สมัยสาว ๆ ฉันเป็นชาวพุทธที่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม แต่ไม่ได้ใส่ใจนำมาเตือนสติตัวเองมากนัก เพราะมัวหลงติดสนุกสนานเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิต
มาย้อนคิดได้ก็ตอนที่อายุมากขึ้น และเชื่อว่าชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้คือผลกรรมที่ตัวเองเคยก่อไว้ทั้งสิ้น
เมื่อมองดูคนในครอบครัวก็ไม่มีใครมีปัญหาเรื่องการเป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่ว่าพ่อ แม่ น้องชาย และน้องสาว แต่ไม่รู้ทำไมฉันจึงมีปัญหากับเรื่องนี้อยู่คนเดียว ตั้งแต่มีแฟนคนแรกคือ แซม ตอนเรียนปริญญาตรี ฉันก็มีจิตใจซุกซน ไม่ถึงกับคอยสอดส่ายสายตาไปมองคนอื่น แต่ถ้าใครแหย่เข้ามาก็พร้อมเล่นด้วย ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยฉันจึงแอบมีกิ๊กเป็นระยะ โดยที่แฟนไม่ระแคะระคาย เพราะเขาก็เรียนหนักและทำกิจกรรมเยอะ
ดีกรีความไม่ซื่อสัตย์ของฉันเริ่มแผลงฤทธิ์รุนแรงขึ้นเมื่อเรียนจบและมีงานทำ เนื่องจากฉันทำงานที่ต้องติดต่อพบปะผู้คนในสังคมที่ดี จึงมีโอกาสได้พบผู้ชายมากหน้าหลายตา และฉันเป็นคนติดพ่อจึงให้ความสนใจผู้ชายที่มีอายุมากเป็นพิเศษ
แล้ววันหนึ่งฉันก็พบกับผู้ชายอายุคราวพ่อสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสองคนนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของฉันในเวลาต่อมา
คนแรกคือ ชัย คนที่สองคือ แทน ซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทั้งคู่มีหน้าที่การงานที่ดี เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมพอสมควร ด้วยความที่เป็นเด็กสาวเพิ่งพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน ฉันรู้สึกตื่นเต้นลำพองใจที่มีผู้ชายอายุมาก มีฐานะ มีความมั่นคงในชีวิต แถมยังมีชื่อเสียงมาตามจีบ แต่ฉันก็ทำตัวสองใจ เลือกไม่ถูก เลยตอบรับไปทั้งสองคน โดยยังคบกับแฟนคนแรกอยู่เหมือนเดิม
ชีวิตของฉันจึงวุ่นวายและรบกวนการทำงาน เพราะต้องวิ่งรอกสับรางไปมาระหว่างผู้ชายสามคน จะเบาหน่อยก็ตอนช่วงที่แทนกลับไปสหรัฐอเมริกา เพราะเขามาเมืองไทยปีละสองครั้ง ถ้าถามว่าฉันทำได้อย่างไร ก็คงต้องยกความดีให้สมัยนั้นที่เป็นช่วงปลายยุคเพจเจอร์ และกำลังเริ่มมีโทรศัพท์มือถือ โลกโซเชียลก็ยังไม่บูมเหมือนสมัยนี้ ฉันจึงรอดพ้นจากการถูกตามเช็กตามส่องผ่านช่องทางต่าง ๆ
ความไม่ซื่อสัตย์ย่อมมาพร้อมคำโกหก ฉันกลายเป็นคนโกหกเป็นไฟ หลอกคนนั้นทีคนนี้ทีจนตัวเองมึน เวลาถูกจับได้ก็ใช้วิธีแกล้งตีมึนเอาสีข้างเข้าถู หรือไม่ก็ทำเป็นโกรธร้องโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนไปเลย นานวันเข้าทั้งสามคนก็เริ่มระแคะระคายและกลายเป็นความระแวง ทำให้ฉันอยู่ยากมากขึ้น
