ความสุขอันสูงสุด ของคุณหมอวัยเกษียณ แพทย์หญิงศิวาพร จันทร์กระจ่าง
“ทำไมเธอดูมีความสุขจัง ไม่กลัวชีวิตหลังเกษียณเหมือนคนอื่นเขาบ้างหรือ”
นี่คือคำถามที่เพื่อน ๆ มักถามฉันเสมอ แต่ฉันมักตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า
“จะไปกลัวทำไม ดีเสียอีก เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ฉันจะได้ศึกษาพระธรรมอย่างจริงจังเสียที…”
ฉันชื่อ แพทย์หญิงศิวาพร จันทร์กระจ่าง เหตุผลที่ทำให้ใครต่อใครมักถามคำถามนี้กับฉัน ก็เพราะในอดีตฉันเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางวิชาการมาแล้วมากมาย ทั้งเคยเป็น นายกสมาคมแพทย์ระบบประสาทแห่งประเทศไทย เคยดำรงตำแหน่งรองคณบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยเป็น อาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์เกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง ซึ่งแน่นอนว่า ฉันยังเคยเป็น ประสาทศัลยแพทย์ หรือ หมอผ่าสมอง ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ จะมองว่าผู้หญิงที่เคยทำงานหามรุ่งหามค่ำมาตลอดทั้งชีวิตอย่างฉัน จะสามารถใช้ชีวิตวัยเกษียณโดยปราศจากงานได้อย่างสงบ
ในความเป็นจริง ชีวิตวัยเกษียณของฉันแสนจะราบเรียบและมีความสุขมาก ทุกสิ่งที่เคยวุ่นวายกลับตาลปัตรเปลี่ยนไปหมด จากที่เคยตื่นเช้ามาต้องวางแผนการทำงานที่เยอะแยะยุ่งเหยิง ก็เปลี่ยนเป็นตื่นอย่างมีสติไหว้พระ สวดมนต์ แล้วต่อด้วยการนั่งสมาธิที่ริมสระว่ายน้ำ โดยฉันจะนั่งหย่อนขาและลำตัวช่วงล่างลงไปในน้ำ แล้วตามดูตามรับรู้ความเย็นของน้ำที่มากระทบกับผิวหนัง เมื่อเกิดสมาธิ จิตใจของฉันจะไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น มีเพียงกายเท่านั้นที่ยังรับรู้ถึงสัมผัสของน้ำ ซึ่งทุกครั้งที่ได้ทำสมาธิเช่นนี้ ฉันจะรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเสมอ
ต่อจากนั้นฉันก็จะทำกิจกรรมที่ชอบไม่ว่าจะปลูกต้นไม้ สอนหนังสือ เป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านสมองแก่หน่วยงานต่าง ๆ แถมยังมีเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศจนครบหมดทุกทวีปที่อยากไปแล้ว และยังได้เปิดคลินิกรักษาผู้มีอาการทางสมองในราคาไม่แพงสมใจอีกด้วยแน่นอนว่า เวลาส่วนใหญ่นั้นฉันใช้ไปกับการฝึกวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจัง
แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนนักวิชาการหลายคนกลับมองว่า ฉันใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างน่าเสียดาย แทนที่จะกลับมาเป็นอาจารย์พิเศษถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับนักศึกษาแพทย์อย่างเต็มที่เหมือนเขา แต่ฉันกลับเอาเวลาไปมุ่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแทนซึ่งพวกเขามองว่า ไม่เห็นจำเป็นจะต้องฝึกจริงจังขนาดนั้น ในเมื่องานที่ทำก็เหมือนได้ทำสมาธิอยู่แล้ว ซึ่งฉันตอบว่า “การทำงานเปรียบเสมือนได้ฝึกสมาธิก็จริง แต่ก็เป็นเพียงสมาธิในการทำงานเท่านั้น ต่างจากการฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่เป็นสมาธิเพื่อการอยู่รอด เป็นโลกุตรธรรมซึ่งจะส่งผลให้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีก”
โชคดีที่เพื่อนเข้าใจ อาจเพราะสอดคล้องกับงานวิจัยล่าสุดที่ว่า สมาธิเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ การฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยซ่อมแซมการทำงานของสมองส่วนต่าง ๆ ให้เชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้สมองทำงานได้อย่างรวดเร็วขึ้นอีกด้วย
ทุกวันนี้สิ่งที่ทำให้ฉันภาคภูมิใจไม่ใช่ลาภยศสรรเสริญที่เคยได้รับ แต่เป็นความรู้สึกสุขใจที่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 157
เรื่อง : แพทย์หญิงศิวาพร จันทร์กระจ่าง
เรียบเรียง : ชลธิชา แสงใสแก้ว
ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร
บทความที่น่าสนใจ
อยู่กับปัจจุบันทำทุกวันให้มีความสุข | พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร
“ถอยไปข้างหน้า” เคล็ดลับความสำเร็จของ โฮเวิร์ด ชูลท์ซ แห่งสตาร์บัคส์
เชื่อไหมว่า! ความสุขนั้นหาง่าย…แค่ปลายจมูก
เรียนรู้วิธีรัก ความสันโดษ มีความสุขกับอิสระและการเป็นตัวเอง