เจ้าของธุรกิจ

ลิขิตชีวิตด้วยธรรมและคำสอนพ่อ – ดารินทร์ ยิ่งเจริญ จากลูกพ่อค้าสู่ เจ้าของธุรกิจ 400 ล้าน

ลิขิตชีวิตด้วยธรรมและคำสอนพ่อ – ดารินทร์ ยิ่งเจริญ จากลูกพ่อค้าสู่ เจ้าของธุรกิจ 400 ล้าน

แม้ คุณดาว – ดารินทร์ ยิ่งเจริญ ไม่เคยปรากฏชื่อบนสื่อในฐานะหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ในย่านคลองสาม ปทุมธานี รู้จักเธอดีในฐานะ เจ้าของธุรกิจ วัสดุก่อสร้างรายใหญ่ และเจ้าของพื้นที่ริมถนนย่านคลองสามกว่า 20 ไร่ ที่แบ่งปันเป็นตลาดโต้รุ่ง เพื่อสร้างช่องทางทำกินให้ชาวบ้านปลดหนี้ได้สำเร็จ

วันนี้เธอไม่เพียงประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ แต่ยังสะสมอริยทรัพย์ โดยมอบทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนที่เรียนดีหลายชีวิต ร่วมสร้างโรงพยาบาล สร้างกุฏิสงฆ์ ปฏิบัติธรรมเป็นประจำทุกเดือน ดำเนินชีวิตด้วยคติธรรมและคำสอนของบุพการี

กว่าจะมีวันนี้ บทเรียนชีวิตสอนให้เธอต้องคิดและเรียนรู้

ชีวิตวัยเด็ก

เราเกิดมาในครอบครัวคนจีน มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน เราเป็นลูกคนที่ 4 คุณพ่อเป็นคนจีนโล้สำเภามาจากโพ้นทะเล มาตั้งรกรากแถวคลองรังสิต จำได้ว่าสมัยนั้นลำบากมาก พ่อขายเศษเหล็ก ขายเรือเอี้ยมจุ๊น กระทั่งมาเป็นพ่อค้าขายข้าว เพราะสมัยนั้นมีแต่ทุ่งนาเต็มไปหมด

ตอนเด็กเห็นพ่อลำบาก ทำงานสารพัดทั้งที่ไม่รู้ภาษาไทย บางครั้งก็ถูกโกง แต่ท่านอดทนสูงมาก ขยัน มีความทะเยอทะยานที่จะขยายธุรกิจ เพราะอยากให้ลูกมีความเป็นอยู่ทัดเทียมคนอื่น เราก็ช่วยพ่อขายของทุกอย่างตั้งแต่ตัดเหล็ก คัดเศษเหล็กชั่งกิโลขาย

เมื่อเรียนชั้นมัธยม คุณแม่ต้องย้ายกลับมาดูแลยายที่อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร เราและพี่น้องทั้งหมดจึงย้ายตามมาด้วย คุณแม่เปิดร้านโชห่วยในตลาดโพทะเล ขายทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้าถึงเมล็ดพันธุ์พืช เพราะต่างจังหวัดสมัยก่อนยังไม่เจริญ ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ระหว่างนั้นคุณพ่อก็เดินทางไป ๆ มา ๆ เพราะยังต้องทำธุรกิจที่กรุงเทพฯ

กระทั่งเรียนจบ ม.ศ.3 จากโรงเรียนโพธิธรรมสุวัฒน์ คุณพ่อหันมาเปิดธุรกิจโรงสี แม่และลูกทุกคนจึงย้ายกลับมาที่รังสิต เรียนต่อที่โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ฯจนจบ ม.ศ.5

คำพ่อสอน “ต้องยอมเสียเปรียบ”

