“ ตาสว่างก่อนตาย ” กับคุณ ดังตฤณ
ดังตฤณ เป็นนามปากกาของคุณศรันย์ ไมตรีเวช นักเขียนหนังสือธรรมะชื่อดังจากงานเขียนเรื่อง “เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน” และนวนิยายอิงธรรมะอย่างเรื่อง “ทางนฤพาน” ล่าสุดคุณดังตฤณมีผลงานตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะเรื่อง “ ตาสว่างก่อนตาย ” ซึ่งเป็นการรวบรวมบทความในเฟซบุ๊กของคุณดังตฤณที่มีเนื้อหากินใจ และช่วยให้ตาสว่างได้ในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องชีวิต การงาน และการปล่อยวาง เหมาะสำหรับคนที่อยากเริ่มอ่านหนังสือธรรมะ เพราะอ่านเข้าใจง่าย ทุกเรื่องอิงจากชีวิตจริงและประสบการณ์ของคุณดังตฤณเอง ซีเคร็ตจึงรวบรวมปัญหายอดฮิตที่กลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงานต้องเจอให้คุณดังตฤณเป็นผู้ตอบ อาจช่วยให้ “ตาสว่าง” ขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย
เจอปัญหาเครียดเป็นทุกข์ควรทำอย่างไร
จริง ๆ แล้วคนที่ปฏิบัติกับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติจะมีสิ่งเหมือนกันคือใจที่เป็นทุกข์ แต่ว่าข้อแตกต่างระหว่างคนปฏิบัติกับคนไม่ปฏิบัติคือ คนที่ไม่ปฏิบัติจะไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรให้ความทุกข์ออกจากใจได้ แต่สำหรับคนที่ปฏิบัติจะรู้ว่าการแก้ทุกข์นั้นต้องแก้จากข้างใน ไม่ใช่ข้างนอก และมองตามความเป็นจริง โดยปกติถ้าคนไม่ปฏิบัติเกิดความทุกข์จะไม่เข้าใจในทันที ว่าความทุกข์ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เดี๋ยวก็มีความสุขแวะเวียนเข้ามา และคิดว่าทุกข์สามารถแก้ไขได้ด้วยภายนอก บางคนคิดว่าตนเองทุกข์ตลอดทั้งชีวิต เพราะเกิดมาฐานะยากจน ทำงานหนัก สุขภาพย่ำแย่ หรือไม่พอใจในชาติกำเนิดของตน แบบนี้คือเขายึดแล้ว แล้วเขาจะทุกข์คิดแต่เรื่องนี้ไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ถ้ามองเห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งต่าง ๆ กำลังแสดงความไม่เที่ยงอยู่ ธรรมดาของจิตคนเรา หรือคนทั่วไปจะหลงเข้าไปยึดว่าเป็นความเที่ยง” คำตรัสนี้คือใจความที่สำคัญมาก การเจอปัญหาหรือความทุกข์สำหรับคนปฏิบัติจึงเป็นเรื่องดี ที่ได้ฝึกฝนตนเอง และเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง แต่สำหรับคนไม่ปฏิบัติก็จะทุกข์ และแก้ด้วยสิ่งภายนอก หากอยากให้หายทุกข์ก็เริ่มหายใจยาว ๆ ครั้งหนึ่ง ความทุกข์ก็จะหายไป เรื่องที่คิดอยู่ในหัวก็ไม่มี ความทุกข์ดับไปเพราะลมหายใจเวลาเจอปัญหา แล้วทำแบบนี้เรื่อย ๆ หายใจยาว ๆ ลึก ๆ ความทุกข์หายไป ก็จะเกิดความเข้าใจว่า ที่แท้ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วไม่นานมันก็หายไป