ชีวิตที่เชื่อมั่นในความดี ของ ตั๊ก ศิริพร อยู่ยอด (ตอนที่ 2)
ตั๊ก ไม่เคยคิดว่าการใช้จ่ายอย่างประมาทจะกลายเป็นความผิดพลาดที่สร้างทุกข์ใหญ่หลวง ที่สุดในชีวิตได้ จนเมื่อมาเจอกับตัว จึงจำขึ้นใจว่าจะไม่ใช้ชีวิตเช่นนั้นอีกแล้ว
ชีวิตบนความประมาท
ช่วงที่เริ่มมีชื่อเสียง มีรายได้ ตั๊กซื้อทุกอย่างเป็นเงินผ่อนทั้งหมด ทั้งบ้าน รถ คอนโด บัตรเครดิตก็รูดใช้หลายใบ เรียกว่าใช้ชีวิตประมาทแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเพราะถือว่ามีคิวงานแน่นทุกวัน จองกันข้ามปี แต่แล้ววันหนึ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ฟองสบู่แตกชั่วข้ามคืนเจ้าภาพโทร.มายกเลิกงานทั้งหมด รายได้ที่คิดว่าจะมีก็หายไปหมด กลายเป็นว่าตั๊กมีเงินไม่พอจ่ายหนี้มากมายที่ก่อไว้
ไม่นานนักเจ้าหนี้ก็โทร.มาตาม ธนาคารก็โทร.มาทวง ทุกอย่างมาพร้อมกันหมด ทำเอาตั๊กช็อก เพราะคิดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเรา ตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่าตัวเองเดินล่องลอย เท้าไม่ติดพื้น ช่วงนั้นเห็นข่าวคนฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจเยอะ จนแวบหนึ่งแอบเผลอคิดไปเหมือนกันว่า ไม่อยากอยู่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงความคิดชั่ววูบเท่านั้น พอตั้งสติได้ก็ขอสู้ต่อไปดีกว่า
ตั๊กตัดสินใจยกบ้าน คอนโด รถยนต์ให้เพื่อนให้น้องที่รู้จักไปผ่อนต่อ ส่วนตัวเองก็หิ้วกระเป๋าใบเดียวไปหาเช่าอพาร์เมนต์ราคาไม่แพงอยู่ จริง ๆ ตั๊กขอความช่วยเหลือจากแม่ก็ได้ แต่ไม่ทำ เพราะให้แม่ไปแล้ว ไม่คิดขอคืนตั๊กขอไปสู้เอาใหม่ดีกว่า จึงออกสมัครหางานร้องเพลงตามร้านอาหาร ใจหนึ่งก็อายนะ เพราะเคยดังมากมาก่อน แต่ทำอย่างไรได้ ถ้ามัวแต่อายก็ไม่มีกิน
เวลานั้นตั๊กไม่กล้าขอความช่วยเหลือหรือกำลังใจจากใคร แม้แต่แม่ก็ไม่กล้าบอก จึงได้แต่ให้กำลังใจตัวเองว่าวันนี้อาจเจอฟ้าที่มีเมฆพายุ แต่เป็นไปไม่ได้ที่พายุฝนจะอยู่อย่างนี้ไปเป็นปี ต้องถึงวันที่ฟ้าใสในวันใดวันหนึ่ง ตั๊กสู้ทำงานหารายได้พอมีพอกินสักพัก โอกาสครั้งสำคัญในชีวิตก็เข้ามา
วันหนึ่งได้ไปออกรายการหนึ่ง เป็นรายการตลกตั๊กก็เล่นแบบสุดตัวเลย ปรากฏว่า พี่เป็ด เชิญยิ้ม ได้ดูรายการนี้พอดี เขาก็ตกใจไม่คิดว่านักร้องอย่างเราจะเล่นตลกได้ พี่เป็ดประทับใจมาก จนให้คนติดต่อมาเล่นในรายการ ก่อนบ่ายคลายเครียด
ตั๊กดีใจมาก ตกปากรับคำทันที เพราะชอบดูตลกมาตั้งแต่เด็ก และชอบทางนี้อยู่แล้ว เวลาร้องเพลง ตั๊กก็ชอบพูดชอบคุย ชอบเอนเตอร์เทนให้คนดูขำตลอด เพียงแต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ และติดภาพนักร้องของเรามากกว่าจนกระทั่งได้มาเปิดตัวเล่นตลกที่รายการ ก่อนบ่ายฯ คนก็ตะลึงกันว่า ตั๊ก ลีลา เล่นตลกได้ด้วยเหรอ กลายเป็นครั้งแรกในวงการที่นักร้องผันตัวมาเล่นตลก จากนั้นเราก็ดังขึ้นอีกครั้งและดังมาก จนมีรายได้มาปลดหนี้ได้จนหมด
