หนูแหม่มไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าความรักที่มีให้ครอบครัวแบบ “ล้นเกิน” ของตัวเองจะเป็นปัญหาของชีวิตคู่ถึงเพียงนี้
แม้จะรู้ดีว่าต้องถอยออกมาบ้างเพื่อให้สามีพอใจ แต่ในใจลึกๆแล้วยังมองว่าสิ่งที่บ๊อบบี้ทำเป็นเรื่องแย่ ถึงขนาดบางครั้งให้ช่างแต่งหน้าแต่งหน้าไป ตัวเองก็นั่งน้ำตาตกในอยู่คนเดียวเงียบๆ ในใจรู้สึกระทมขมขื่นว่า “แ_่ง…ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ จะอะไรกันนักกันหนากับการที่ฉันจะให้น้องนุ่งตัวเอง มันจะสิ้นเปลืองสักเท่าไรกันเชียว”
ยิ่งนานวันปัญหาก็เริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ บ๊อบบี้กับหนูแหม่มกำลังจะจูงมือกันไปหาจิตแพทย์อยู่แล้วเชียว เดชะบุญที่พบหนทางสว่างเสียก่อน ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ปัญหาชีวิตคู่ให้หนูแหม่มเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น “แกน” ให้ชีวิตมาจนทุกวันนี้
จำได้ว่าช่วงนั้นหนูแหม่มเจอมรสุมชีวิตหลายอย่างในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมทั้งการ “ฉะ” กับนักข่าวเพราะกางปีกปกป้องน้องรักที่ทำงานกันมาเกือบจะสิบปี จนกลายเป็นข่าวดังปลายปี 2548
วินาทีที่ความจริงปรากฏออกมาว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นความแจ๋แบบไร้สติ หนูแหม่มก็อยากจะหายตัวไปจากโลกนี้ ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจชนิดที่ว่า
“มันสุดๆ จริงๆ ขนาดรถบดถนนบดมดลูกยังเจ็บไม่เท่านี้เลย …มันโหดซะไม่มี”
ช่วงที่พยายามมีลูก ขนาดตอนแท้ง หนูแหม่มยังไม่ร้องไห้ขนาดนี้เลย วันนั้นหนูแหม่มร้องไห้เสียไม่มีดี ร้องแบบไม่มีน้ำตาจะร้อง หลายคนคงรู้ว่าเมื่อหนูแหม่มทำตัวเป็นบังเกอร์เสียขนาดนั้นถึงเวลาที่ต้องรับระเบิด กระสุน มันจะสาหัสสากรรจ์ขนาดไหนหลังจากนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ร้อนใจไปหมด เหมือนกำลังจุดไฟเผาตัวเองให้ย่อยยับไปกับตา
เมื่อไม่สามารถขจัดอารมณ์และจิตใจที่ขุ่นมัวออกไปได้ หนูแหม่มจึงประกาศเว้นวรรคการทำงานในรายการที่ตัวเองเป็นพิธีกรอยู่ 2 – 3เดือน
หลังจากนั้นแม้ใจจะคลายจากอาการร้อนดุจไฟเผาไปได้บ้างแล้วแต่แผลก็ยังไม่ตกสะเก็ด ยิ่งมีคนมาสะกิดบาดแผลอีกครั้ง ก็เท่ากับกวนอารมณ์ให้ขุ่นขึ้นมาอีก
เหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นหลังจากหนูแหม่มกลับมาเป็นพิธีกรรายการ “สุริวิภา” มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณแพร – ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการสายธุรกิจสำนักพิมพ์ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่บ้านสวนสาริกาจังหวัดนครนายก วันนั้นเป็นการถ่ายทำในบรรยากาศสบายๆ โดยมีคุณแม่เมตตา อุทกะพันธุ์ ของคุณแพรรอต้อนรับอยู่ที่บ้าน
