วิญญาณทหารกล้า…จะปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทยตลอดไป
รักชาติยิ่งชีพ เป็นคำขวัญที่อยู่ในใจทหารทุกนายยามปฏิบัติหน้าที่ทหาร บางนายแม้จะสิ้นชีพไปแล้ว แต่ วิญญาณทหารกล้า ก็ยังคงยึดมั่นในคำขวัญนี้และปฏิบัติภารกิจในค่ายทหารต่อไป
ผมเป็นทหารเสนารักษ์ทหารอากาศ กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี หลังกลับจากปฏิบัติภารกิจเพื่อมนุษยธรรมไทย – อิรัก เมื่อปี 2547 ผมได้สมัครไปปฏิบัติภารกิจที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก่อนเดินทางเพียงหนึ่งสัปดาห์ มีผู้ใหญ่โทร.มาแจ้งว่า “ขอเปลี่ยนตัวนะ เพราะเธอได้ พ.ส.ร. (เงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ) จากประเทศอิรักแล้ว”
ถึงผมจะไม่พอใจ แต่ก็พอเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้ในวงการทหารมักเกิดขึ้นได้เสมอ พอดีกับที่ผมสอบเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้ ก็เลยตัดสินใจเรียนแบบไม่ลังเลระหว่างเรียนผมมีโอกาสได้ฝึกนั่งสมาธิที่วัดหนองป่าพง สายหลวงปู่ชาอยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็เรียนจบเป็นคนแรกของรุ่น ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คืนหนึ่งผมฝันเห็นหลวงปู่ทวดมาบอกกับผมว่า “มนุษย์มีโอกาสเลือกได้เพียงครั้งเดียว” แล้วก็หายวับไป
เมื่อมาถึงที่ทำงาน ผมเห็นประกาศจากกรมแพทย์ทหารอากาศรับสมัครเสนารักษ์ไปจังหวัดปัตตานี 1 อัตรา โดยกรมแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาคัดเลือก ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสือเรื่อง จากนักวิทย์…สู่ชีวิตทหารรับจ้าง บวกกับผมยังโสด จึงตัดสินใจสมัคร และภาวนาถึงหลวงปู่ทวดว่า “หากได้รับการคัดเลือกจะหาโอกาสไปกราบท่านที่วัดช้างให้ให้ได้”
แทบไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นเพียง 4 วัน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาบอกผมว่า “เธอได้รับคัดเลือกให้ลงใต้” 1 ตุลาคม 2555 ผมเดินทางถึงสนามบินบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี แต่ก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ผมเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งวางขายอยู่ในร้านหนังสือ หน้าปกเป็นรูปทหารเดินถือปืนอยู่ในค่าย และมีข้อความว่า “จ่าสมหมาย ทหารกล้าที่ตายในหน้าที่ช่วงสงครามโลก แต่ด้วยความที่จ่าเป็นคนรักชาติ จึงยังคงมีคนเห็นวิญญาณของจ่าวนเวียนอยู่ในค่ายทหารแห่งนี้ไม่ไปเกิดเสียที” ผมซื้อสมุดเล่มนั้นติดตัวขึ้นเครื่องมาด้วยก่อนจะเข้าประจำการในกองกำลังทางอากาศเฉพาะกิจที่ 9 ซึ่งตั้งอยู่ในสนามบินนั่นเอง
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางผมจึงขึ้นไปนอนข้างบน ส่วนพี่เสนารักษ์อีกคนขอนอนดูทีวีอยู่ข้างล่าง พอสวดมนต์ไหว้พระเสร็จผมก็หลับเป็นตาย สักพักผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียงและจ้องเขม็งมาที่ผม รูปร่างเขาสูงใหญ่ กล้ามเป็นมัด ๆ ไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงนักมวย ความมืดทำให้ผมเห็นหน้าเขาไม่ค่อยชัด ผมจะลุกขึ้นมาคุยด้วย เพราะเข้าใจว่าเป็นคนในค่าย แต่กลับขยับตัวไม่ได้ ก็เลยรู้ว่าเขาคงไม่ใช่คนแน่ ๆ!
ผมพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีแล้วใช้เท้ายันเต็มแรง แล้วก็สะดุ้งตื่นทั้งที่เท้ายังค้างอยู่ในท่ายัน แถมยังเกือบตกเตียงอีกด้วย ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมเห็นในคืนนั้นคืออะไร จะว่าฝันก็ไม่เชิง เหมือนกึ่งฝันกึ่งสะลึมสะลือมากกว่า คืนต่อมาผมก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงเหมือนมีใครอีกคนอยู่ในห้อง
พอลืมตาขึ้นดูก็เห็นคนกำลังนั่งแกว่งเท้าอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม ผมตกใจขนลุกไปทั้งตัวคว้าผ้าห่มมาคลุมโปง นอนงอเข่ากอดหมอนข้างตัวสั่น พอรุ่งเช้าผมถามพี่เสนารักษ์ที่นอนชั้นล่างว่า “เมื่อคืนพี่ขึ้นไปข้างบนหรือเปล่า” เขาตอบว่าเปล่า ผมจึงตัดสินใจเล่าสิ่งที่ผมเห็นให้พี่แกฟัง และได้คำแนะนำว่า “นายลองทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาดูสิ เผื่อว่าเขาจะมาขอส่วนบุญ” ผมจึงตั้งใจว่า ถ้าถึงช่วงผลัดเวรจะไปทำบุญ
หลังจากคืนนั้นผมยังคงเจอเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ บางคืนได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ในห้อง บางคืนเห็นคนยืนกอดอกพิงประตูห้องนอน จากคนที่ไม่เคยกลัวผี พอเจอบ่อย ๆ เข้าก็เริ่มกลัว ผมมารู้ทีหลังจากรุ่นพี่คนหนึ่งว่า “เมื่อปี 2552 ตึกนี้เคยเป็นตึกบัญชาการมาก่อน แล้วก็เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์บินไปชนภูเขา คนบน ฮ.ตายหมดทั้งลำ รวมทั้งนายทหารผู้ใหญ่กับช่างเครื่องเฮลิคอปเตอร์ที่เคยอยู่ตึกนี้ด้วย ผมถามพี่เขาว่า “คนที่ตายมีใครรูปร่างสูงใหญ่ หุ่นล่ำ ๆ ผิวคล้ำ ๆ บ้างไหมครับ” และคำตอบที่ได้คือ…“คนนั้นเป็นทหารเสนาธิการ รูปร่างแบบนั้นมีคนเดียว” ผมโทร.ไปคุยเรื่องนี้กับรุ่นพี่ผลัดที่แล้ว
พี่เขาเล่าว่า ทหารที่มาพักตึกนี้เคยเจอเสธ. คนนี้กันแทบทุกคน ตอนมีชีวิตอยู่เขามีตำแหน่งเป็นเสนาธิการกองกำลัง แต่ถึงจะตายไปแล้วก็ยังวนเวียนอยู่ในบ้านหลังนี้ ได้ยินอย่างนั้นผมก็ได้แต่นึกถึงสมุดบันทึกที่ผมเพิ่งซื้อก่อนขึ้นเครื่อง ปกของสมุดเล่มนั้นพูดถึงวิญญาณทหารกล้าที่ยังปกปักรักษาค่ายแม้ว่าตัวจะสิ้นลมหายใจไปแล้ว
เรื่องราวในสมุดบันทึกกับเรื่องที่ผมเจอกับตัวมันช่างบังเอิญเหมือนกันจริง ๆ “จุดธูป 16 ดอก ไหว้บอกวิญญาณท่านที่ด้านนอกตึกนะ แล้วไปไหว้พระที่หอพระและศาลพระภูมิเจ้าที่ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” หลายคนแนะนำผมให้ทำอย่างนี้ ผมเองก็นึกอาย ๆ ที่จะต้องไปจุดธูปไหว้เจ้าที่ข้างนอก จึงจุดธูปไหว้เจ้าที่และปักธูปในห้องนอนเลยทีเดียว ผมรอจนธูปดับจึงเข้านอน ทั้งที่กลิ่นควันธูปกระจายไปทั่ว แต่คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมนอนหลับสนิท
หลังจากหลับ ๆ ตื่น ๆ มาหลายคืน รุ่งเช้าน้องพล พยาบาลซึ่งท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืน รีบมาบอกกับผมว่า “เมื่อคืนมีใครไม่รู้มานั่งทับขาผม ตัวดำ ๆ ใหญ่ ๆ ผมขยับขาไม่ได้เลย สงสัยวิญญาณเสธ. แกจะลงจากข้างบนมาอยู่ข้างล่างแทนละมั้งครับ” เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ ด้วยความที่ผมเรียนจบมาทางสายวิทยาศาสตร์ จึงอยากพิสูจน์ว่าวิญญาณมีจริงหรือเปล่า
พอตกกลางคืนผมก็บันทึกวิดีโอจากด้านนอกเข้าไปในอาคารจนทั่วตึก เผื่อว่าจะถ่ายติดวิญญาณ พอถ่ายเสร็จทุกคนก็ต่างดูวิดีโอและพยายามมองหาสิ่งที่ไม่มีอยู่ในอาคารนี้ แต่ก็ไม่เจออะไร พอเล่นคลิปวิดีโอจบเท่านั้นแหละ ไฟฟ้าก็ดับพรึ่บลงทันที “พี่ ๆ ทำไมอาคารข้าง ๆ ไฟไม่ดับล่ะครับ” ผมหันไปมองก็เห็นจริงอย่างนั้น หัวหน้าของผมที่เพิ่งจะมาถึงค่ายได้วันเดียว รีบยกมือขึ้นไหว้และกล่าวขอขมาดวงวิญญาณในค่าย พอพูดจบเท่านั้น ไฟก็ติดขึ้นมาทันที แต่ละคนหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก พลพยาบาลกล่าวโทษผมว่าไม่น่าทำอะไรที่อาจจะเป็นการลบหลู่ดวงวิญญาณทหารกล้าที่ยังวนเวียนอยู่ในค่าย
คืนนั้นผมและหัวหน้าจึงพร้อมใจกันสวดมนต์เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณทหารหาญที่เสียชีวิต ณ ที่แห่งนี้ ผมกลับมาทำบุญพระเวสที่วัดในจังหวัดศรีสะเกษ และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณเหล่านั้น ในยามปฏิบัติหน้าที่ ทหารทุกนายมีหัวใจรักชาติเป็นที่ตั้ง แม้ว่าจะสิ้นลมหายใจไปแล้วก็ยังผูกพันกับภารกิจหน้าที่ ผมเข้าใจว่าวิญญาณเสธ.ในค่ายทหารจังหวัดปัตตานีก็คงจะมาปรากฏตัวเพื่อปกป้องคุ้มครองพวกเราดังคำกล่าวที่ว่า “วิญญาณทหารจะปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทย…ตลอดไป”
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง พ.อ.อ.จักราพิชญ์ อัตโน เสนารักษ์กองกำลังทางอากาศเฉพาะกิจที่ 9
บทความน่าสนใจ
Dhamma Daily : โศกเศร้ากับผู้ที่เสียชีวิต ทำให้วิญญาณไม่ไปสู่สุคติจริงหรือไม่