สมัยนี้หากใครได้ยินคําว่า “อัลไซเมอร์” ก็คงจะพอรู้ว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับสมอง ซึ่งมีผลกระทบต่อความสามารถในการคิดและการจดจํา และในปัจจุบันนี้ดูเหมือนจะมีคนเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องไปดูที่ไหน แค่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ฉันอยู่นี้ก็มีถึง 3 คน และเป็นผู้สูงอายุทั้งหมด รวมทั้งยายของฉันด้วย
ยายมีอาการหลงๆลืมๆมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาเป็นหนักเอาตอนที่ต้องไปนอนโรงพยาบาลด้วยโรคบางอย่างประมาณ 1 เดือน และยายนอนไม่หลับ ตั้งแต่นั้นมา แม่บอกว่าอาการของยายหนักขึ้นเรื่อยๆ เช่น ทําอาหารแล้วคิดว่าตัวเองลืมใส่น้ำปลา ก็เลยทําออกมาเค็มมากๆ และเริ่มพูดอะไรย้ำๆ ซํ้าๆ จนเมื่อพาไปตรวจก็พบว่าสมองฝ่อจริงๆ
แต่ก่อนฉันทํางานที่กรุงเทพฯ และย้ายไปมาเลเซีย จึงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดยายเลย แม่ของฉันเป็นครู ต้องไปสอนที่โรงเรียน และยังต้องกลับมาดูแลโรงสีที่บ้าน ทําให้ท่านเหนื่อยมากๆ แต่ด้วยความที่ฉัน น้องของฉัน และพี่สาวอีกคนหนึ่งคิดว่าที่บ้านน่าเบื่อ ไม่มีอะไรให้ทํา กลับไปก็ได้เงินไม่เยอะ เลยไม่มีใครคิดจะกลับมาช่วยแม่
แต่แล้วฉันก็ทนเสียงเรียกร้องในใจไม่ไหว ประกอบกับเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้นในชีวิต รวมทั้งแม่เริ่มป่วยบ่อยมากๆ (เราจะโทรศัพท์คุยกันตลอด) ฉันเลยตัดสินใจกลับบ้าน ตอนแรกยังมีเงินสํารองจากที่ทํางานเก่าอยู่จึงทําให้พออยู่ได้ไม่เดือดร้อนแม่มากนัก
จากวันที่ฉันตัดสินใจกลับมาจนถึงตอนนี้ เป็นการปรับตัวที่ใหญ่มากๆ เพราะฉันห่างบ้านไปตั้งแต่อายุ 13 เพื่อไปเรียนหนังสือที่เชียงใหม่ พอจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ไปเรียนต่อและทํางานที่กรุงเทพฯ รวมแล้วสิบปีกว่า โดยที่ฉันจะกลับบ้านเฉพาะตอนปิดเทอม ปีใหม่ และสงกรานต์เท่านั้น
ฉันเคยใช้ชีวิตแบบอิสระมาจนเคยชิน จะไปไหนก็ได้ไป ไปเที่ยวต่างจังหวัด สังสรรค์กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ทํางาน และมีเงินเป็นของตัวเอง รู้สึกมีอิสระ มันเป็นความสุขของคนสมัยใหม่ในเมืองใหญ่ที่ใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องรับรู้ว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้นบ้าง แค่เลี้ยงตัวเองให้รอดก็พอ
ตอนแรกที่กลับบ้านช่วงที่ยังมีเงินอยู่ ฉันก็ยังรู้สึกดีและอยู่ได้ แต่พอเงินเริ่มหมด และแผนงานที่เคยวางไว้ ไม่สามารถทําเงินให้ได้ ฉันก็เริ่มเครียดและอยากออกไปหางานทํา แต่ความผูกพันที่มีต่อยายกลับเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่ยายยังเดินได้ ฉันจะไปช่วยดูแลเวลายายนวล (คนที่มาดูแลเป็นประจํา) ไม่อยู่ ฉันจะไปคุยเล่นกับยาย ไปทําให้ยายยิ้มหัวเราะ ไปป้อนน้ํา ไปย้ายเก้าอี้ให้ (ท่านจะมีเก้าอี้นอนประจํา ซึ่งเช้า สาย บ่าย จะต้องย้ายตลอด) แต่ช่วงนี้ยายเริ่มนอนทั้งวันแล้ว ไม่ค่อยลุกไปไหนเพราะไม่ค่อยมีแรง และต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดิน ไม่ก็นั่งในรถเข็น
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ยายถ่ายเรี่ยราด ฉันเป็นคนเช็ดทําความสะอาด ในใจตอนนั้นคิดว่า “ทําไมเราต้องมาทําอะไรอย่างนี้นะ” แล้วก็แอบอิจฉาพี่น้องอยู่ในใจว่า พวกนั้นคงมีความสุขดีที่ไม่ต้องทําอย่างเรา