ด้วยความที่คุณแม่เมตตาเป็นผู้ใหญ่ ย่อมมีประสบการณ์ในชีวิตมากมาย ท่านจึงเห็นเข้าไปถึงแววตาแห่งความโกรธ เกลียดไม่สบายใจต่างๆ ทั้งปวงของหนูแหม่มได้ชัด ท่านถามทีมงานว่าสนใจเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมไหม และถามคำถามที่จี้ใจดำหนูแหม่มมากที่สุดว่า “กับเหตุการณ์ที่ผ่านมา อภัยได้ไหม” ทันทีที่ได้ยินคำนี้ วูบแรกหนูแหม่มคิดว่า “ป้าคนนี้อะไรเนี่ย คิดอะไรอยู่ ป้าเป็นใครเนี่ย ถึงมาพูดอะไรแบบนี้”
คิดถึงวันนั้นแล้ว หนูแหม่มอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคงมีบุญเก่ามาบ้าง เพราะแม้วูบแรกจะขุ่นเคืองใจ แต่ก็ยอมตกปากรับคำคุณแม่เมตตาไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ซึ่งช่วยให้หนูแหม่มค่อยๆ คลี่คลายปัญหาในชีวิตไปได้เยอะ ทั้งกับสามีและผู้คนรอบตัว
ต้องบอกก่อนว่าหนูแหม่มนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก คุณแม่จะเป็นห่วงมากว่าลูกจะเหยียบเรือสองแคม นับถือพระเจ้า แต่ไปปฏิบัติตัวตามพิธีของศาสนาอื่นซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งนอกจากนั้นเวลาคนในตำบลที่หนูแหม่มอยู่สมัยเป็นเด็กเห็นเราออกทีวีและให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เขาจะถามคุณแม่ว่า“ลูกเปลี่ยนศาสนาแล้วหรือ” หนูแหม่มตอบได้เลยว่า “ไม่ค่ะ” เพราะการปฏิบัติธรรมเป็นเพียงการเรียนรู้เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของหนูแหม่มเท่านั้น
ครั้งแรกที่ไปปฏิบัติธรรม 3 วัน บอกได้เลยว่า “ชีวิตนี้คุ้มค่า”
วันสุดท้ายมีการให้ออกไปพูดถึงความรู้สึก หนูแหม่มร้องไห้เพราะใจสัมผัสได้ว่า ที่ผ่านมาตัวเองทอดทิ้งจิตวิญญาณมาตลอด 38 ปีคำพูดแรกที่ออกจากปากคือ ขอบคุณที่ให้หนูแหม่มมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ชีวิตที่ผ่านมาหนูแหม่มใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดต่อสู้เพื่อจะให้ชีวิตดีขึ้น โดยไม่เคยถามตัวเองว่าเหนื่อยไหม ทำไมเราต้องสู้ขนาดนั้น ทำไมต้องสุมความเครียดไว้กับตัวเองขนาดนี้ หนูแหม่มรู้สึกดีกับการปฏิบัติธรรมครั้งแรกมาก แต่ขอยืนยันว่าสามวันที่ปฏิบัติธรรมไม่ได้ทำให้หนูแหม่มบรรลุอะไรขึ้นมาได้หรอกแต่ทำให้เราได้ก้มลงมาดูตัวเอง
จากที่เคยคิดว่าจะจูงมือบ๊อบบี้ไปปรึกษาจิตแพทย์ให้ช่วยแก้ปัญหาความระหองระแหงในครอบครัว กลายเป็นว่าหนูแหม่มเริ่มได้คิดว่า สิ่งที่สามีพร่ำบอกมาตลอดเป็นความจริง
หนูแหม่มรักน้องมากเกินไป “ให้” จนบางครั้งไม่เคยถามเลยว่าน้องอยากได้หรือเปล่า ที่สุดกลายเป็นการ “ยัดเยียด” ด้วยซ้ำ ยิ่งหนูแหม่มเป็นคนที่ “ล้น” ในทุกด้าน รักก็รักมาก เกลียด โกรธก็สุดๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาบ๊อบบี้พยายามให้หนูแหม่มมองเห็นความจริงของชีวิต สอนให้รู้จักความพอดีและให้หันกลับมาอยู่ตรงกลางแต่เรากลับไปโกรธเขา จะว่าไปแล้วหนูแหม่มพบธรรมะจากสามีก่อนที่จะได้ปฏิบัติธรรมเสียอีก แต่ไม่เคยมองเห็นเลย