ฉันมีความสัมพันธ์กับผู้ชายสามคนนานเป็นปีจนเริ่มล้าและเครียด เพราะยิ่งปล่อยไปนานวันเข้าก็ยิ่งกลายเป็นความผูกพันไม่กล้าตัดสินใจ ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่งแทนก็เอ่ยปากขอแต่งงาน และบอกว่าจะพาฉันไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาด้วยกัน น้ำเสียงของเขาไม่ใช่การขอแต่งงานโรแมนติกอะไร แต่เหมือนกับยื่นคำขาดมากกว่า ทำนองว่าถ้าฉันไม่เซย์เยส เขาก็คงไม่กลับมาเมืองไทยอีก
ฉันรีบรับปากตอบตกลง แต่ก็ยังอ้อมแอ้มว่าขอแค่หมั้นไว้ก่อนได้มั้ย ในใจก็คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปแก้ปัญหาทีหลัง แทนไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แล้วฉันก็เข้าพิธีหมั้นกับแทนทั้งที่ยังคบกับผู้ชายอีกสองคน
ฉันยื้อวันแต่งงานไปเรื่อย ๆ จากที่เคยคุยกันว่าหมั้นสามเดือนค่อยแต่ง ฉันก็ขอเลื่อนบอกว่ายังไม่พร้อม จนลากยาวไปเป็นปี แล้ววันหนึ่งแทนก็บอกฉันว่าเขาตรวจเจอมะเร็ง
เชื่อมั้ยว่าความรู้สึกแรกของฉันคืออึ้ง จากนั้นตามมาด้วยความโล่งอก คิดในใจว่า ดีจังจะได้ไม่ถูกคาดคั้นเรื่องแต่งงานอีก แทนบอกว่า เขาคงไม่กล้าถามฉันเรื่องแต่งงานแล้วตอนนี้ เพราะถ้าบังคับให้แต่งกับคนป่วยก็เหมือนเห็นแก่ตัว ฉันเลยสวมวิญญาณนางเอกบอกไปว่า ขอให้รักษาตัวก่อน อย่าไปเครียด อย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่น
หลังจากนั้นแทนก็มารักษาที่เมืองไทย ฉันทำตัวเป็นคู่หมั้นที่ดีมาก ไปนอนเฝ้าคนป่วยที่โรงพยาบาลทุกครั้ง ญาติพี่น้องของแทนที่ไม่พอใจเรื่องที่ฉันยังไม่ยอมแต่งงานก็พากันหุบปาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก
แทนรักษาตัวจนเรียกว่าหายแล้ว ขณะที่ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มแย่ลงเช่นกัน และความเครียดอึดอัดจากความสัมพันธ์หนึ่งก็ส่งผลต่อความสัมพันธ์อื่น ๆ ตามมา ฉันไม่ได้รู้สึกสนุกสนานกับการสับรางหลอกล่อไปมาอีกต่อไปแล้ว
น่าขำที่คบผู้ชายสามคน สองคนจริงจังกับเราถึงขั้นแต่งงาน แต่คนที่เรามีใจให้ที่สุดกลับเป็นคนที่ไม่คิดผูกมัดลงหลักปักฐานกับใคร ฉันหมั้นกับแทน ส่วนแซมก็เคยคุยกันเรื่องแต่งงานตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ด้วยกัน แต่ฉันดันไปแคร์ชัยมากกว่าใคร
ช่วงหลังฉันทะเลาะกับชัยบ่อยมาก เพราะฉันเอาแต่งอแงเรียกร้องความสนใจจนเขารำคาญ ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผู้ชายอีกสองคนค่อย ๆ ห่างจากฉันไป
ฉันมารู้ในภายหลังว่า แทนกับแซมรู้ในใจลึก ๆ แล้วว่าฉันมีคนอื่นอีก แต่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าฉันคบซ้อนมากกว่า 1 คน ทั้งคู่จับไม่ได้คาหนังคาเขา และเสียใจมากกับการกระทำของฉัน โดยเฉพาะแซมซึ่งรักกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 1 เขาถึงกับแอบร้องไห้คนเดียว