เรื่องราวที่ผ่านมา ตั๊กจำเป็นบทเรียนสอนใจมาตลอดว่า “ฉันจะไม่ใช้ชีวิตประมาทอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว” ตั๊กเลิกซื้อของระบบผ่อน เลิกใช้บัตรเครดิตทุกใบ จะซื้ออะไรต้องซื้อเงินสดเท่านั้น เพราะกลัวการเป็นหนี้ที่สุด
ชีวิตคู่ที่เป็นเหมือนน้ำมันกับไฟ
ตั๊กเข้ามารายการ ก่อนบ่ายฯ พร้อม ๆ กับ พี่นุ้ย เชิญยิ้มตั้งแต่เขายังไม่เป็นที่รู้จักเลย ตอนนั้นเขาชื่นชมเรามาก่อนแล้วเขาก็เลียบเคียงเข้ามาคุยด้วย แต่เราไม่มอง ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะพอจะรู้ว่าเขามีครอบครัวแล้วแม้คนรอบข้างจะบอกว่าเขาเลิกกันแล้ว แต่ตั๊กก็ยังไม่เชื่อจนเขาพิสูจน์ตัวเองได้ว่า เลิกกับภรรยามานานแล้ว และภรรยาเขาเองก็ยืนยัน ตั๊กจึงเปิดใจคบกัน
ตั๊กดูใจพี่นุ้ยสามปีและคบกันจริงจังสองปีก็แต่งงานกันแต่ช่วงนั้นกลับมีข่าวว่าเราไปแย่งสามีคนอื่นมา ตั๊กยอมรับว่าทุกข์มาก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีข่าวเสียหายมาก่อน ตั๊กบอกได้ว่า เราไม่มีทางทำร้ายผู้หญิงคนอื่นด้วยการแย่งคนรักของเขาแน่นอน เพราะตั๊กมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งเป็นปมในใจ ยิ่งที่ผ่านมาได้เห็นว่าแม่ต้องเป็นทุกข์แค่ไหนตั๊กก็จำขึ้นใจว่าไม่มีทางทำแบบนี้กับใครแน่ ๆ
ที่สำคัญคือ ตั๊กเชื่อมั่นในความดี ถ้าเราทำแต่สิ่งที่ดีแล้วก็จะไม่มีใครทำร้ายเราได้ และเชื่อมั่นในความจริงที่ว่า ถ้าเราไม่ได้ทำ วันหนึ่งความจริงจะปรากฏขึ้นมาเอง และสุดท้ายทุกอย่างก็คลี่คลาย ทุกคนได้รู้ว่าเราไม่ได้แย่งใครมาจริง ๆและตั๊กก็รับดูแลลูก ๆ ทั้งสามของพี่นุ้ยด้วย
หลังแต่งงาน ตั๊กกับพี่นุ้ยต้องค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหากันเพราะเราสองคนเป็นคนใจร้อนทั้งคู่ เรียกว่าเป็นน้ำมันกับไฟเลยทีเดียว อีกทั้งต่างคนต่างก็คงรู้สึกในใจลึก ๆ ว่าตัวเองเก่ง เพราะต่างก็ทำงานดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เราจึงไม่ค่อยยอมกัน ทะเลาะกันบ่อย ตั๊กโชคดีที่มีผู้ใหญ่และเพื่อนคอยเตือนสติเสมอ ตั๊กฟังหลายคนแล้วก็เก็บมาคิด และอ่านหนังสือธรรมะด้วย จึงเริ่มคิดได้
เมื่อก่อนตั๊กเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย อะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้ ไม่ปล่อย หลัง ๆ มาจึงเริ่มปล่อยวาง และคิดว่าเราต่างครอบครัวมาอยู่ด้วยกัน ย่อมมีเรื่องคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง ถ้าเราปรับเขาไม่ได้ เราลองปรับที่ตัวเองบ้าง อย่างไรก็ดีกว่าไปขอร้องให้เขาเปลี่ยนเพียงคนเดียว