ขณะอยู่ต่างจังหวัดเคยถามพ่อว่า ทำไมไม่อยู่กับเรานาน ๆ พ่อตอบว่า “ลูกเอ๊ย ถ้าเตี่ยอยู่นาน พวกหนูจะกินอะไร” พ่อสอนเสมอว่า “ลูกต้องเป็นเด็กดี ต้องขยัน ซื่อสัตย์ และต้องยอมเสียเปรียบคนหนึ่งก้าว”

เราก็ถามว่า “ทำไมหนูต้องยอมเสียเปรียบ เมื่อหนูไม่เอาเปรียบใคร ทำไมต้องยอมให้ใครมาเอาเปรียบหนู” พ่อบอกว่า “เด็กโง่ ถ้าเรายอมเสียเปรียบคนหนึ่งก้าว หนูจะมีเพื่อนเยอะ คนจะรักหนู การที่เรายอมเสียเปรียบเขาหน่งึ ก้าว น่นั แปลว่าเราเหนือเขาหน่งึ ก้าว” เราก็จำมาตลอดและนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้

ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวย แต่พ่อกับแม่สู้มาจนเราพอมีพอใช้ ตอนนั้นรู้สึกตัวเองโชคดีมากที่บ้านเราพ่อแม่พี่น้องรักกันหมด ทุกคนเรียนจบและได้ทำงานที่ดี บางคนแยกย้ายไปมีครอบครัว เราก็ยังเรียน ๆ เล่น ๆ ไปตามประสาเด็ก เรียนแค่พอผ่าน จนหลังเรียนจบ ม.ศ.5 สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐไม่ติด พี่สาวจึงให้เรียนมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน แต่ค่าเรียนหน่วยกิตละ 200 บาท ซึ่งแพงมาก ขณะพี่ ๆ เรียนหน่วยกิตละ 35 บาท

เราไม่เคยคิดว่าตัวเองมีฐานะ แม้ว่าพ่อแม่ส่งเรียนได้ แต่จิตใต้สำนึกที่เห็นพ่อแม่ลำบากมาตลอด ทำให้เราคิดเองว่าต้องช่วยแบ่งเบาภาระ ระหว่างเรียนคณะนิเทศศาสตร์จึงรับจ้างสอนพิเศษภาษาอังกฤษ ทำตั้งแต่ชั่วโมงละ 70 บาท เป็นชั่วโมงละ 100 – 200 บาท จนถึงชั่วโมงละ 500 บาท

เจอพิษเศรษฐกิจ วิกฤติเงินเฟ้อ

ประมาณปี 2525 ธุรกิจโรงสีของพ่อเจอวิกฤติเศรษฐกิจ ถูกโกง โดนฟ้อง เป็นช่วงที่ครอบครัวทุกข์ใจมาก เราช่วยกันหาทางออก พยายามติดต่อขอเจรจากับแบงก์จนเขาเมตตาพาให้เรารอดมาได้ เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยก็มาช่วยงานที่โรงสีของพ่อได้สองปีก็เปลี่ยนไปรับราชการ เป็นประชาสัมพันธ์ของการประปาส่วนภูมิภาค เงินเดือน 4,200 บาท เพราะอยากทำงานตรงสาย และสามารถใช้สิทธิ์รักษาคุณพ่อที่เริ่มป่วยเป็นโรคไต

หน่วยงานนี้สอนอะไรหลาย ๆ อย่าง ให้แนวคิดในการทำงาน และเพื่อนร่วมงานก็ดี แต่ทำได้ 7 ปีก็ลาออก เหตุผลหนึ่งคือ น้องสาวคนรอง (คุณหน่อย – ปวีณา เต็มวานิช) ซึ่งดูแลธุรกิจที่บ้านเป็นหลักต้องการให้เรากลับไปช่วย

ธุรกิจโรงสีถูกกำหนดราคาด้วยตลาด บางครั้งก็ได้กำไร บางครั้งก็ขาดทุน จึงเริ่มหันมาขายวัสดุก่อสร้าง เริ่มทำกันแบบเล็ก ๆ ซื้อมาขายไป หาลูกค้าเอง หาวัตถุดิบเอง ธุรกิจก็ค่อย ๆ เดินไปได้ จนที่สุดเราปิดโรงสีหันมาค้าวัสดุก่อสร้างเต็มตัว