ในใจฉันต่อสู้กันระหว่างการออกไปจากบ้านเพื่อทํางานและมีชีวิตอิสระแบบเดิม กับการอยู่บ้านเพื่อทําให้คนที่เรารักมีความสุข แต่สิ่งที่ทําให้ฉันอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะรอยยิ้มของยาย…และของพ่อแม่ ฉันเพิ่งจะรู้ว่ารอยยิ้มสามารถละลายความทุกข์ในใจได้อย่างไร และทําไมคนจึงชอบทําความดี… แบบนี้นี่เองที่เรียกว่าเงินซื้อไม่ได้
ทุกวันนี้ยายของฉันเดินไม่ได้แล้ว และต้องนอนบนเตียงตลอดเวลา จะพลิกตัวเองก็ไม่ได้ ต้องให้ช่วยพลิกให้ ท่านทานข้าวเองได้บ้าง และต้องใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลา ฉันมีหน้าที่ดูแลยายให้เสร็จก่อนจะขึ้นไปนอน ซึ่งหมายถึงว่าฉันจะต้องนอนหลังทุกคน เพราะถ้าเปลี่ยนผ้าอ้อมและให้ยายนอนเร็ว ท่านก็จะตื่นเร็ว และอาจเรียกให้แม่หรือพ่อของฉันเข้ามาในห้องประมาณตีสามหรือตีสี่ ซึ่งพ่อกับแม่ของฉันก็ไม่ไหว เพราะจะต้องตื่นแต่เช้าไปทํางาน ยิ่งช่วงที่ยายอาการแย่ๆ ท่านอาจจะไม่นอนเลย และร้องเอานั่นเอานี่เหมือนเด็กๆ เราพูดอะไรก็ไม่ฟัง บางครั้งถามอะไรท่านก็ไม่ตอบ
ตอนแรกๆ ที่เป็นแบบนี้ ใจฉันก็แกว่ง อยากไปทํางาน อยากไปอยู่ที่อื่น แต่ภาพที่จําติดตาตอนที่น้องสาวกับพี่สาวมาลายายเพื่อกลับไปทํางานช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาคือ ยายนอนอยู่บนเตียง พูดก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ยังมีความรักความห่วงใยและให้พรยาวๆ แก่พี่และน้องของฉัน ทุกคนร้องไห้กันหมด ฉันเองก็เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อยและอยากไปจากที่นี่ ภาพและความรู้สึกครั้งนั้นจะชัดเจนมากจนทําให้ฉันบอกกับตัวเองว่าจะไม่ลายายไปไหน จะอยู่กับท่าน ให้กําลงใจท่าน และจะทําให้ท่านยิ้มได้อย่างน้อยวันละครั้ง เพื่อท่านจะได้มีความสุข ฉันจะต้องอยู่ต่อไป เพราะถ้าฉันไปอาการของยายจะทรุดลงทันที
ฉันอยากบอกทุกคนว่า ไม่มียาขนานใดดีไปกว่ากําลังใจจากคนรอบข้าง ทุกคนที่มาเยี่ยมยายหรือรู้จักยายมานานแล้วต่างคิดว่าท่านไม่น่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้ กําลังใจจึงเป็นสิ่งสําคัญมากสําหรับคนป่วย
ทุกวันนี้ แม้ฉันจะไม่มีเงินเดือนเรือนหมื่น ไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ไปทํางาน และไม่มีอิสระในชีวิตมากเหมือนเมื่อก่อน แต่สิ่งที่ฉันได้ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านเกิดของฉันคือ ความภูมิใจที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของทุกคนในครอบครัว พ่อและแม่ของฉันเหนื่อยน้อยลง เพราะมีฉันช่วยดูแลบ้านช่วงที่ท่านไม่อยู่ ฉันมีเวลาคุยเล่นกับแม่ ทําอาหารกับแม่ ได้รู้จักตัวตนของพ่อกับแม่มากขึ้น และรู้สึกรักพวกท่านมากขึ้น ฉันทําให้ยายยิ้มได้ ฉันรู้จักคุณค่าของชุมชนมากขึ้น ได้ใกล้ชิดกับคนในชมชนและไม่รู้สึกแปลกแยกเหมือนที่ผ่านมา ฉันมีเวลาทําในสิ่งที่ฉันรักจริงๆ และมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ได้ล้างพิษ ได้เป็นหน่วยประสานระหว่างบ้านกับพี่สาวน้องสาว บอกพวกเขาถึงความเป็นไปของที่นี่ ฉันรักชีวิตของฉันตอนนี้มาก
สิ่งเหล่านี้ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้ มีแต่ต้องใช้ใจสร้างเอง และเรื่องราวทั้งหมดนี้ต้องขอมอบความดีให้ “ยายผู้เป็นอัลไซเมอร์” ของฉัน รวมทั้งพ่อแม่ผู้ประเสริฐที่ทําให้ฉันได้มีเวลาอยู่บ้าน อยู่กับคนที่ฉันรัก และได้รู้จักคุณค่าของความรักที่แท้จริง…
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ริญญาภัทร์ หอมลา
บทความน่าสนใจ
พยายามในสิ่งที่ควรพยายาม… ปล่อยวางในสิ่งที่เกินพยายาม
บทเรียนชีวิตจาก คุณยายโรส นักศึกษาวัยไม้ใกล้ฝั่งที่ใคร ๆ ก็หลงรัก