สังเกตดูว่าตอนที่ทุกข์กล้ามเนื้อจะเกร็ง การหายใจหรืออานาปานสตินี้เองช่วยให้กล้ามเนื้อคลาย พอกล้ามเนื้อคลายแล้ว ร่างกายก็จะผ่อนคลาย วิธีแบบนี้ทุกคนทุกศาสนาทำได้หมด ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ และใจของเราคือเครื่องพิสูจน์ เพราะทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง
คิดมากควรทำอย่างไร
อาการคิดมากเกิดขึ้นจากความหลงที่เชื่อว่าทุกข์เป็นสิ่งที่เที่ยง ถ้าหายใจยาวแล้วความทุกข์จะลดลง กลับกลายเป็นมีความสุขเพิ่มขึ้น เกิดความโปร่งโล่งกว่าเดิม เมื่อทำบ่อยครั้งก็จะเข้าใจทันทีว่า อาการคิดมากมาจากอาการที่เราไปยึดความทุกข์มากเกินไป เพราะถ้าเราทุกข์น้อยลงเราจะคิดน้อยลง และเปลี่ยนเป็นคิดแต่สิ่งที่ดี และหาทางออกของปัญหาได้อย่างตรงประเด็น เคยมีเหตุการณ์ที่ผู้หญิงจีนคนหนึ่งฆ่าตัวตายเพราะแฟนลืมวันเกิดของเธอ เธอคิดมากว่าผู้ชายไม่รักเธอแล้วจนกลายเป็นความคิดสั้น ก็มาจากความทุกข์มากจนกระทั่งทนไม่ไหวจึงเกิดความน้อยใจตามมา
การเป็นเจ้านายที่ดีต้องมาจากการเป็นลูกน้องที่ดี
หลักการง่าย ๆ คือ “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” การเป็นเจ้านายที่กดขี่และดุว่าลูกน้อง ทั้งที่ก็รู้แล้วว่าลูกน้องเป็นคนอย่างไร พอลูกน้องเจอเจ้านายที่ไม่ดี แล้วตัวเองเจริญในหน้าที่การงานขึ้นมาเป็นเจ้านายก็ไปลงกับลูกน้อง เหมือนเป็นทายาทอสูร หรือตัวตาย ตัวเป็น ที่เกิดมาจากความเก็บกด ฉันเคยโดนแบบนี้ แกต้องโดนแบบนี้บ้าง ทั้งที่เป็นคนละคนกัน อาการของเจ้านายแบบนี้ เห็นได้เกือบทุกออฟฟิศ ไม่ต่างจากโรคระบาด เป็นเหมือนไวรัสที่ติดต่อกัน ถ้าเจ้านายเคยเป็นลูกน้องที่ดีมาก่อน ปัจจุบันเขาจะเป็นเจ้านายที่ดี ถึงเขาจะเคยเจอเจ้านายที่ไม่ดี แต่เขาจะจำเพื่อไม่ทำอาการหรือพฤติกรรมแบบนี้กับใคร เพราะขนาดตัวเองยังไม่ชอบ และคนอื่นจะชอบได้อย่างไร พอวันเวลาล่วงเลยเขาได้เลื่อนตำแหน่ง กลายเป็นเจ้านาย เขาก็จะจดจำปณิธานที่ตนเองมี กลายเป็นคนที่เข้าใจลูกน้องมากที่สุด หรือเจ้านายบางคนทำพฤติกรรมเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีไว้ให้ลูกน้องเห็น เช่น ถ้าเงินน้อยงานไม่เดิน หรือเงินมากงานถึงทำ ลูกน้องก็จำและคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็จะกลายเป็นคนกระหายเงิน เจ้านายก็เหมือนแม่พิมพ์เหมือนกัน ลูกน้องสามารถเลียนแบบได้
การเป็นนายตัวเอง
อยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ อยากลองทำอะไรในสิ่งที่ชอบก็ลงมือเลย เพราะการลองเป็นห้องเรียนของจริง ถ้าเรียนจบแล้วอยากรวยก็ลุยเลย แต่ขอให้ทุ่มเทและจริงจังกับมัน ถ้าภายใน 1 ปี ไม่มีผลอะไร ขอให้เปลี่ยนความคิดและกลับมาสายวิชาชีพ หลายคนอาจมีไอดอลอย่างบิล เกตส์ รวยโดยที่ไม่ต้องจบปริญญาตรี หลายคนมองเขาแค่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่เรียนไม่จบ แต่น้อยคนนักที่จะมองไปที่ความมุ่งมั่นของเขาว่า เขาอยู่กับการพัฒนาตนเองในสิ่งที่เขารักขนาดไหน เขาอยู่กับการพัฒนาสิ่งที่เขาชอบวันละ 16 ชั่วโมง เขามาถูกทางเพราะเป็นสิ่งที่เขารัก และสิ่งที่เขารักทำให้เขาได้เงินอีกด้วย เขาไม่เรียนต่อในปีสุดท้ายเพื่อไล่ล่าตามความฝัน และเขาก็ทำสำเร็จ ทางมหาวิทยาลัยมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้กับเขา อยากให้จำในตอนที่เขาทุ่มเทและลำบากมากกว่า เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง
หาตัวเองให้เจอได้อย่างไร
ปัจจุบันคนเรามีจิตใจที่เลื่อนลอย และมองไปข้างนอกมากกว่าข้างใน ตามกระแสเห็นเขาดังจากโซเชียลก็ทำตาม ไม่เคยถามตัวเองเลยว่า “เรารักที่จะทำอะไร แล้วมีความสุข” คิดแต่ว่า “ทำแบบนี้ ๆ ตามเขาถึงจะรวย” กลายเป็นเราไม่มีพื้นที่ให้ใจกับความรู้สึกของตัวเอง แล้วไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เพราะไปใช้ชีวิตในพื้นที่ของคนอื่น เพราะดูจากความสำเร็จของเขา ไปมองคนอื่นมากเข้าก็ลืมหัวใจตัวเอง ถ้าอยากหาตัวเองให้เจอต้องถามและคุยกับตัวเองให้ได้ อย่าไปปรึกษาคนอื่นมาก เพราะเขาก็ไม่รู้ความคิดอ่านของเราทั้งหมด เราต่างหากที่รู้ตัวเองดีที่สุด อยากให้ลองถามตัวเองด้วย 3 คำถามนี้ 1 เราทำอะไรที่จริงจังที่สุดในชีวิตคืออะไร คำถามที่ 2 การที่อุทิศเวลาให้กับสิ่งนี้นาน ๆ หรืออาจทั้งวัน หรือหลายวัน มีการพัฒนาอย่างไร และคำถามสุดท้าย สิ่งที่เราทำสามารถสร้างรายได้ได้ไหม ข้อนี้สำคัญมาก ถ้าเราไม่ถามตัวเองด้วย 3 คำถามนี้ เราจะรู้ตัวเองไหมว่าเราชำนาญอะไร ชอบอะไร และอะไรที่จะสร้างรายได้ให้กับเราได้ หลายคนอาจโทษโชคชะตาที่ทำให้ฉันไม่ได้ค้นพบตัวเอง หาตัวเองไม่เจอ แต่ที่จริงตัวเองต่างหากที่คิดไม่เป็น ในช่วงนี้มีช่องทางสร้างเงินได้มากมายผ่านโซเชียล ก็ควรใช้ช่องทางต่าง ๆ เหล่านั้นให้เป็นประโยชน์
เชื่อว่าพออ่านมาถึงคำตอบสุดท้ายของคุณดังตฤณ หลายคนอาจแอบทดลองหายใจยาว ๆ เพื่อขับไล่ความเครียด รวมทั้งอาจได้มุมมองที่ช่วยเบิกตาให้กว้างและมองอย่างเข้าใจ นี่สิ “ตาสว่าง” ที่แท้จริง
เรื่อง : คุณศรันย์ ไมตรีเวช
เรียบเรียง : ชนินทร์ ผ่องสวัสดิ์
ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี
บทความน่าสนใจ
รู้ทันสันดานคน ด้วยจริต 6 ผลงานของทันตแพทย์สม สุจีราอีกเล่มที่น่าอ่าน
ดร.ปัญญา แซ่ลิ้ม จากเด็กเรียนหนังสือไม่เก่งของห้องสู่การเป็นเด็กนักเรียนทุนอานันทมหิดล
เคล็ดลับแก้อาการ เบื่องาน เบื่อออฟฟิศ