เจ้าของธุรกิจ

มดง่าม ผู้สร้างรังขนาดใหญ่

แม้ว่าการขายเหล็กขายปูนเป็นคนละสายงานที่เราเรียนมา แต่เราคิดว่าต้องไม่จำกัดขีดความสามารถของตัวเอง เราทำงานเหมือนมดง่าม เป็นตัวแทนขายให้เกือบทุกแบรนด์ เน้นขายปลีกให้ชาวบ้านและโครงการเล็ก ๆ ธุรกิจก็ค่อย ๆ เติบโต ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนหลักล้านจนเริ่มอยู่ตัว

กระทั่งราวปี 2539 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ร้านเราเน้นซื้อเงินสด ไม่ปล่อยเครดิตก้อนใหญ่  จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่บริษัทคู่ค้าของเราซึ่งเป็นดีลเลอร์สินค้าของบริษัทเอสซีจีได้ผลกระทบอย่างหนัก เราจึงมีโอกาสทำเรื่องขอเข้าเป็นดีลเลอร์เอสซีจีแทน การเป็นดีลเลอร์ของแบรนด์นี้ยากมาก ที่ผ่านมาเราพยายามทำเรื่องมาตลอด แต่โลเกชั่นไม่ผ่าน เพราะแถวนั้นยังไม่มีหมู่บ้าน มีแต่ทุ่งนา

ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่าขายของเอสซีจีไม่โง่ก็บ้า เพราะราคาสูงกว่าแบรนด์อื่น ๆ หน่วยละหลายสิบบาท แต่เรามุ่งมั่นมากเพราะมองเห็นข้อดีหลายอย่าง กระทั่งปี 2542 เราได้รับพิจารณาให้เป็นเอเย่นต์ทดลอง 6 เดือน ดีใจมาก แต่นอนไม่หลับเลย เพราะยังไม่รู้เลยว่าจะต้องไปขายใคร แต่ก็ใจสู้ ลุยหาลูกค้า สร้างคอนเน็กชั่น เพื่อพิสูจน์จนเอสซีจียอมรับภายใน 3 เดือนเท่านั้น

จากนั้นธุรกิจเติบโตอย่างมาก ได้รับรางวัล Top Rank ติดต่อกันหลายปี และมียอดขายถึง 800 ล้านบาท

วันที่สูญเสีย สิ้นพลัง

หลังคุณพ่อเสียได้เพียงสามปี เกิดเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องแยกจากครอบครัว ปี 2547 เราและน้องสาวออกมาพร้อมทรัพย์สินส่วนหนึ่งมาเช่าพื้นที่ย่านคลองสาม อำเภอคลองหลวง ปุทมธานี ขนาดเพียง 160 ตารางเมตร เปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง เราเริ่มต้นใหม่ ในนามบริษัทเพื่อนบ้านเพื่อนคุณ 2004 จำกัด

กล้าพูดเลยว่า ตอนนั้นเป็นช่วงที่สาหัสที่สุดในชีวิต ร้องไห้ทุกวัน เพราะเสียใจและรู้สึกโดดเดี่ยว เข้าใจเลยว่ากินน้ำตาต่างข้าวเป็นอย่างไร เป็นทุกข์ทุกวัน น้ำหนักลงกว่า 10 กิโล จนไม่กล้ามองกระจก แม้จะยิ้มกับลูกค้า แต่ตาเราเศร้าหมอง อยู่ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดมาก ประมาทกับชีวิตไม่ได้ เพราะถึงแม้เราเครดิตดี แต่เงินทุนที่ติดตัวมาถือว่าน้อยมากสำหรับธุรกิจนี้