ในที่สุดชัยก็รู้เรื่องฉันคบซ้อนจนได้ เขาตอบสนองเรื่องนี้ด้วยการหนีหายไปเฉย ๆ ติดต่อไม่ได้ ฉันโทร.ไปเจอแต่ผู้ช่วยเป็นคนรับสาย และบอกว่าเจ้านายขึ้นเหนือไปทำงานในป่าติดต่อไม่ได้ ฉันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งฟูมฟายอยู่ที่บ้านคนเดียว ก็คงอยู่ในสภาพเดียวกับแซมนั่นแหละ
เมื่อชัยกลับมา เขายอมรับสายของฉัน แต่พูดจาตัดรอนอย่างไม่มีเยื่อใย ฉันเสียใจแทบจะดิ้นตายไปตรงนั้น พยายามตามงอนง้อ แต่ไม่สำเร็จ ยิ่งเสียใจหนักขึ้นไปอีก และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อแทนติดต่อมาขอตัดสัมพันธ์พร้อมกับเอ่ยปากยกสินสอดทองหมั้นทั้งหมดให้ฉันโดยไม่ขอคืน ก็เหลือแต่แซม รักแรกของฉันคนเดียวเท่านั้นที่ยังทำตัวเหมือนเดิม
ช่วงนั้นฉันมัวแต่จ่อมจมอยู่กับความเศร้าปวดร้าวใจที่ถูกผู้ชายสองคนทิ้งในเวลาเดียวกัน เครียดหนักถึงขั้นนอนไม่หลับ ฉันเริ่มคิดหาวิธีให้นอนหลับ ก็เลยออกไปซื้อยานอนหลับ แต่ที่ร้านขายยาบอกว่าไม่มีเพราะผิดกฎหมาย มีแต่ยากล่อมประสาท ซึ่งช่วยให้หลับได้ และยอมขายให้ครั้งละ 5 – 10 เม็ดเท่านั้น
จู่ ๆ ฉันก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ทำไมไม่หลับยาว ๆ ไปเลย จะตื่นขึ้นมาเจอกับชีวิตแบบนี้ทำไม มีแต่ความเหนื่อยยาก หลับไปเลยเสียยังดีกว่า จึงกินยาที่มีอยู่ทั้งหมดทีเดียว
จากนั้นโทร.ไปหาอดีตหัวหน้างานคนหนึ่งที่ฉันเคารพบอกว่าช่วงนี้กลุ้มนอนไม่ค่อยหลับ เลยกินยาจะได้หลับ พูดไปพูดมาเริ่มง่วง ฉันเลยวางหู ล้มตัวลงนอนหน้าทีวีแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
ตื่นมาอีกทีฉันก็อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว หมอล้างท้องเรียบร้อยแล้ว แม่ น้องชาย น้องสาว และเพื่อนฝูงอยู่เต็มห้อง แทนและแซมโทรศัพท์มาถามอาการจากเพื่อนของฉันด้วยความห่วงใย มีแต่ชัยที่ไม่ติดต่อมาเลย และที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะอดีตหัวหน้างานท่านนั้นที่เฉลียวใจโทร.กลับมาที่บ้านแล้วน้องชายของฉันรับสาย จึงบอกให้น้องช่วยไปดูฉัน น้องมาเจอฉันในสภาพหมดสติไปแล้วจึงพาส่งโรงพยาบาลได้ทันการณ์
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นแซมดีกับฉันมาก เขาบอกว่าถ้าเสียฉันไป เขาก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ส่วนแทนกลับมาคุยกับฉันเพราะรู้สึกผิด เขาคิดว่าเขาควรอยู่ดูแลฉันในช่วงเวลาแบบนี้
ส่วนตัวฉันเองก็ได้มองเห็นอะไรหลายอย่าง ในยามที่เราลำบาก คนที่ยังอยู่เคียงข้างเรานั่นแหละคือคนที่ห่วงใยเราจริง ๆ ไม่ว่าเราจะเป็นคนแบบไหนก็ตาม