โชคดีเหลือเกินที่หนูแหม่มหยิบธรรมะมาเตือนใจได้ทันเวลาทำให้ทุกวันนี้ยิ่งรักและเข้าใจสามีมากกว่าเดิม และคิดว่าถ้าเราใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความเป็นเพื่อน ผิดพลาดอย่างไรเราจะอภัยให้กันได้ง่าย
สองสามปีมานี้หนูแหม่มมีโอกาสปฏิบัติธรรมหลายครั้ง ถ้าถามว่าหนูแหม่มเปลี่ยนไปไหม ขอตอบว่ายังเป็นหนูแหม่มคนเดิม ยังเป็นคนที่ “ล้น” อย่างไรก็อย่างนั้น ไม่สามารถจะเสกให้หายไปได้ในพริบตา แต่มีสติมากขึ้น ระงับยับยั้งตัวเองได้มากขึ้น แม้ว่าบางครั้งจะ (แอบ) พลาดพลั้งไปบ้างก็ตาม
ล่าสุดหนูแหม่มเพิ่งไปปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 10 วันตามแนวทางของท่านโกเอ็นก้า ก่อนไปหนูแหม่มมีการบ้านไปด้วย การบ้านที่ว่าเป็นเรื่องราวร้อนรุ่มใจที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
ลูกน้องคนหนึ่งที่หนูแหม่มอุตส่าห์บ่มเพาะฝีมือ ให้ที่อยู่ที่กินมาตลอด ก่อเรื่องด้วยการไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ คือหลังจากฝึกงานที่ร้านทำเล็บแล้ว 6 เดือน เขาจะต้องทำงานที่นี่ต่อตามระยะเวลาที่ระบุไว้
ห้าวันเต็มๆ ที่นั่นหนูแหม่มมีแต่ความโกรธแค้น คิดถึงเด็กคนนี้ขึ้นมาทีไร หัวใจจะเต้นรัวเร็ว อยากทำอะไรก็ได้ให้เด็กคนนี้เจ็บปวดแต่ละวันจินตนาการเลยว่าจะพูดอย่างไร จะจัดการทางกฎหมายกับเขาอย่างไร
พอเข้าวันที่ 6 เริ่มรู้ว่าคนที่ทุกข์ เป็นบ้าไปคนเดียวคือเราเราเป็นคนเผาผลาญตัวเองมาตลอด ที่เราโกรธ เกลียด เคียดแค้นถามว่าใครรู้สึกกับเรา ไม่มีเลย เป็นเรานั่นเองที่จุดไฟเผาตัวเองให้อยู่กับความร้อนรนความทุกข์เหล่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครหรอกที่จะช่วยเราได้ นอกเสียจากเราต้องช่วยตัวเราเอง
ทุกวันนี้หนูแหม่มต้องพบเจอกับ “การบ้าน” ทุกรูปแบบที่เข้ามาทดสอบสติ บางเรื่องก็ตั้งสติได้ทัน บางเรื่องก็เป็นอย่างที่เล่า
ความจริงแล้วมีหลายอย่างที่หนูแหม่มอยากเล่า เช่น หนังสือที่อ่าน เพราะช่วงหลังมานี้หนูแหม่มอ่านหนังสือมากกว่าเมื่อก่อนมาก (เมื่อก่อนไม่อ่านเลย แค่ดูรูปเท่านั้น) ทั้งของ ท่าน ว.วชิรเมธี ดร.สนอง วรอุไร ทันตแพทย์สม สุจีรา และที่ประทับใจมากจนถึงขนาดซื้อแจกคือ หนังสือ “พรอันสูงสุด” ของ จิม สโตวอลล์ที่หนูแหม่มอยากให้คนที่มีลูกเล็กๆ ทุกคนได้อ่าน เพราะพรทั้ง 12 ข้อในหนังสือเล่มนี้จะชี้แนะแนวทางแห่งชีวิตที่ดีงามให้คนคนหนึ่งเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
นอกจากนั้นหนูแหม่มยังชอบแนวคิดของ ท่านติช นัท ฮันห์ ที่สอนว่า ทำอะไรอยู่ให้เรายิ้มกับสิ่งที่เราทำ แล้วมองเข้าไปในหัวจิตหัวใจของเรา เห็นไหมว่าจิตก็ยิ้ม จิตไม่แกล้ง ทำอะไรก็ตามให้มีรอยยิ้มที่มุมปากเล็กๆ แล้วเราก็จะรู้สึกผ่อนคลาย
หนูแหม่มขอให้ทุกคนยิ้มกับตัวเองทุกวัน แล้วอย่าลืมกลับมาดูใจตัวเอง มองให้เห็นความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง และขอให้ใช้สตินำอารมณ์ด้วยค่ะ
เรื่อง สุริวิภา กุลตังวัฒนา เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ ภาพ อนุพงศ์ เจริญมิตร