ใจเราร้องไห้ แต่ต้องพยายามอดทนอดกลั้นเพื่อให้ผ่านวิกฤตินี้ กลัวมากว่าธุรกิจจะไปไม่รอด เพราะจากที่เคยขายได้วันละหลายล้าน เหลือเพียงวันละพันกว่าบาทเท่านั้น ไม่มีโกดังมิดชิด ของเสียหาย แต่เราพูดไม่ได้ เพราะกลัวว่าน้องสาวจะเสียกำลังใจ ลูกน้องหลายคนที่ตามเราออกมาก็ให้เขาลำบากไม่ได้

ลูกน้องเคยมาบอกว่า “เจ๊ พวกเราไม่รับเงินเดือนอยู่อย่างนี้ไปก่อน เจ๊มีแล้วค่อยให้” เราบอกเลยว่า “ไม่ได้ แค่พวกเธอตามมาเสี่ยงด้วยกันก็ดีแล้ว ไม่เป็นไร ทุกคนต้องมีเงินเดือน” เราก็พยายามหาเงินมาจ่ายเงินลูกน้องครบทุกเดือน และยังอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้

ปาดน้ำตา แล้วเริ่มใหม่

ชีวิตที่ต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่เสียใจเท่ากับเราต้องสูญเสียครอบครัว ตลอดสามสี่เดือน เราร้องไห้ทุกวัน กระทั่งวันหนึ่งระหว่างขับรถกลับบ้านก็ร้องไห้ตลอด จู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า “ถ้าเรามัวแต่ร้องไห้อย่างนี้ทุกวัน มัวแต่ท้อแท้อย่างนี้ทุกวัน เราจะไปสู้อะไรใครได้” เมื่อคิดอย่างนี้เราปาดน้ำตาทิ้งแล้วฮึดสู้ทันที บอกตัวเองว่า ฉันจะร้องไห้วันนี้เป็นวันสุดท้าย ฉันจะต้องเลิกคิด เลิกเสียใจ ไม่โหยหาครอบครัว ต้องจบทุกสิ่งทุกอย่าง

พอฮึดสู้ก็ลุยเดินหน้า ติดต่อเพื่อน ลุยหาคอนเน็กชั่นหาลูกค้า เราผนึกกำลังกับน้องสาวว่าเราต้องสู้ ต้องไม่ทะเลาะกัน สามีของเราทั้งสองคนก็ช่วยเหลือสนับสนุนร่วมสู้มาตลอด ไม่เคยทอดทิ้ง จนได้เป็นตัวแทนของเอสซีจีเหมือนเดิม จากที่คิดว่าต้องใช้เวลา 3 ปีกว่าจะฟื้น ปรากฏว่าเราสามารถฟื้นตัวได้ภายใน 6 เดือนเท่านั้น ทำยอดขายได้วันละ 5 แสนบาท

เราเคยรู้สึกเหมือนคนโดนผลักมาจากตึก 10 ชั้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันมีเบาะที่แสนนุ่มรองอยู่ นั่นคือสิ่งที่เราสะสมมาตลอด ทั้งเพื่อน ทั้งคู่ค้าทั้งหมด และสามี คือบุคคลสำคัญที่ทำให้เรามีกำลังใจ ถ้าเราไม่ปาดน้ำตาทิ้งในวันนั้น วันนี้เราก็คงยังอ่อนแออยู่

เจ้าของธุรกิจ

สร้างอาณาจักร ตลาดแห่งโอกาส

เมื่อธุรกิจดีขึ้น เราค่อย ๆ ขยายพื้นที่เช่าจากพื้นที่ 160 ตารางเมตรเพิ่มเป็น 2 ไร่ ในสัญญาเช่ามีระยะเวลา 2 ปี โดยมีข้อกำหนดว่า หากสร้างเป็นตัวอาคารจะตกเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดิน เราจึงต้องทำเป็นแค่โครงเหล็กหลังคาสังกะสี แต่แข็งแรงมาก ฝ่าพายุมาได้หลายครั้ง ต่อมาเจ้าของที่ดินขายที่ให้ เราซื้อที่ดินแปลงแรก 3 ไร่ ต่อมาก็ค่อย ๆ ซื้อทีละแปลง กระทั่งตอนนี้มีพื้นที่ยี่สิบกว่าไร่ยาวต่อเนื่องกัน