ถึงแม้แทนจะกลับมาหาฉันอีกครั้ง แต่ก็ด้วยความรู้สึกผิดและสงสาร มันไม่ใช่ความรักอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น เราจึงฝืนคบกันต่อไปได้อีกไม่กี่เดือน แทนก็ไปเจอคนใหม่ ฉันจึงปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายโดยไม่รั้งไว้อีก และหันกลับมาหาแซมคนที่ยังอยู่รอคอยฉันเสมอ แซมดูมีความสุขมากทั้งที่ฉันอยู่ในสภาพเซื่องซึมเหมือนคนอกหัก เขาเริ่มพูดถึงการแต่งงาน เราคุยถึงเรื่องอนาคตร่วมกัน
เรื่องราวดูเหมือนแฮ็ปปี้เอนดิ้ง พระเอกนางเอกลงเอยกันอย่างมีความสุข แต่ฉันคงยังชดใช้กรรมไม่หมด เจ้ากรรมนายเวรเลยตามติดไม่เลิกรา และกรรมเพิ่งจะเริ่มทำงานของมัน
หลังจากคุยกันเรื่องแต่งงานได้หนึ่งปี แม่ของฉันก็ล้มป่วย ที่บ้านจึงวุ่นวายกับการดูแลแม่ ทำให้ฉันห่างจากแซมในช่วงนั้นนานหลายเดือน ฉันเบี้ยวนัดเขาบ่อยครั้งเพราะเหนื่อยกับการดูแลแม่ เขาเก็บความน้อยใจไว้ลึก ๆ ได้แต่โทร.มาถามไถ่และเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟัง
ฉันจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เขาโทร.มาคือเย็นวันศุกร์ เขาเพิ่งปิดจ๊อบชิ้นใหญ่กับบริษัทแห่งหนึ่งและกำลังรอเงินออกสัปดาห์หน้า ฉันแสดงความยินดีด้วย และบอกว่าวันอาทิตย์นี้คงไม่ไปเจอเพราะที่บ้านยังยุ่ง ๆ อยู่ น้ำเสียงงของเขาผิดหวังมากก่อนวางหูไป ฉันไม่นึกเลยว่านั่นคือสุดท้ายที่เราได้คุยกัน
บ่ายวันจันทร์หลังจากฉันทำธุระเสร็จไปหลายอย่างจนพอมีเวลาว่าง ฉันคิดถึงแซมขึ้นมาอย่างรุนแรงจึงโทร.หาแต่เขาไม่รับสาย ไม่ว่าจะเบอร์ห้องที่คอนโดหรือเบอร์มือถือและไม่โทร.กลับด้วย ฉันแปลกใจมาก ฉันพยายามโทร.ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่วงดึกของคืนวันอังคารก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ ใจคอไม่ค่อยดี ตัดสินใจว่าถ้าพรุ่งนี้เช้ายังโทร.ไม่เจอจะไปหาที่คอนโด
วันรุ่งขึ้นฉันโทร.หาเขาอีกตั้งแต่เช้าจนสายก็ยังติดต่อไม่ได้ จึงอาบน้ำแต่งตัว พอจะออกจากบ้าน เพื่อนของฉันซึ่งเป็นเพื่อนกับแซมด้วยก็โทร.มา บอกว่าแซมเสียชีวิตแล้วอยู่ที่คอนโดนั่นเอง
ผลชันสูตรออกมาว่า เขาหัวใจล้มเหลวขณะนั่งดูโทรทัศน์อยู่คนเดียวภายในห้องพัก คาดว่าน่าจะเสียชีวิตประมาณช่วงบ่ายของวันจันทร์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ฉันนึกถึงเขาและเริ่มโทร.หาเขานั่นแหละ
ไม่ต้องสงสัยว่าฉันจะเสียใจมากมายขนาดไหน มันบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้เลยทีเดียว สภาพจิตที่เพิ่งหาย แผลยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ คราวนี้ต้องมาป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี แต่ฉันไม่ได้คิดจะกินยาให้หลับยาวอีกเหมือนครั้งที่แล้ว เพราะมีพ่อกับแม่ที่ต้องคอยดูแล และคิดได้ว่าการฆ่าตัวตายคือบาปมหันต์
