ให้อภัย ตนเอง บทความดี ๆ จากพระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ
เรียนรู้วิธี ให้อภัย ตัวเอง จากบทความนี้ เขียนโดย พระอาจารย์ชาญชัย
คนทุกคนเคยทำทั้งดีและชั่ว ถูกและผิด ต่างกัน อยู่ที่ว่า ใครจะทำฝ่ายไหนมากกว่ากัน เมื่อเราไม่ชอบใครคนใดคนหนึ่ง เรามักจะเห็นข้อบกพร่องของเขา และฝังใจอยู่กับข้อบกพร่องหรือสิ่งที่เราคิดว่าเขาทำไม่ดี ตราบใดที่เรายังรู้สึกไม่ดีต่อเขาเท่ากับว่าเรายึดติดในความคิดเดิม แม้ว่าสิ่งนั้นอาจจะผ่านพ้นไปแล้วเนิ่นนาน บางคนโกรธกันมานานนับสิบปีความรู้สึกโกรธก็ยังไม่หายไป ทุกครั้งที่พบกัน ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันก็ผุดขึ้นมาอีก เป็นความรู้สึกที่ทำร้ายจิตใจตนเองเป็นเบื้องต้น และทำลายโอกาสของความสัมพันธ์อันดีตามมา
คนแต่ละคนแสดงพฤติกรรมออกมาตามคุณสมบัติของกายและจิตของเขาในแต่ละขณะ เช่น หากร่างกายไม่สบาย สีหน้าท่าทางก็ย่อมไม่สบายตามไปด้วย แม้คำพูดก็อาจจะไม่นุ่มนวลชวนฟังเหมือนยามปกติ ทางด้านจิตใจนั้น ยามใดที่มีความรู้สึกโกรธ เกลียดชัง หรือมีความคิดไม่ดี คำพูดก็ย่อมไม่ดีเช่นกัน
คุณสมบัติหรือคุณภาพของร่างกายและจิตใจของคนเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ดังนั้นพฤติกรรมทางกายและวาจาของแต่ละคนจึงเป็นเปลี่ยนแปลงไปด้วย การที่เรายึดถือเอาพฤติกรรมของใครคนใดคนหนึ่งมาเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไป จึงเป็นการตัดสินที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้เกิดอคติหรือมีใจไม่เที่ยงธรรม เช่นรักใครชอบใครก็เข้าข้างเขาว่าเขาเป็นคนดี เขาทำถูก เกลียดใครโกรธใครก็หาว่าเขาเป็นคนไม่ดี การกระทำของเขาผิด
คนส่วนใหญ่ในโลกจึงมากด้วยอคติ เราไม่ได้ตัดสินบุคคลอย่างมีเหตุผล นั่นคือตัดสินตามพฤติกรรมที่เขากระทำในแต่ละครั้ง เรามักจะตัดสินตามความรู้สึกเดิมที่เคยมีต่อเขา โดยเฉพาะสังคมไทยเป็นสังคมที่ถือเอาความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ทำให้เรามีปัญหาทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมากเท่าทุกวันนี้
คนที่ทำดีในขณะหนึ่งหรือห้วงเวลาหนึ่งอาจจะทำผิดในโอกาสต่อไปก็ได้ เช่นเดียวกัน คนที่เคยทำผิดทำไม่ดีในอดีต อาจจะทำถูกทำดีในเวลาต่อมาก็ได้ คนทุกคนแสดงพฤติกรรมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จึงมีทั้งถูกทั้งผิดระคนกันไป ไม่มีใครที่ดีโดยสมบูรณ์ และไม่มีใครที่ชั่วโดยสมบูรณ์เช่นกัน
หากเรามีความเข้าใจตามความเป็นจริงดังกล่าว เราควรที่จะให้ อภัย แก่คนที่เคยทำผิดและให้โอกาสเขาบ้าง ทำนองเดียวกันก็อย่าหลงไปว่าคนที่เรารักเราชอบ เขาจะไม่ทำผิด ต้องเผื่อใจเอาไว้ ซึ่งสำหรับคนที่เรารัก เราก็พร้อมที่จะให้อภัยเขาอยู่แล้ว แต่กับคนที่เราชัง ทำไมเราจึงไม่ให้อภัย แก่เขาบ้าง
ความรู้สึกเกลียดชัง ไม่ให้อภัยกัน มีแต่จะทำร้ายจิตใจตนและหาทางทำลายคู่ปรปักษ์ เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณเลย
มีพรรษาหนึ่ง ผู้เขียนได้ปลีกวิเวกไปจำพรรษาอยู่ทางภาคเหนือเพียงลำพัง วันหนึ่งมีโยมมาทำบุญกัน ด้วยเป็นวันเทศกาลบุญผู้เขียนได้แสดงธรรมให้โยมฟัง เนื้อหาของธรรมตอนหนึ่งว่าด้วยการให้ อภัยทาน เป็นทานที่ผู้ให้ไม่ต้องลงทุนลงแรงและเสียทรัพย์สินสิ่งของใด ๆ เลย ไม่ต้องเสียเวลาด้วย เป็นทานที่ผู้ให้ให้แล้วก็เบาใจ เพราะเอาความหนักใจคือความโกรธ ความเคียดแค้นชิงชัง ที่เก็บสะสมไว้มานานนับปี อันไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เลยทั้งต่อตนเองและผู้อื่นละทิ้งไป เป็นทานที่ผู้รับยินดีที่จะรับ และเป็นทานที่จะช่วยให้เกิดความสมานฉันท์ อันจะช่วยเสริมสร้างพลังของความร่วมมือร่วมใจกันให้เกิดขึ้นในสังคม
สองวันต่อมา โยมคนหนึ่งมาพบผู้เขียน และบอกว่าตอนนี้โยมรู้สึกสบายใจมาก เรื่องที่เก็บสะสมไว้ให้หนักใจมาหลายปีได้ถูกขจัดออกไปแล้ว โยมเล่าให้ฟังว่า โยมไม่ถูกกับเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้นำชุมชน หากเดินสวนกันก็จะไม่มองหน้ากัน หากต้องร่วมประชุมกันก็จะหาเหตุผลมาโต้แย้งกันข้าง ๆ คู ๆ ทำให้โยมไม่เข้าประชุมในกิจกรรมของหมู่บ้าน ความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันดังกล่าวไม่เพียงแต่กระทบถึงความรู้สึกสุข – ทุกข์ของคู่กรณีเท่านั้น หากยังกระเทือนถึงความร่วมมือร่วมใจกันในกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อชุมชนในหมู่บ้านอีกด้วย
โยมเล่าต่อไปว่า หลังจากได้ฟังธรรมเรื่องอภัยทานแล้ว ทำให้โยมตัดสินใจให้ อภัย เขา วันนั้นเองโยมได้เดินสวนกับเขา เพราะบ้านอยู่ในซอยเดียวกัน โยมยิ้มให้พร้อมทักทายเขาด้วยคำพูดที่ดี เขายิ้มตอบพร้อมกับชวนสนทนาด้วยท่าทีที่ดี และชวนให้โยมเข้าไปช่วยงานของหมู่บ้านด้วย เนื่องจากเขาเป็นประธาน อบต.
ประโยชน์ของการให้อภัยกันมีมากเพียงใดในกรณีนี้ ผู้อ่านย่อมประเมินได้ ผู้ที่ให้อภัยผู้อื่นโดยเป็นฝ่ายยื่นมิตรไมตรีให้ก่อน ถือว่าเป็นผู้ที่ชนะใจตนเอง ชนะทิฐิมานะหรือความคิดเห็นถือตัวถือตนของตนเองได้ เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น
การให้ อภัย ตนเองก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมิใช่น้อย บางคนที่เคยทำผิดพลาดในเรื่องสำคัญของชีวิต มักจะย้ำคิดย้ำจำถึงความผิดพลาดนั้น ๆ ทำให้จิตใจจมปลักอยู่กับความเศร้าหมอง ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว
ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้เปิดอบรมวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อการอบรมผ่านไปห้าวัน ผู้เข้าอบรมรายหนึ่งมารายงานความรู้สึกว่า เธอเก็บความทุกข์ในชีวิตมาเป็นเวลา 38 ปี เป็นทุกข์ที่เผาไหม้อยู่ในใจราวกับตกนรกทั้งเป็น เป็นทุกข์ที่ไม่สามารถบอกใครได้ วันนี้เธอได้สลัดทุกข์นั้นออกไปแล้ว ทำให้จิตใจเบาสบาย มีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนตลอดระยะเวลา 38 ปีอันยาวนาน
เธอเปิดเผยความลับอันคับข้องใจให้ฟังว่า สมัยวัยรุ่นใช้ชีวิตอย่างเสเพล ทำให้ผิดพลาดถึงกับทำแท้ง นั่นเป็นมะเร็งร้ายในใจข้อที่ 1 ต่อมาได้ทำหน้าที่พยาบาลเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่ง เด็กคนนี้ขอทานนำไปเป็นเครื่องมือหากิน เธอเกรงว่าหากรักษาเด็กหายขอทานก็จะเอาเด็กไปเป็นเครื่องมือหาเงินอีก เธอจึงให้ยาแรงเกินขนาด ผลก็คือเด็กตาย นี่เป็นมะเร็งร้ายในใจข้อที่ 2
ความผิดทั้งสองอย่างนี้เผาไหม้ความรู้สึกเธอตลอดมา ทำให้ชีวิตจมปลักอยู่กับความทุกข์ ซึ่งดูจากสีหน้าของเธอก็บ่งบอกถึงความทุกข์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ เธอพยายามหาทางออกด้วยการเข้าปฏิบัติธรรมในโอกาสต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถปล่อยวางทุกข์ในใจนั้นได้
มาคราวนี้เธอสามารถปลดปล่อยทุกข์นี้ได้แล้ว ด้วยการรู้จักให้ อภัย ตนเอง ไม่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านมา อยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน และพร้อมที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้ตัวเองเพื่ออนาคตอันสดใส
ผู้อ่านให้อภัยคู่แค้นและให้อภัยตนเองแล้วหรือยัง
ขอเจริญพร
พระชาญชัย อธิปญฺโญ
ร่มอารามธรรมสถาน
เรื่องจาก : นิตยสารSecret
บทความที่น่าสนใจ
5 ข้อคิดสำหรับผู้ต้องการชนะใจตนเอง โดย คุณพศิน อินทรวงค์
Dhamma Daily : เจอ คนเอาแต่ใจ ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง พุทธศาสนาช่วยได้ไหมคะ