เมื่อเรามีพื้นที่มากขึ้นก็เรียงสินค้าเต็มหน้าร้านไปหมด กระทั่งมีคนมาติดต่อขอขายบะหมี่รถเข็นหลังปิดร้าน จึงเกิดแรงบันดาลใจว่า เราใช้พื้นที่ราคาแพงมาทำมาหากินคนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งให้คนอื่นด้วย จึงเกิดไอเดียว่าน่าจะทำเป็นตลาดอาหารโต้รุ่ง จากร้านบะหมี่ 1 ร้านก็มีคนมาขอเช่าด้วยเป็น 2 ร้าน 3 ร้าน จนตอนนี้มีร้านเล็ก ๆ มาเปิดร้านกันเต็มพื้นที่ประมาณสามสิบกว่าร้าน เมื่อตลาดคึกคัก โลตัส เซเว่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟต่าง ๆ ก็มาขอเช่าด้วย

เราไม่หวงพื้นที่ ไม่คิดว่าร้านเขาเกะกะ คิดเสมอว่าเราเป็นร้านวัสดุเก่าแก่ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่อย่างไรลูกค้าก็ต้องมาใช้บริการ เราอัธยาศัยดี มีสินค้าครบ เน้นที่คุณภาพ ราคาไม่แพงและบริการส่งเร็ว จึงเป็นปัจจัยทำให้เรามีลูกค้าประจำวันมากขึ้น

แต่การที่ร้านได้เอื้อเฟื้อให้ชุมชนมีที่ทำกินทำให้เรารู้สึกภูมิใจมาก เพราะเมื่อก่อนพ่อค้าแม่ค้าที่ขายอาหารแถว ๆ นี้เป็นหนี้นอกระบบกันเกือบทั้งหมด บางรายเป็นหนี้ 70,000 บาท แต่พอมาขายที่นี่ ขายดี มีกำไรมากขึ้น สามารถปลดหนี้นอกระบบได้หมดภายในปีเดียว เพราะเราเก็บค่าเช่าถูกมาก วันละ 70 – 100 กว่าบาทเท่านั้น บางคนไม่มีจริง ๆ เราก็บอกว่าเอาไว้ก่อน ลองขายดูก่อนนะ แต่พวกเขาน่ารักมาก มาจ่ายกันทุกคน

อริยทรัพย์ที่แท้จริง

จากวันที่ปาดน้ำตา จนถึงตอนนี้ 13 ปีแล้ว นอกจากธุรกิจร้านวัสดุก่อสร้างและที่ดินส่วนนี้ เราหันไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ย่านสีลม ทองหล่อ สาทร และในจังหวัดเชียงใหม่ จากที่ไม่มีอะไรก็เก็บเล็กผสมน้อยจนมีสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าหลายร้อยล้านบาท

ทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราประสบความสำเร็จ ธุรกิจยังต้องดำเนินต่อไปด้วยความระมัดระวัง เราไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐศรี เป็นแค่ประชาชนเดินดินธรรมดา ไม่มีรถเบนซ์ เอส-คลาส ขับรถธรรมดา เราจำคำที่แม่สามีสอนเสมอว่า “ลูกเอ๊ย ถ้าลูกอยู่อย่างคนจน ลูกจะรวย แต่ถ้าลูกอยู่อย่างคนรวย ลูกจะจน”

เราขออยู่อย่างคนชั้นกลาง ไม่เคยคิดว่าตัวเองรวย ไม่ว่าจะมีเงินกี่ร้อยล้าน การคิดว่าตัวเองรวยอาจทำให้เราผยองไม่เห็นคนอื่น ทุกวันนี้เราแค่อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนใคร ช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมเท่าที่ทำได้ ไม่ทำบุญงมงาย ไม่คิดว่าทำมากได้มาก เราทำบุญอย่างมีสติ เป็นผู้ให้ที่ทำให้ผู้รับมีความสุข