ช่วงที่กำลังซมซานกับชีวิตอยู่นั้น โชคร้ายที่คนที่เข้ามาปลอบโยนในช่วงนั้นคือเพื่อนสมัยเรียนที่ดำเนินชีวิตในทางสายเมา คือเป็นผู้หญิงที่กินเหล้าเมายาเละเทะ เพื่อนคนนี้โทร.มาหาฉันทุกวัน คอยถามไถ่ด้วยความห่วงใย และลงท้ายด้วยการชวนไปเมาทุกครั้ง
ฉันหลงไปเดินทางสายเมาอยู่นานนับปีกว่าจะหักดิบเลิกเองได้ เพราะรู้สึกว่าชีวิตมันมืดมนเกินไปแล้ว แต่หลังจากนั้นชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรนัก เพราะเจอแต่ผู้ชายมาหลอกลวงตลอดเวลา บางคนก็มีลูกมีเมียแล้ว บางคนก็อยู่กินกับแฟนแล้ว รายไหนที่อายุน้อยกว่าก็มาหลอกเอาเงินบ้างให้เราเลี้ยงบ้าง ไม่มีใครจริงจังจริงใจกับฉันแม้แต่คนเดียว
ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของแซมซึ่งเขาเคยบอกว่า ฉันเป็นคนเชื่อคนง่าย ใครดีด้วยก็ไว้ใจ ถ้าไม่มีเขา ฉันคงถูกผู้ชายหลอกเละเทะแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
หลังจากสะบักสะบอมกับคำหลอกลวงของผู้ชายมากหน้าหลายตา ฉันก็เริ่มอยากอยู่คนเดียวนิ่ง ๆ จู่ ๆ ก็เกิดทำตัวสมถะ ค่อย ๆ ลดทุกอย่างในชีวิตลง ความตายของแซมทำให้ฉันมองเห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เพราะข้าวของทุกอย่างที่เราเคยไปเดินเลือกซื้อด้วยกันก็วางกองไว้อย่างเดียวดาย บวกกับคิดได้ว่าฉันถึงวัยที่ควรเลิกคิดเรื่องผู้ชายได้แล้ว หันมาดูแลพ่อแม่และดำเนินชีวิตอย่างมีประโยชน์จะดีกว่า
กรรมที่ฉันก่อไว้จากความหลายใจมีผลต่อชีวิตทุกด้าน งานการก็ไปไม่ถึงไหนทั้งที่มีฝีมือในสายงานพอตัวเลยทีเดียวเนื่องจากมัวแต่ไปเสียเวลากับเรื่องอื่น โชคดีที่มีรุ่นพี่น้ำใจงามหลายคนคอยช่วยเหลืออุ้มชูหางานให้ทำมาตลอด ชีวิตครอบครัวก็ไม่ต้องคิดแล้ว มีแฟนโรคประสาทหนึ่งคนคาราคาซังอยู่แบบนี้ สิ่งที่เหลืออยู่คือชีวิตของผู้หญิงอายุย่างเข้าเลขห้าที่หันมามุ่งมั่นกับเรื่องงานและคอยดูแลพ่อแม่ต่อไป
ถามว่าชีวิตของฉันตอนนี้มีความสุขไหม คำตอบคือมีความสุขดีพอสมควร เพราะฉันทำใจได้และยอมรับมันทุกอย่าง มีเหตุมีผลในตัวมันเอง พยายามยึดหลักคิดดี พูดดี ทำดี เพื่อดึงดูดแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต
สิ่งเดียวที่ฉันภาวนาไว้ในใจเสมอคือ ขอชดใช้เวรกรรมให้หมดในชาตินี้เถิด
ข้อคิดจาก ดร.พระณธีร์วิชญ์ วรโภคินธนะโชค สวนป่าบุญชุ่มรมณียาราม จังหวัดเชียงราย
ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นนัก อย่าเสียเวลาเพลิดเพลินสนุกกับการเป็นคนเจ้าชู้หลายใจอยู่เลย เราไม่มีวันนี้เป็นครั้งที่สอง วันเวลาของชีวิตผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย จงรีบเสาะแสวงหาคุณค่า ความสุข หาคู่ครองคนรักแท้ที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กันไปจนแก่เฒ่าชรา สร้างครอบครัวให้อบอุ่นดีกว่า เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ชัดเจนว่า ชีวิตเราหากปราศจากความซื่อสัตย์จริงใจต่อคนรัก มุสาเป็นอาจิณ ชีวิตจะหมองเศร้าทันที ไม่ใช่เทพเจ้าหรือเทวดาดลบันดาล แต่ตัวเราผู้กำหนดชะตาความเป็นไปแห่งชีวิตตนเอง เป็นผู้กำหนดสุขทุกข์ให้แก่ตนเองต่างหาก
คนไม่รักเดียวใจเดียวในคู่รักตน ไม่ซื่อสัตย์จริงใจ ตามมาด้วยการหลอกลวงโกหก ทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำน้ำใจ ก็เหมือนกับเป็นการเบียดเบียนตัวเราเอง ทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บใจ ช้ำใจ ก็เหมือนทำร้ายตนเอง สร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง และเป็นการก่อเวร สร้างศัตรูข้ามภพชาติที่ง่ายที่สุด เป็นการสร้างบาปที่นำทุกข์มาให้
อาหารมีคุณค่าต่อร่างกายฉันใด ธรรมะก็มีความจำเป็นอย่างมากต่อชีวิตฉันนั้นเหมือนกัน คนรู้ธรรมะ รู้ศีลธรรม แต่ไม่นำมาใช้ปฏิบัติ เปรียบเหมือนคนไม่สบายอยู่ใกล้หมอแต่ไม่ยอมรักษา หรือเหมือนมียารักษาโรคในมือ แต่ไม่ยอมกิน โรคก็ไม่หาย ดั่งคำที่ว่า ธรรมใด ๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำไม่นำไปปฏิบัติ หากคิดจะรักหรือคบกับคนเจ้าชู้หลายใจมี 2 ทางเลือกเท่านั้น คือ หนึ่ง ทนคบกันไป ผลคือปวดใจทุกข์ทรมานกับความเจ้าชู้ สองคือ เลิกคบ ก็ทำให้ชีวิตดีขึ้น
วิธีแก้นิสัยไม่ให้เป็นคนเจ้าชู้หลายใจมีวิธีเดียว คือ ต้องฝึกเจริญสติสัมปชัญญะ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้มาก ศึกษาธรรมะให้มาก ๆ ฝึกให้รู้โทษพิษภัยของการมากชู้หลายใจว่าเป็นหนทางแห่งความเสื่อม หายนะ ชีวิตไม่รุ่งโรจน์ ควรฝึกให้มี หิริ ละอายใจต่อการทำชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวต่อผลบาปกรรม เพื่อส่งเสริมยกจิตใจให้เป็นเทวดา นอกจากนี้ ควรยึดหลักฆราวาสธรรม 4 ธรรมะสำหรับผู้ครองเรือนไปปฏิบัติ คือ สัจจะ ฝึกฝนตนเองให้มีความซื่อสัตย์ จริงใจ ทมะ ฝึกข่มจิตใจตนเอง ขันติ ฝึกความอดทน จาคะ ฝึกการเป็นผู้แบ่งปัน หนุ่มสาวคบหาดูใจกัน และพ่อบ้านแม่เรือนที่กำลังใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ความซื่อสัตย์ต่อคนรักและรักเดียวใจเดียวเป็นตัวแปรสำคัญมากต่อความมั่นคงของครอบครัว เป็นหลักประกันที่ทำให้ครอบครัวอยู่เป็นปกติสุขและอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า
ที่มา : นิตยสาร Secret
เรื่อง : พาย
photo by Flachovatereza on pixabay