เมื่อตั๊กปรับตัวเองจนพี่นุ้ยคงรู้สึกได้ เขาจึงปรับตัวเองบ้าง จากที่เคยใจร้อน ทะเลาะกัน อาละวาดทำลายข้าวของจนบ้านแทบพัง เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย พอโกรธกันปุ๊บ เราแยกกันไปสงบจิตสงบใจกันทั้งคู่ สักพักอารมณ์ดีค่อยมาคุยกันด้วยเหตุผล และเราจะไม่ปล่อยให้มีเรื่องค้างคาใจกันข้ามวันข้ามคืน พอเรายอมกันบ้าง ชีวิตคู่ก็อยู่อย่างเป็นสุข
รักลูกจนเป็นทุกข์
ตอนแรกตั๊กไม่คิดจะมีลูก เพราะพี่นุ้ยก็มีลูกอยู่แล้วสามคน แต่พอมีน้องภู (ลูกชาย) แล้ว จึงได้รู้ว่าความรักที่แม่มีต่อลูกยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อก่อนตั๊กไม่เคยคิดเลยว่าเราจะรักใครคนหนึ่งได้มากขนาดนี้ เรียกว่า รักลูกจนเป็นทุกข์
ตั๊กเลี้ยงลูกอย่างประคบประหงมมาก เลี้ยงแบบไข่ในหิน ขนาดเท้าไม่ให้เหยียบพื้น เพราะกลัวเชื้อโรค กลัวไปหมดทุกอย่าง เรียกว่าแทบเป็นบ้า พี่นุ้ยจะพาไปไหนก็ไม่ให้ไป กลัวคนมาอุ้มลูกไป จนทะเลาะกับพี่นุ้ยหลายครั้ง เพราะตอนนั้นลืมคิดไปว่า เราให้กำเนิดลูกแล้ว ชีวิตต้องเป็นของเขา แต่เมื่อรักลูกจนไม่ปล่อยวาง ตัวเราจึงเป็นทุกข์เสียเอง
เวลานั้นพี่ ๆ ในวงการที่มีลูกมาก่อนคอยสอนคอยเตือนเสมอว่า ถ้าเราห่วงลูกมากเกินไปจะกลายเป็นรังแกลูกโดยไม่รู้ตัว ตั๊กฟังแล้วก็เก็บมาคิดว่า ก็จริงของเขานะ ต่อมาแม่ที่ห่วงหวงลูกมากอย่างตั๊กจึงค่อย ๆ ตั้งสติ ปรับตัว ปล่อยวางและปล่อยลูกทำโน่นทำนี่เองบ้าง โชคดีที่น้องภูเป็นเด็กดีไม่เคยสร้างความลำบากใจให้พ่อแม่เลยสักครั้งเดียว ตอนนี้น้องภูสนใจเรื่องการเรียนภาษา ร้องเพลง และเทคโนโลยีต่าง ๆ ตั๊กและพี่นุ้ยก็สนับสนุนและส่งเสริมเขาเต็มที่
ตั๊กบอกน้องภูและลูก ๆ อีกสามคนของพี่นุ้ยเสมอว่าพ่อแม่ไม่มีมรดกอะไรให้ เพราะพ่อแม่ก็สร้างเนื้อสร้างตัวกันมาเอง สิ่งที่พ่อแม่ให้ได้มีเพียงการศึกษา ถ้าเรียนจบแล้วก็จงไปใช้ชีวิตของตัวเอง ไปสู้ทำงานหาเงินเอง แต่ไม่จำเป็นต้องมาเลี้ยงดูพ่อแม่นะ ขอเพียงแค่เป็นคนดีของครอบครัวของสังคมเท่านั้นก็พอ
ที่ผ่านมาตั๊กทำงานหนักเพื่อสร้างครอบครัวให้อยู่สุขสบาย อีก 2 ปีต่อจากนี้จึงตั้งใจว่าจะลาวงการกลับไปอยู่ต่างจังหวัดดังที่ใจฝันไว้มาเนิ่นนานแล้ว
คลิกลิ้งค์ด้านล่างเพื่ออ่านเรื่องราวชีวิตของพี่ตั๊กต่อ >>>
ชีวิตที่เชื่อมั่นในความดี ของ ตั๊ก ศิริพร อยู่ยอด (ตอนที่ 1)
ตั๊ก ศิริพร อยู่ยอด กับ ชีวิตที่เชื่อมั่นในความดี (ตอนจบ)
นิตยสาร Secret คอลัมน์ This is Life
เรื่อง ศิริพร อยู่ยอด เรียบเรียง เชิญพร คงมา
ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์
แต่งหน้า วงศธร ศิริพรเทพ ทำผม ศรัณยพัชร์ มาลากุล ณ อยุธยา