ธรรมนูญชีวิตของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
เมื่อเอ่ยนาม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) หรือที่รู้จักกันในนามปากกา “ป.อ. ปยุตฺโต” คำจำกัดความที่ถูกหยิบยกมาอธิบายนั้นคงหลากหลายกันไป ไม่ว่าจะเป็น…
- พระสงฆ์ผู้สามารถสอบได้นักธรรมเอกและเปรียญธรรม 9 ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร
- พระนักวิชาการ นักคิด นักเขียนงานทางวิชาการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก รวมถึงงานชิ้นโบแดงที่ได้รับการยอมรับว่าทรงคุณค่ายิ่งอย่าง“พุทธธรรม” และ “ธรรมนูญชีวิต” จากผลงานจำนวนกว่า 100 เล่ม
- เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
- ศาสตราจารย์พิเศษ ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
- คนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพจากองค์การยูเนสโก(UNESCO Prize for Peace Education) ฯลฯ
ด้วยข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งจากทั้งหมดก็คงเพียงพอและไม่ถือเป็นการเกินเลยเมื่อสื่อหลายแขนงได้ให้คำจำกัดความที่สามารถสรุปความเป็นตัวท่านได้อย่างตรงจุดและครอบคลุมว่า “ปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา” ผู้ซึ่งมีวิถีแห่งปราชญ์ที่น่าทึ่งและควรค่าแก่การเคารพยกย่อง…นับตั้งแต่จุดกำเนิดเมื่อกว่า 7 ทศวรรษก่อนหน้านี้
Secret ขอนำแนวคิดและแนวทางคำสอนของท่านเกี่ยวกับเรื่องราวร่วมสมัยที่น่าสนใจมาสรุปสั้น ๆ และเรียบเรียงเพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้
ชีวิตและการทำงาน
งานนั้นไม่ใช่เป็นตัวเรา และก็ไม่ใช่เป็นของเราจริง แต่งานถือเป็นกิจกรรมของชีวิต เป็นกิจกรรมของสังคม เป็นสิ่งที่ชีวิตของเราเข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้อง แล้วก็ต้องผ่านกันไปในที่สุด งานนั้นเราไม่สามารถทำให้สมบูรณ์ได้แท้จริง เพราะล้วนขึ้นกับสิ่งอื่น เช่น ปัจจัยแวดล้อม กาลเทศะความเปลี่ยนแปลงของสังคม และเป็นสิ่งที่คนอื่นจะต้องมารับช่วงทำกันต่อไป ต่างกับชีวิตของเราแต่ละคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยการปฏิบัติงานอย่างถูกต้องเมื่อเราปฏิบัติต่องานหรือทำงานอย่างถูกต้องมีทีท่าของจิตใจต่องานถูกต้องแล้ว ชีวิตจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ในตัวในแต่ละขณะภาวะที่ชีวิต งาน และธรรม ประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แยกได้เป็น 2 ระดับ คือ
ระดับที่หนึ่ง การทำงานที่ชีวิตจิตใจกลมกลืนเข้าไปในงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พร้อมทั้งมีความสุขพร้อมอยู่ในตัว แต่กระนั้นลึกลงไปในจิตใจก็ยังมีความยึดติดถือมั่นในงานที่ทำ ถือเป็นการแฝงเอาเชื้อแห่งความทุกข์ซ่อนไว้ลึกภายใน
ส่วนในอีกระดับหนึ่ง ความประสานกลมกลืนของชีวิตจิตใจกับงานที่ทำ พร้อมไปด้วยความรู้เท่าทันตามความเป็นจริงในธรรมชาติของชีวิตและการงานที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยไม่ต้องอยาก ไม่ต้องยึดถือสำคัญมั่นหมายให้นอกเหนือหรือเกินไปจากการกระทำตามเหตุผลด้วยความตั้งใจและเพียรพยายามอย่างจริงจัง เรียกได้ว่าชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับงาน แต่เป็นอิสระอยู่เหนืองานนั่นเอง
เรียบเรียงจาก
งานเพื่อความสุขและแก่นสารของชีวิต, บริษัทสหธรรมิก จำกัด, พิมพ์ครั้งที่ 2 2537, หน้า 66 - 67 และ 68 - 69
คลิกเลข 2 ด้านล่างเพื่ออ่านหน้าถัดไป
การศึกษา
การพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นความหมายที่แท้ของการศาสนา…การศึกษานั้นเป็นทั้งตัวการพัฒนาและเป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนา คือเป็นการพัฒนาตัวบุคคลขึ้นไป โดยพัฒนาตัวคนทั้งคนหรือชีวิตทั้งชีวิต เมื่อผู้เรียนมีการศึกษาแล้วก็จะเอาคุณสมบัติที่ตัวมีซึ่งเกิดจากการศึกษาไปเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ
จุดมุ่งหมายของการศึกษาก็เพื่อพัฒนาครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน คือ
1. พัฒนากาย โดยนอกจากจะพัฒนาร่างกายให้มีสุขภาพดีแล้ว ในทางพุทธศาสนายังหมายรวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ดีงาม ด้วยการพัฒนากายที่เรียกว่า กายภาวนา
2. พัฒนาศีล หรือพัฒนาการทางสังคม ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ทางพระว่า ศีลภาวนา
3. พัฒนาจิต หรือจิตตภาวนาเพื่อให้พร้อมสมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ 3 ด้านคือ คุณภาพจิต สมรรถภาพจิต และสุขภาพจิต
4. พัฒนาปัญญา เรียกว่า ปัญญาภาวนา แบ่งได้เป็น
- ปัญญาขั้นแรก คือ ปัญญาที่เป็นความรู้ความเข้าใจในศิลปวิทยาการ
- ปัญญาขั้นสอง คือ การรับรู้เรียนรู้อย่างถูกต้อง
- ปัญญาขั้นสาม คือ การคิด การวินิจฉัยด้วยการใช้ปัญญาโดยบริสุทธิ์ใจ
- ปัญญาขั้นสี่ คือ ปัญญาที่รู้เข้าใจถึงสาระแห่งความเป็นไปของโลกและชีวิต
- ปัญญาขั้นห้า คือ ปัญญาที่รู้เท่าทันธรรมดาของสังขาร คือโลกและชีวิต
เรียบเรียงจาก
- การศึกษาที่สากลบนฐานแห่งภูมิปัญญาไทยโครงการตำราและเอกสารทางวิชาการคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2532, หน้า 70 - 71
- การศึกษา : เครื่องมือพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, พิมพ์ครั้งที่ 4 2536, หน้า 95 - 105
ความรัก
ความรักในความหมายที่แท้คือ การอยากเห็นเขาเป็นสุข เหมือนอย่างพ่อแม่รักลูก ก็คืออยากเห็นลูกเป็นสุข แต่ยังมีความรักอีกแบบหนึ่งคือ ความรักที่อยากได้เขามาทำให้ตัวเป็นสุข อย่างนี้ไม่ใช่รักจริงแต่เป็นความรักเทียม ซึ่งก็คือราคะ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งความรักได้ 2 ประเภท คือ
1. ความรักที่อยากได้เขามาทำให้ตัวเราเป็นสุข ความรักแบบนี้อาจจะทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ หรือต้องมีการแย่งชิงกัน
2. ความรักที่อยากเห็นเขามีความสุขพออยากเห็นคนที่เรารักเป็นสุขก็อยากทำให้เขาเป็นสุข พอทำให้เขาเป็นสุขได้เราก็เป็นสุขด้วย เหมือนพ่อแม่อยากเห็นลูกมีความสุขพอทำให้ลูกเป็นสุขได้ ตัวเองก็เป็นสุขด้วยจึงเป็นความรักที่พร้อมจะให้และสุขด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ความรักที่แท้จริงและควรน้อมนำเข้าสู่ชีวิตจึงเป็นความรักประเภทที่สอง ซึ่งมุ่งเน้นการให้ เป็นความรักที่พร้อมพรั่งด้วยหลักธรรมทั้ง 4 ประการ คือสัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ
เรียบเรียงจาก
- ความจริงเกี่ยวกับความรัก ความโกรธและความเมตตา เล่ม 2, สำนักพิมพ์สบายะ, พิมพ์ครั้งที่ 1 2549
- คู่มือชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ 14 พฤษภาคม 2550, หน้า 91
คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ประชาธิปไตย
หลักธรรมทุกอย่างในพระพุทธศาสนานั้นถือเป็นหลักประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นเรื่องของการพัฒนาคนให้มีคุณภาพและให้รู้จักปกครองตนเองได้ แต่จะต้องมองให้ถูกแง่และปฏิบัติตามให้ถูก หลักธรรมนั้นมีไว้ให้ทุกคนปฏิบัติ และจะต้องมองหลักธรรมโดยมีความรับผิดชอบของตนเอง ไม่ใช่เรียกร้องจากผู้อื่น ด้วยเหตุนี้หลักธรรมจึงทำให้เกิดประชาธิปไตยเช่น คาระ แปลว่า ความเคารพ หมายถึงการมองเห็นคุณค่าและความสำคัญของผู้อื่น รวมถึงความคิดของเขา อันเป็นหลักสำคัญของประชาธิปไตยนั่นเอง
การปกครองที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อเจ้าของอำนาจสูงสุดมีธรรมาธิปไตยฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดอยู่ในมือประชาชน ประชาชนจึงต้องมีความรับผิดชอบที่จะทำตนให้เป็นธรรมาธิปไตย คือถือธรรมเป็นใหญ่ โดยแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ ขั้นต้น ได้แก่หลักการ กฎเกณฑ์ กติกาต่าง ๆอันชอบธรรมที่ได้ตกลงกันไว้ และขั้นสูงขึ้นไป รวมถึงความจริงความถูกต้องดีงาม และประโยชน์สุขที่เหนือกว่าขั้นต้นขึ้นไปจนสุดขีดแห่งปัญญาจะมองเห็นได้