แต่เมื่อมีทรัพย์พอที่ตนไม่เดือดร้อนแล้ว ก็หันกลับมามองตัวเองว่าจะอยู่อย่างนี้อีกกี่ปี จึงเริ่มหันมาปฏิบัติธรรมเพื่อสะสมอริยทรัพย์ เพราะตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ มีที่ทางเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งที่ติดตัวไปคือบุญและกรรม จึงหันมาให้เวลากับใจตัวเอง ให้รู้สึกสบาย ผ่องใส เราปฏิญาณกับตนเองว่าจะปฏิบัติธรรมทุกเดือน เดือนละ 1 สัปดาห์ และพยายามใช้ชีวิตบนพื้นฐานคิดดี พูดดี ทำดี

เราต้องเริ่มสะสมอริยทรัพย์ในขณะที่เรายังแข็งแรง ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย ตั้งเป้าว่าเราจะต้องเป็นคนแก่ที่มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ

ครองธรรมนำชีวิต

จริง ๆ สนใจธรรมะตั้งแต่สมัยสาว ๆ แต่ไม่จริงจัง พออายุ 40 ปีจึงเริ่มหันมาฝึกตนเองมากขึ้น ธรรมะเปลี่ยนแปลงตัวเราได้อย่างชัดเจน สมัยก่อนเป็นคนใจร้อนพูดจาไม่ถนอมน้ำใจคน ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ ไม่มีเทา เป็นคนเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ซึ่งเป็นคนละขั้วกับตอนนี้เลย

ถึงตอนนี้อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว คิดถึงคำสอนของพระอาจารย์ที่นับถือเสมอ หลายเรื่องนำมาปรับใช้กับตัวเอง เช่น ใครคิดไม่ดีกับเราหรือทำร้ายเรา นั่นเป็นกรรมของเขา ถ้าเราเฉย ๆ ไม่ตอบโต้ เราก็ไม่สร้างกรรมต่อ แต่เมื่อไรที่ไปว่าเขา ไปร้ายกับเขา นั่นเป็นกรรมของเรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่สร้างกรรม จะอยู่อย่างมีความสุข นอกจากคิดดี ทำดี พูดดีแล้ว ความอดกลั้นสำคัญมาก เครื่องมือเผากิเลสนี้ได้คือ ขันติ หลักธรรมที่นำมาใช้ในชีวิตมากที่สุดคือ เรื่องศีล 5 พระอาจารย์สอนว่า “อย่าไปถือศีล มันหนัก แต่ถ้าเรารักษามันไว้ในใจ มันจะอยู่กับเรา”

สิ่งที่พยายามสะสมทุกวันนี้ไม่ได้มีเป้าหมายถึงนิพพาน ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องใช้เวลาแสนกัปแสนกัลป์ ดารินทร์ตอนนี้เหมือนเอาดินสอไปจุดในกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ เป็นแค่จุดเล็ก ๆ เท่านั้น แต่จะทำไปเรื่อย ๆ พิจารณามรณสติทุกวัน ก่อนนอนกำหนดลมหายใจเข้าออก นึกถึงพระพุทธองค์แล้วก็หลับไป เราจะถึงหรือไม่ถึงไม่รู้ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะต้องเกิดอีกกี่ชาติก็ต้องเกิด

เชื่อมั่นมาตลอดว่า ถ้าเราทำดี ปฏิบัติธรรม อยู่ในกรอบของศีล 5 ใต้พระบวรพุทธศาสนา ชีวิตเราต้องได้ดี พบเจอแต่สิ่งที่ดี ได้อยู่อย่างสุขสงบและสง่างาม

 

ที่มา : นิตยสาร Secret  ฉบับที่ 230

เรื่อง : อุราณี ทับทอง   ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี

Secret Magazine (Thailand)

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.