โจอี้บอย ผู้ชายมาดกวนกับ “บางสิ่ง” ที่ซ่อนไว้หลังแว่นดำ
คงมีคนไม่มากนักที่รู้จักผู้ชายชื่อ “อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต”
แต่หากเปลี่ยนมาเป็น “โจอี้ บอย”หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะเขาเป็นแร็พเปอร์คนแรก ๆ ของประเทศ ที่อัลบั้ม Fun Fun Fun ของเขามียอดขายเกินล้านชุด นอกจากนั้นเขายังได้ทำในสิ่งที่คนจำนวนมากใฝ่ฝัน อย่างการเป็นนักกีฬาพารามอเตอร์ทีมชาติ และการเป็นโค้ชนักปั้นศิลปินในรายการ The Voice Thailand ซึ่งผู้ชมทั่วประเทศต่างติดอกติดใจ ในความฮาปนห่าม และความกวนปนเก๋าสไตล์แบดบอยของเขา
หลังจากที่เขากดปุ่ม “I Want You”เลือกคนเข้าทีมมานักต่อนัก คราวนี้ถึงเวลาที่ Secret จะ “กดปุ่ม” เลือกหนุ่มมาดกวนคนนี้มาพูดคุยกันบ้าง เรามาดูว่าภายใต้แว่นดำและเรียวหนวดกวน ๆ อันคุ้นตานั้น…เขาจะมีอะไรมาเซอร์ไพร้ส์ผู้อ่าน!
ช่วยเล่าเรื่องราวของเด็กที่ชื่อ “โจ้” ก่อนที่เขาจะมาเป็น “ โจอี้ บอย” สักนิดนึงค่ะ
ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นเด็กวัดครับ แต่ไม่ได้อยู่วัดหรอกนะ แค่เรียนโรงเรียนวัดตั้งแต่ประถม คือโรงเรียนวัดพลับพลาชัยกับโรงเรียนวัดราชาธิวาส จึงได้รับการปลูกฝังเรื่องพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก และทำให้ผมท่องบทสวดมนต์ได้เกือบหมด จนถึงวันนี้ก็ยังท่องได้อยู่ การได้สวดมนต์และได้ฟังเสียงสวดมาเยอะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการแร็พของผม อย่างเช่นในส่วนของเมโลดี้การสวด ซึ่งเป็นสไตล์ที่เรียกกันว่า Chant ซึ่งทางยุโรปจะชอบวิธีการร้องแบบนี้กันมาก
แล้วเด็กโรงเรียนวัดเริ่มเข้าสู่แวดวงสเกตบอร์ดได้อย่างไรคะ
ผมเริ่มเล่นสเกตฯช่วงอายุประมาณ13 - 14 ปี ก่อนหน้านั้นผมเล่นฮอกกี้น้ำแข็งอยู่ทีมลีโอ เป็นทีมชาติจูเนียร์ แต่หลังจากที่ตัวเริ่มโต รองเท้าฮอกกี้เริ่มคับ ผมไม่อยากขอเงินพ่อแม่ไปซื้อรองเท้าใหม่ ซึ่งราคาแพงมาก คู่ละเป็นหมื่น ผมเลยผันตัวเองไปเล่นสเกตบอร์ดแทน
คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนด้วยไหมคะ
คุณแม่จะตามใจและสนับสนุนผมตลอด พยายามเปิดโลกทัศน์ให้ลูกเสมอพยายามหาเงินส่งเราไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ ส่วนคุณพ่อจะคอยดุแล้วก็ปรับเราให้อยู่กับร่องกับรอย ผมจึงโตมาโดยการเลี้ยงดูที่มีทั้งสปอยล์และอยู่ในกรอบ
ครอบครัวคาดหวังจากลูกชายคนนี้มากไหมคะ
เขาก็คาดหวังกันนะครับ เพราะผมเป็นหลานคนโตในตระกูลคนจีน ตอนเด็ก ๆได้อยู่แต่ในอู่รถยนต์ซึ่งเป็นกิจการของที่บ้านถูกใช้ให้ไปซื้อของ บางทีพ่อก็ให้ลองล้างคาร์บูเรเตอร์ มืองี้ดำปี๋ ผมเลยไม่เคยชอบอะไรเกี่ยวกับรถเลย
แล้วคุณพ่อทราบไหมครับว่าลูกชายคงไม่รับช่วงกิจการต่อแน่นอน
เขารู้อยู่แล้วครับว่าผมไม่เอา และคงเป็นห่วงอยู่บ้าง เพราะผมเรียนไม่เก่งธุรกิจก็ไม่เอา แต่พ่อแม่คงเห็นว่าผมน่าจะเอาตัวรอดได้ ก็เลยลองวัดใจกับเราดู ท่านให้ผมลองทำหลายอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่มีค่ามาก อย่างแม่เขาทำธุรกิจอัญมณีเล็ก ๆเลยส่งผมไปฝึกงานออกแบบอัญมณีที่โรงงานญี่ปุ่นตั้งแต่อยู่ ม. 3 ปิดเทอมผมต้องฝึกงานที่ออฟฟิศทั้งวัน ถามว่าชอบไหม ก็ชอบกว่าล้างคาร์บูฯ แต่ไม่ได้ชอบจริง ๆ แค่ชอบที่ได้นั่งห้องแอร์สบาย ๆ เท่านั้น
