ หนิงยังไม่รู้เลยว่าลูกร้องเพราะอะไร หรือจะสั่งให้หยุดร้องก็ทำไม่ได้”
เมื่อความจริงของชีวิตเป็นแบบนี้ หนิงก็ต้องพยายามยอมรับและทำความเข้าใจให้ได้ ต้องรู้จักปล่อยวาง ไม่ตึงเกินไป เช่น ทำอะไรแบบที่ไม่ต้องวางแผนบ้างก็ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดสามารถฝึกให้เราตื่นตัว รู้จักแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว
ทุกวันนี้หนิงเริ่มมีความสุขกับการเป็นแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่าการมีลูกทำให้จุดมุ่งหมายในชีวิตเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยคิดถึงตัวเองก่อน พอมีลูกหนิงก็จะคิดถึงลูกก่อน หายใจเข้าก็ลูก หายใจออกก็ลูก อยากทำทุกอย่างเพื่อลูก ที่สำคัญที่สุด หนิงอยากเป็นคนที่ดีขึ้น เพราะที่สุดแล้วลูกก็คือ “กระจกเงาของพ่อแม่”พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นแบบนั้น
หนิงตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกอย่างเข้าใจธรรมชาติของเขาให้มากที่สุด จะไม่บังคับหรือควบคุมให้เป็นไปตามต้องการเพราะวันหนึ่งลูกก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตใครได้ แม้ต่อไปหากลูกจะไม่ดูแลเรา หนิงก็จะไม่เสียใจเลย เพราะหนิงกับสามีไม่ได้ต้องการให้ลูกเกิดมาเพื่อดูแลเรา แต่เราต้องการให้ลูกเกิดมาเพื่อรับความรักจากเราต่างหาก
นอกจากนั้นแล้วการมีลูกยังเปลี่ยนชีวิตของหนิงอีกอย่างคือ“การออกกำลังกาย” ค่ะ หนิงเป็นคนชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอเห็นคุณแม่เต้นแอโรบิก เราจะโดดเข้าไปแจมด้วย จากนั้นก็เริ่มออกกำลังกายประเภทอื่น ๆ จนกลายเป็นความชอบในที่สุด แต่พอมีลูกปั๊บ หนิงหันมาติดลูกแทน เช้าไปทำงาน พอเลิกงานปั๊บก็รีบกลับมาหาลูกทันที เป็นอย่างนี้อยู่เกือบปีก็เริ่มรู้สึกว่า “เราทิ้งการออกกำลังกายนานเกินไปแล้ว”
หนิงจึงตัดสินใจไปสมัครเรียนโยคะ แต่พอไปเรียนจริง ๆกลับไม่มีความสุขเอาเสียเลย เพราะใจคิดแต่ว่า เมื่อไหร่จะเสร็จคิดถึงลูกแล้ว อยากกลับไปหาลูก สุดท้ายหนิงเรียนโยคะได้ไม่กี่ครั้งก็ยอมแพ้
จนวันหนึ่งหนิงเห็นสามีกำลังออกกำลังกายตามดีวีดีอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนแรกเป็นห่วงว่าเขาจะหัวใจวายเพราะมันดูหนักหน่วงมาก แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง จนย่างเข้าเดือนที่สอง หนิงจึงเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงเมื่อสามีหุ่นเฟิร์มขึ้นและเริ่มมีเค้าซิกซ์แพ็กบาง ๆ
พอเห็นอย่างนี้หนิงตัดสินใจลองออกกำลังกายตามสามีดูบ้าง ผลปรากฏว่า แค่วอร์มอัพก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว แต่หนิงอดทนไปเรื่อย ๆ แม้วันรุ่งขึ้นจะปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมดก็ตาม คิดในใจว่า“ไม่ยอมแพ้ คราวนี้เป็นไงเป็นกัน”
พอย่างเข้าสัปดาห์ที่สอง หนิงก็เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับตัวเอง นอกจากร่างกายจะแข็งแรงขึ้น จู่ ๆ โรคประจำตัวอย่างไมเกรนก็หายไปค่ะ แต่ก่อนพอไมเกรนกำเริบขึ้นมา หนิงต้องรีบทานยาทันที
ไม่อย่างนั้นจะทำงานไม่ได้เลย หรือถ้าทำได้ งานนั้นก็อาจจะออกมาไม่ดีเท่าที่ควร หนิงป่วยเป็นไมเกรนมานานเป็นปี ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองติดยาไมเกรนเข้าแล้ว แต่น่าแปลกว่า พอออกกำลังกายอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไมเกรนก็ค่อย ๆ หายไป
การออกกำลังกายทำให้หนิงรู้เลยว่า นอกจากร่างกายจะแข็งแรง ผิวพรรณดีขึ้น และดูอ่อนกว่าวัยแล้ว โรคภัยต่าง ๆ ยังไม่มากวนใจเราอีกด้วย ยิ่งถ้าได้ออกกำลังกายที่บ้านก็ยิ่งตรงใจหนิงที่สุด เพราะได้อยู่กับลูก ประหยัดค่ายิม และประหยัดค่าเดินทางเรียกว่า “สุดยอดจริง ๆ”
ชีวิตทุกวันนี้ของหนิงจึงเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อหนิงมีลูกและสามีที่น่ารัก มีร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรค รวมทั้งยังมีงานที่ดีให้ทำทุก ๆ วัน ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมากกว่านี้อีก…จริงไหมคะ
Secret Box
เพราะ “เมื่อวาน” กับ “พรุ่งนี้”คือสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เราจึงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด
หนิง ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา จีระแพทย์
เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
บทความน่าสนใจ
Dhamma Daily : เราสามารถสวดมนต์ ขอพรให้ครอบครัว ได้จริง ๆ หรือ?
ปรับความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน เรื่องราว “การปรับความคิด” ของดาราหนุ่มทั้ง 3 คน
รักวัวให้ผูก รักลูกต้องสอนให้รู้จัก “ให้” บทเรียนสำคัญจาก สุดยอดมหาเศรษฐีใจบุญของโลก