เมื่อประชาชนถือธรรมเป็นใหญ่ ใช้ปัญญา ไม่เอาแต่ใจหรือตามใจกิเลส ไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ก็จะส่งผลให้สามารถปกครองตนเองได้ และเมื่อบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชนหรือใช้อำนาจในนามประชาชน คือผู้แทนและนักการเมืองทั้งหลายเป็นธรรมาธิปไตยด้วยแล้วประชาธิปไตยก็จะสามารถไปได้ดี สังคมก็จะเป็นปกติสุข ไม่มีการเบียดเบียนข่มเหง เอารัดเอาเปรียบกัน
เรียบเรียงจาก
- พุทธศาสนากับสังคมไทย, มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2526, หน้า 10 - 11
- การสร้างสรรค์ประชาธิปไตย, ศาสตราจารย์มารุต บุนนาค ประธานรัฐสภา, พิมพ์ครั้งที่ 7 2537, หน้า 67 - 69 และ 114 - 115
ความสุข
ความสุขในทางพุทธศาสนาสามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 ความสุขจากการเสพวัตถุหรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา
ขั้นที่ 2 ความสุขขั้นนี้เกิดขึ้นได้เมื่อเจริญคุณธรรม เช่น มีเมตตากรุณามีศรัทธา
ขั้นที่ 3 ความสุขจากการดำเนินชีวิตได้ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมุติ
ขั้นที่ 4 ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง เช่น ปรุงแต่งความคิด ทำให้สร้างสิ่งประดิษฐ์ เกิดเป็นเทคโนโลยีต่าง ๆ
ขั้นที่ 5 ความสุขเหนือการปรุงแต่งคืออยู่ด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาที่เห็นแจ้ง ทำให้วางจิตวางใจ ลงตัวสนิทสบายกับทุกสิ่งทุกอย่างอย่างผู้เจนจบชีวิต
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนเราสามารถหาความสุขที่ประณีตกว่าการบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ท่านเรียกความสุขแบบนั้นว่าเป็นความสุขที่ประณีตขึ้น มีลักษณะสำคัญคือ เป็นอิสระ มนุษย์จะมีความสุขได้โดยลำพังในใจและไม่ต้องขึ้นกับวัตถุภายนอก หมายความว่า แม้วัตถุภายนอกไม่มีอยู่ เราก็มีความสุขได้ข้อสำคัญคือ มันเป็นความสุขพื้นฐานที่จะทำให้การแสวงหาหรือการเสพความสุขภายนอกเป็นไปอย่างพอดี อยู่ในขอบเขตที่สมดุล ทำให้มีความสุขแท้จริง และไม่เบียดเบียนกันทางสังคม
คนที่ทำให้จิตใจตัวเองมีความสุขได้ทั้งทางจิตและทางปัญญา จะมีความสงบในใจตนเองและมีความสุขได้อย่างที่เรียกว่ามีสมาธิ หรือมีความสุขจากการรู้เท่าทันและเข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลายเป็นความสุขทางปัญญาเนื่องจากเห็นแจ้งความจริง ถือเป็นความสุขภายในของบุคคล ถ้าคนเรามีความสุขแบบนี้เป็นรากฐานแล้ว การหาความสุขทางวัตถุมาบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะมีความรู้จักประมาณหรือมีขอบเขต
คนที่อยู่ในโลกด้วยความรู้ความเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง วางจิตลงตัวพอดี เรียกได้ว่าเป็นจิตอุเบกขาส่งผลให้มีความสุขอยู่ประจำตัวตลอดเวลาเป็นสุขที่เต็มอิ่มอยู่ข้างใน ไม่ต้องหาจากข้างนอก และเป็นผู้มีชีวิตที่พร้อมจะทำเพื่อผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องห่วงกังวลถึงความสุขของตนและไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป
เรียบเรียงจาก
- คู่มือชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ 14 พฤษภาคม 2550, หน้า 140 – 150
- ข้อคิดชีวิตทวนกระแส, ทุนส่งเสริมพุทธธรรม, พิมพ์ครั้งที่ 4 2536, หน้า 8 – 10
Secret Box
คนเราเรียนรู้ได้มากจากปัญหา ได้ศึกษาจากความทุกข์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
เรื่อง ภัทรภี พุทธวัณณ ภาพ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด