In Love with Death ตกหลุมรักความตาย

In Love with Death ตกหลุมรักความตาย

ไม่ว่าใครก็ย่อมหวาดกลัวความตาย ฉากสุดท้ายของชีวิต แต่เชื่อเถอะว่าความคิดของคุณจะเปลี่ยนไป หากได้อ่านหนังสือ In Love with Death ตกหลุมรักความตาย หนังสือที่จะเปลี่ยนความตาย ให้เป็นเรื่องน่าอภิรมย์

“สมมติว่าคุณไม่ตายและอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้อีกเป็นหมื่นปี………..”

“คงจะน่ากลัวและวุ่นวายมาก”

“นั่นไง (หัวเราะ) คุณตกหลุมรักความตายเข้าแล้ว ลองคิดดู ถ้าไม่มีความตาย โลกคงเป็นเหมือนโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครหนีไปไหนได้ ถ้าไม่มีความตาย คุณจะฆ่าปลามากินก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นความตายจึงเป็นส่วนหนึ่งของระบบ นี่คือสิ่งที่เข้ามาในหัวของผมขณะที่ผมเขียนเรื่องตกหลุมรักความตาย”

ข้างต้นคือส่วนหนึ่งของบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างผู้เขียนกับ สาทิช โมดิ (Satish Modi) เจ้าของหนังสือ In Love with Death ซึ่งเพิ่งได้รับการแปลภาษาไทยในชื่อ ‘ตกหลุมรักความตาย’ เมื่อไม่นานมานี้

สาทิช โมดิ ไม่ใช่นักเขียน เขาเป็นนักธุรกิจมืออาชีพ ตระกูลโมดิเป็นตระกูลนักธุรกิจ พ่อของเขาได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งอุตสาหกรรมสมัยใหม่ในอินเดีย เขามีเมืองอุตสาหกรรมที่ใช้ชื่อว่า Modinagar และเป็นครอบครัวนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดครอบครัวหนึ่งในอินเดีย

แต่นอกจากเป็นที่รู้จักในฐานะนักธุรกิจ ชายวัย 71 คนนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘คนใจบุญ’ เขาทำมูลนิธิและช่วยเหลือผู้คนมากมายทั้งในและนอกอินเดีย โดยโมดิเล่าว่าสิ่งที่ทำให้เขามาช่วยเหลือผู้คนนั้น นอกจากเป็นเพราะการปลูกฝังของทางบ้านซึ่งเคร่งศาสนา (โมดินับถือศาสนาฮินดู) แล้ว ยังมาจากโอกาสที่เขาได้พบครูบาอาจารย์ด้วย

“ผมอยู่ลอนดอนเป็นหลักและมีโอกาสได้เดินทางมาก นั่นทำให้มีโอกาสที่เขาได้พบนักบวชและนักบุญมากมาย องค์ทาไลลามะ แม่ชีเทเรซา ท่านเซ็ทซึโกะ นาคานิชิ หรือแม้แต่ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผมรู้สึกว่าผมได้รับพรจากท่านเหล่านี้และนั่นก็เป็นเป็นเหมือนโซ่ที่ต้องส่งต่อไป”

“เมื่อได้รับพรนี้ ผมไม่อยากไปเที่ยว ไม่อยากดื่ม เหมือนผมเปลี่ยนไปอยู่กับชีวิตที่เรียบง่ายขึ้น ผมบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็แค่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เท่านั้น แต่สำหรับผมศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญมากของชีวิต”

เมื่อชีวิตเปลี่ยนไป โมดิไตร่ตรองเรื่องชีวิตมากขึ้น และ ‘ความตาย’ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาสนใจจนทำให้ตัดสินในเขียนหนังสือที่เขาบอกว่าจะเป็นเล่มแรกและจะเป็นเล่มเดียวของตัวเอง

“หลายคนถามว่าทำไมผมตกหลุมรักความตาย ผมก็พูดเหมือนกันทุกทีว่าเพราะความตายคือสิ่งที่หลักเลี่ยงไม่ได้ว่า แต่เรามักไม่รู้ก็คือ เรากำลังตายอยู่ทุกวัน เซลล์ในร่างกายกำลังตายลงเรื่อย ๆ ไต หัวใจ ตับ ทำหน้าที่ของมันอยู่ตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำหน้าที่ไปได้ตลอดไป พออายุ 80-90 อวัยวะก็เริ่มทำงานไม่ปกติแล้ว มีโรค จึงจำเป็นมากที่จะต้องตระหนักถึงเรื่องความตายเพื่อจะได้เริ่มชีวิตอย่างมีความหมาย”

