ความมหัศจรรย์ของชื่อ ความสัมพันธ์ของชื่อกับโชคและดวงชะตา
ในแวดวงธุรกิจจะให้ความสำคัญกับชื่อสินค้ามาก เพราะถ้าสินค้าติดตลาด ลำพังแค่ชื่อหรือ “แบรนด์” อย่างเดียว ก็ช่วยเพิ่มแต้มต่อให้กับการทำธุรกิจได้มากมายมหาศาล…ฉะนั้นชื่อเสียงเรียงนามจึงเป็นเรื่องที่มองข้ามกันไม่ได้
ยกตัวอย่าง “แอปเปิล” ที่แม้ว่าสตีฟ จ็อบส์ จะไม่ได้คิดอะไรกับมันมากนัก เพียงเพราะตัวเองชอบกินแอ๊ปเปิ้ลจึงนำคำว่าแอปเปิลมาตั้งเป็นชื่อบริษัท และด้วยชื่อธรรมดา ๆ นั้นปัจจุบันแอปเปิลเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงถึง 183 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแพงที่สุดในโลก
ถ้าใครเคยดูการ์ตูนเรื่อง Spirited Away ก็จะสัมผัสถึง ความมหัศจรรย์ของชื่อ ได้เช่นกัน ตัวเอกในเรื่องมีชื่อว่า “จิฮิโระ” เธอเป็นเด็กผู้หญิงวัยสิบขวบกว่า ๆ ที่ถูกแม่มดยึดชื่อของเธอเอาไว้ แล้วตั้งชื่อใหม่ให้ว่า “เซ็น” ในเรื่องนี้ จิฮิโระมีภารกิจอย่างหนึ่งที่จะต้องทำซึ่งเธอจะไม่มีทางทำได้สำเร็จ หากลืมชื่อของตัวเองไป เพราะเมื่อนั้นเธอจะต้องตกเป็นทาสของแม่มดไปตลอดกาล
แนวคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการ์ตูนเรื่องนี้มีที่มาจากความเชื่อเก่าแก่ของผู้คนแถบเอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่นที่ว่า ถ้าชื่อหายไป ตัวตนก็จะหายไปด้วย มีตำนานเล่าว่า ในสมัยที่คนและปีศาจยังมองเห็นกันได้ ปีศาจจะมีสองชื่อ คือชื่อที่แท้จริงกับชื่อที่ผู้คนเรียกขาน ปีศาจจะต้องเก็บชื่อที่แท้จริงไว้เป็นความลับสุดยอด หากมีใครรู้เข้าและเรียกชื่อที่แท้จริงได้ถูกต้อง ต่อให้ปีศาจตนนั้นดุร้ายหรือมีฤทธิ์เดชขนาดไหนมันก็จะต้องตกเป็นทาสของผู้นั้นทันที
แม้ว่าคนเราจะไม่ใช่ปีศาจ และเรื่องราวข้างต้นก็เป็นเพียงตำนาน ทว่าในความเป็นจริง ชื่อก็ส่งอิทธิพลต่อมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ไม่แพ้ในตำนานเลยทีเดียว
ข้อมูลจากหนังสือเรื่อง เศรษฐพิลึก ซึ่งแปลจาก Freakonomics กล่าวถึงงานวิจัยของโรแลนด์ จี. ฟรายเออร์ จูเนียร์ (Roland G. Fryer, Jr.) นักเศรษฐศาสตร์ชาวแอฟริกัน - อเมริกันที่ศึกษาเกี่ยวกับ “การใช้ชีวิตเลียนแบบคนขาว” ว่า โรแลนด์ได้ทำการวิจัยโดยเก็บข้อมูลจากสูติบัตรของเด็กทุกคนที่เกิดในรัฐแคลิฟอร์เนียย้อนหลังไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 พบว่า ลักษณะการตั้งชื่อลูกของพ่อแม่ที่เป็นคนผิวดำกับพ่อแม่ที่เป็นคนผิวขาวจะมีความแตกต่างกันอย่างน่าประหลาด เช่น ชื่อของเด็กผิวดำจะมีลักษณะเฉพาะชนิดฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเป็นคนดำแน่นอน อย่างไรก็ดี แม้พ่อแม่ผิวดำบางคนจะไม่ได้ตั้งชื่อที่มีความเฉพาะเจาะจงขนาดนั้น และตั้งชื่อซ้ำกับคนขาวบ้าง แต่แทบไม่มีพ่อแม่ผิวขาวคนไหนเลย ที่ตั้งชื่อซึ่งแสดงความเป็นคนผิวดำให้ลูกตัวเอง
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
งานวิจัยยังพบอีกว่า โดยเฉลี่ยแล้วคนที่มีชื่อแสดงความเป็นคนผิวดำอย่างชัดเจนล้วนมีชีวิตที่แย่กว่าคนที่มีชื่อแบบคนผิวขาว ครั้งหนึ่งผู้วิจัยได้ทดลองส่งใบสมัครงานสองฉบับที่มีรายละเอียดเหมือนกันทุกประการแต่ฉบับหนึ่งใส่ชื่อแบบคนขาว ส่วนอีกฉบับใส่ชื่อแบบคนดำปรากฏว่าผู้สมัครที่มีชื่อแบบคนขาวจะถูกเรียกตัวไปสัมภาษณ์งานมากกว่าเสมอ แม้ผลวิจัยจะชวนให้เชื่อว่าชื่อมีอิทธิพลต่อเจ้าของอย่างเหลือเชื่อ แต่ผู้วิจัยก็ไม่ได้ฟันธงว่าชื่อจะมีผลต่อชีวิตถึงขั้นนั้น เพราะคนเราเปลี่ยนชื่อกันอยู่บ่อย ๆ และการวัดว่าชื่อมีผลต่อชีวิตขนาดไหนคงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาศึกษานานมาก
อย่างไรก็ดี ในความคิดของพ่อแม่ ไม่ว่าจะชาติไหนภาษาไหน หรือมีผิวสีใดก็ตาม ต่างก็ให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อลูกกันมาก การปรึกษาโหราจารย์หรือหมอดูนับเป็นตัวช่วยที่ได้รับความนิยมไม่น้อย หมอดูมักอธิบายว่า ถ้าเด็กแรกเกิดได้ชื่อที่สัมพันธ์กับวันเดือนปีเกิด ชีวิตของเด็กคนนั้นก็จะราบรื่นและมีความสุข เพราะฉะนั้นจึงมีการนำศาสตร์ตัวเลขมาคำนวณวันเดือนปีเกิด เพื่อให้ได้ชื่อที่เหมาะสมกับตัวเด็กมากที่สุด