ถึงผมจะเป็นแบบนี้ แต่ถามว่าผมเคยใจแตกหรือเสี่ยงกับการเสียอนาคตไหมตอบได้เลยว่าไม่เคย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำพ่อแม่ก็อยู่ตรงนั้นเสมอ เรื่องหนีออกจากบ้านนี่ไม่เคยมีอยู่ในหัว ทะเลาะกับพ่อแม่ก็ไม่เคย คือผมเชื่อเสมอว่ามีวิธีการที่ดีกว่านั้น พอเห็นคนอื่นทำ ผมยังคิดเลยว่าเขาจะทำอย่างนั้นทำไมวะ สำหรับผม การทะเลาะกับพ่อแม่เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดที่สุดสองคนนี้คือสองคนสุดท้ายที่เราควรจะทะเลาะด้วยเลยนะโว้ย ทำไมเด็กคนอื่นไม่รู้จักวิธีการดีลกับพ่อแม่เขาวะ ถ้าเป็นผม ผมจะคุยด้วยเหตุผล
ผมดีลกับพ่อแม่แบบนี้มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต รวมถึงกรณีที่ผมขอเลิกเรียนเพื่อไปเป็นนักร้องด้วย คือเราต้องสร้างความมั่นใจให้เขาเสียก่อนว่าเราทำได้ แล้วหลังจากนั้นการจะคิดอ่านทำอะไร ท่านก็จะเชื่อมั่นและสนับสนุนเรา ตอนนี้นอกจากดูแลพ่อแม่แล้ว การทำให้พ่อแม่มั่นใจและแฮ็ปปี้ในตัวเราก็ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตผมมาตลอด ไม่ว่าจะทำอะไร ผมจะคิดก่อนเลยว่า ถ้าพ่อกับแม่รู้แล้วเขาจะแฮ็ปปี้หรือเปล่า ถ้าไม่แฮ็ปปี้ ผมไม่ทำ ซึ่งเท่าที่สังเกตดู เขาก็แฮ็ปปี้กับสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดนะครับ อาจจะไม่แฮ็ปปี้อยู่เรื่องเดียวคือยังไม่แต่งงานสักที (หัวเราะ) เพราะตอนนี้น้องสาวผมก็แต่งงานมีลูกไปแล้ว
ทุกวันนี้คุณมองผู้ชายที่ชื่อ “โจอี้ บอย” อย่างไรบ้าง
โจอี้ บอย ถือเป็นพาร์ตหนึ่งของชีวิตผม เป็นอาชีพของผม แล้วผมก็ยังคงสนุกสนานกับอาชีพที่เป็นโจอี้ บอย ล่าสุดเพิ่งออกซิงเกิ้ล “เมียไม่มี” ที่ผมทำเอง โดยไม่ได้คิดว่าต้องทำเพื่อขาย แต่เหมือนทำเพื่อแจกแฟนเพลง ทุกวันนี้การทำเพลงไม่ใช่งานสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเหมือนความสนุกสำหรับผมกับแฟนเพลงมากกว่า
ต้องยอมรับว่าชื่อโจอี้ บอย ส่งผลให้เราได้ทำหลาย ๆ อย่างที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การร้องเพลงอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นทำค่ายเพลง โปรดิวเซอร์ พระเอกหนัง ผู้กำกับภาพยนตร์ หรือว่าเป็นนักกีฬาทีมชาติ ผมคิดมาตลอดว่า เรามีโอกาสได้มายืนตรงนี้และมีคนคอยเฝ้าดู ฉะนั้นเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เริ่มตั้งแต่การใช้ชีวิตไปจนถึงทุกสิ่งที่ทำ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเห็นว่า คนเราทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือยากเย็นแค่ไหน ซึ่งผมพิสูจน์มาด้วยตัวเองแล้วว่า ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าปีที่หนึ่งยังไม่เห็นผล ก็ขอให้ตั้งใจต่อในปีที่สอง ปีที่สาม หรือปีที่สี่ มันต้องเห็นผลแน่นอน
คติประจำใจของคุณคืออะไรคะ
คติที่ผมใช้มาตลอดคือ “ขึ้นให้สุดลงให้สุด” เพราะสำหรับผม คนเราเกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ดังนั้นถ้าอยากทำอะไรก็จงทำซะ ทำให้เต็มที่ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจ
เรื่องโดย : พีรภัทร โพธิสารัตนะ
ภาพโดย : วรวุฒิ วิชาธร, สรยุทธ์ พุ่มภักดี, ไทยรัฐ
บทความที่น่าสนใจ
ชีวิตหลังม่าน ของ จินตหรา สุขพัฒน์
โปรดิวเซอร์ โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ กับ เส้นทางชีวิตพาให้เขาเปลี่ยนแปลง