ในหนังสือ โมดิเล่าเรื่องความตายในแง่มุมต่าง ๆ ผ่านมุมมองของตัวเองและเรื่องราวสั้น ๆ อันมีที่มาจากการเดินทางพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตาทั่วโลก เขาสรุปว่าไม่ว่าจะเป็นผู้คนในซีกโลกตะวันตกหรือตะวันออกต่างกลัวตาย ไม่อยากตาย และไม่ค่อยคิดเรื่องตาย ทั้งที่การตระหนักถึงความตายนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง

“ผมไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้สอนใคร ผมเขียนเพื่อบอกตัวเอง เพราะรู้ว่าต้องเขียน ถ้ามันจะเป็นประโยชน์บ้าง ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง………ที่ผมพยายามทำ คือสื่อสารข้อความออกไปผ่านเรื่องสั้น ๆ บอกว่าสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก็คือเวลาเปลี่ยนแปลงตลอด ไม่เคยเหมือนเดิม ฉะนั้น จงอย่าพูดว่าจะทำความดีในวันพรุ่งนี้ เพราะคุณอาจไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้”

“อีเรื่องคือความถ่อมตัว ผมเรียนรู้ว่าในการจะมีความสุขได้ ต้องถ่อมตัว คุณบอกตัวเองว่าคุณไม่ใช่ใครที่สลักสำคัญ (nobody) เมื่อเห็นได้อย่างนั้นจึงจะสามารถคิดเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และการที่ตระหนักว่าเมื่อคุณตาย คุณจะต้องทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง เอาอะไรไปไม่ได้ การคิดเรื่องตายไว้เสมอจึงทำให้คุณถ่อมตน”

“ผมคิดว่าคนที่ไม่ยอมรับความตายและการจากไปของตัวเองเป็นคนที่หยิ่งยโส เพราะไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นความตาย ทุกคนมีคนรอบตัวที่ต่างก็ตายกันลงไปทั้งนั้น ปู่คนนั้นย่าคนนี้ต่างก็ตายลงไป สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับผู้อื่นมาแล้วทั้งสิ้น การไม่ยึดติดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่ปล่อยวาง มันจะนำไปสู่ความทุกข์มากมาย”

สำหรับบางคน การนึกถึงความตายของตัวเองเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่เมื่อเป็นการตายของคนที่รักหรือผูกพันแล้วกลับไม่สามารถมองความตายเป็นเรื่องบวกได้เลย โมดิแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า

“การตายของบุคคลที่รักเป็นเรื่องเศร้าและเจ็บปวด ยิ่งถ้าเกิดขึ้นกับคนอายุน้อย แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังต้องร้องไห้เสียใจ แต่ความตายไม่ได้เกิดตามเวลา ไม่ได้แปลว่าปู่ตายก่อนแล้วต้องตามด้วยพ่อ ทุกคนเท่าเทียมกันเรื่องความตาย เศรษฐีพันล้านกับคนที่มีเงินไม่มากนัก เวลาตาย พวกเขาเท่ากัน นั่นคือความจริงที่จำเป็นต้องยอมรับ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเกิดมาต้องตาย มันเป็นธรรมชาติ อะไรก็ตามที่มีชีวิตต้องตาย มันเป็นอย่างนี้แหละ แต่อย่างน้อย ถ้าคนที่กำลังจะต้องตายเข้าใจเรื่องนี้ เขาก็สามารถไปได้อย่างดี”

นอกจากการตระหนักและเข้าใจเรื่องความตายแล้ว โมดิและเรื่องราวในหนังสือของเขายังบอกกับเราว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่ง คือการทำช่วงเวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าด้วย

“ในหน้าแรกของหนังสือ มีช่องว่างให้คนอ่านเขียนระบุวันเกิด และวันที่พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะตายไว้ ในช่องว่างนั้น ไม่ว่าจะเขียนตัวเลขอะไรลงไปมัน คือสิ่งที่คุณเลือก คือการเดินทางไปหาตัวเลขนั้น ระหว่างนั้นจะเป็นอย่างไรนั่นคือตัวเลือกของคุณ”

“ฉะนั้น สำหรับผม ‘ตกหลุมรักความตาย’ หมายถึงความตายจะเข้ามาถึงทุกคน ถ้าคุณรักความตายยอมรับความตายได้ คุณจะใช้ชีวิตได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คุณจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้ด้วย”

เรื่อง สาทิช โมดิ


บทความที่น่าสนใจ

รัชเขต วีสเพ็ญ-จากนักเลงหัวไม้สู่ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

ท้อแท้ แต่อย่า ท้อถอยกับ 7 ข้อคิด และ คำคมสร้างแรงบันดาลใจ จุดไฟให้ชีวิต

เพราะมีลูกเป็นแรงบันดาลใจผมจึงไม่ท้อ โก้ นฤเบศร์ จินปิ่นเพ็ชร

รัชเขต วีสเพ็ญ-จากนักเลงหัวไม้สู่ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.