ในทางกลับกัน ถ้าเด็กได้ชื่อที่ไม่สัมพันธ์กับดวงชะตาก็อาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเขาได้…
แจสมิน และนิก แพตต์ (Jasmin and Nick Patt) ชาวเมืองโอกแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ให้กำเนิดหนูน้อยเคนดิล หลุยส์ (Kendyl Louise) เมื่อวันที่ 19 มกราคมปีที่แล้ว ตอนแรกเกิดทารกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง แต่เพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้นหนูน้อยก็มีอาการชักต่อเนื่อง และเคยชักมากที่สุดถึงวันละ 50 ครั้งจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่าหนูน้อยป่วยด้วยอาการทางสมองที่มีชื่อว่า Myoclonic Encephalopathy ซึ่งเป็นโรคที่อันตรายมาก
ทั้งพ่อและแม่พยายามหาทางช่วยลูกทุกวิถีทาง แจสมิน โทรศัพท์ไปหา ปีเตอร์ วาวแฮน (Peter Vaughan) นักพยากรณ์ชื่อดัง ซึ่งเขาได้ใช้ศาสตร์ตัวเลขตรวจดูว่าชื่อของหนูน้อยสมพงศ์กับวันเดือนปีเกิดหรือไม่ ปีเตอร์บอกว่าชื่อเคนดิลนั้นเป็นปรปักษ์กับตัวเด็กอย่างรุนแรง เขาจึงเปลี่ยนชื่อให้เธอใหม่ว่า ไมลีย์ เจย์ (Mylee Jay) และเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังการเปลี่ยนชื่อ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น หนูน้อยหายจากอาการชักเป็นปลิดทิ้ง! และเมื่อเข้าเครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง ก็พบว่าสมองของหนูน้อยทำงานเป็นปกติ ราวกับว่าไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน
แครี โอเบอร์บรันเนอร์ (Kary Oberbrunner) ก็เป็นคนหนึ่งที่ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะการเปลี่ยนชื่อ แต่เรื่องของเขาพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่ชื่อใหม่เป็นชื่อที่เขารู้อยู่เพียงคนเดียว
แครีนับถือศาสนาคริสต์และตั้งใจจะเป็นบาทหลวง แต่ในความเป็นจริง เขาเคยผ่านความสูญเสียอย่างรุนแรงและไม่สามารถยอมรับบาดแผลในชีวิตได้ เขาเกลียดพระเจ้าแต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเกลียด และต้องทุกข์ทรมานจากการใช้ชีวิตที่หลอกลวง สมัยยังเป็นนักศึกษา แครีจะไปฝึกเทศน์สอนคนในโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ แต่พอถึงคืนวันจันทร์ เขากลับติดกับดักแห่งความเศร้าโศกและต้องระบายออกด้วยการกรีดแขนตัวเองเป็นอย่างนี้ทุกสัปดาห์ แล้วคืนหนึ่งเขาก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งแครีมองเห็นชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกเขามองเห็นความจริงว่าเขา “ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรเลยสักอย่างเดียว” แครีบอกว่า หลังจากคืนนั้นเขาก็ได้รับชื่อใหม่จากพระเจ้า ซึ่งทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ต่อมาแครีเขียนหนังสือเรื่อง Your Secret Name ซึ่งเป็นหนังสือแนวพัฒนาตัวเองโดยใช้หลักธรรมตามพระคริสตธรรมคัมภีร์ เขาตีความจากพระธรรมวิวรณ์ บทที่ 2:17 โดยระบุว่า คริสต์ศาสนิกชนมี ชื่อที่เป็นความลับ (Secret Name) ซึ่งรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น พระเจ้าจะทรงมอบ Secret Nameให้แก่คนที่…
สามารถยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเองได้หมดสิ้น ไม่ยึดติดกับสถานะ ตำแหน่ง หรือชื่อเสียงฯลฯ
หัวใจหลักของหนังสือเล่มนี้คือ “To find our life, we must lose it.” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “เพื่อที่จะตามหาชีวิตให้เจอ เราต้องทำให้มันหายไปก่อน” น่าแปลกใจไม่น้อยที่ข้อความนี้ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนาเรื่องการสลายอัตตาซึ่งหากใครทำได้…แม้ไม่ทั้งหมด ชีวิตก็จะเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ
และเมื่อไรก็ตามที่เราสามารถลืมชื่อและทิ้งตัวตนของเราได้ เมื่อนั้นแหละที่ความมหัศจรรย์บางอย่างจะบังเกิดขึ้น!
เรื่อง Violet