จากธุรกิจ 'โรงเลื่อย' สู่ 'สปาระดับ Exclusive' จากผู้ชื่นชอบการนวด สู่เจ้าของสปา

จากธุรกิจ ‘โรงเลื่อย’ สู่ ‘สปาระดับ Exclusive’

จากผู้ชื่นชอบการนวด สู่เจ้าของสปา

“อะไรรู้คือไม่เสี่ยง” “อะไรที่ไม่รู้คือเสี่ยง” คติประจำใจของคุณสว่าง เจ้าของธุรกิจร้าน ‘สปาดารารัตน์’ ที่ตั้งอยู่บนถนนรัตนธิเบศร์ คุณสว่างเล่าให้เราฟังว่าจุดเริ่มต้นของการทำสปาแห่งนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ไลฟ์สไตล์ของเขาและภรรยา ที่ชื่นชอบการตีกอล์ฟเป็นประจำ บางทีตีผิดท่าบ้างอะไรบ้าง ก็จะเกิดการเคล็ด การยอก ปวดเมื่อย ประกอบกับเป็นคนที่ชอบนวดกันอยู่แล้ว หลังตีกอล์ฟก็จะไปนวดตามสปาต่างๆ

ธุรกิจก่อนหน้าคือทำโรงเลื่อย ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความไม่แน่นอน เพราะวัตถุดิบจากประเทศพม่าที่เราใช้ประจำ ยุติการส่งไม้ออกนอก จึงต้องมองหากิจการอื่นลองทำดู ก็มาจบที่ธุรกิจสปา เราเข้าสปาทุกวัน ไล่ตั้งแต่สปาห้องแถว สปาในโรงแรมหรู สปารีสอร์ทต่างๆ ก็เลยมีข้อมูลค่อนข้างเยอะ แล้วก็มานั่งคำนวนว่าค่าใช้จ่ายน่าจะประมาณเท่าไหร่ ถ้าเผื่อรายรับทบกับรายจ่าย ก็หมายความว่าไม่ขาดทุน ถ้าเผื่อรายรับมากกว่ารายจ่ายมันก็คือกำไร

ประกอบกับว่าที่ดินตรงนี้ ซื้อไว้นานแล้ว เห็นที่อยู่ว่างๆ ปล่อยไว้ก็อาจต้องเสียภาษีโดยเปล่าประโยชน์ คือหมายความว่าแทนที่จะปล่อยให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า เราก็เอามาทำสิ่งที่เราคิดว่ามีความรู้เพียงพอ ซึ่งก็ได้ปรึกษาลูกๆ ดู คิดว่าน่าจะเป็นธุรกิจที่เราทำได้โดยไม่เสี่ยงจนเกินไป

ซึ่งอุปสรรคใหญ่ๆ ก็มาจากการวางแผน คือสปามันมีหลายรูปแบบ เลยมานั่งคิดว่าที่ของเรามีพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ มันน่าจะทำเป็นแนวรีสอร์ทได้ไม่ยาก แล้วแนวรีสอร์ท น่าจะเป็นแนวแห่งอนาคต เพราะว่าทุกคนเริ่มหาสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ถ้าสังเกตให้ดีที่นี่จะมีแต่กระจก จะมีพื้นที่ที่เป็นกำแพงน้อยมาก เพราะว่าโดยรอบเราจะปลูกต้นไม้เป็นหลัก การตกแต่งจึงแทบไม่มีอะไรเลย โดยจะให้ต้นไม้ทั้งหลายตกแต่งแทน ฉะนั้น เวลาลูกค้าเข้ามา ความรู้สึกแรกที่เค้าจะได้เจอก็คือรู้สึกผ่อนคลาย เพราะสิ่งที่เค้าต้องการก็คือ ต้องการมาผ่อนคลาย

ฉะนั้น แนวโน้มสปาของเราจะไม่เหมือนสปาบางแห่ง ซึ่งเค้าจะเน้นแก้อาการให้ลูกค้า ลูกค้าเป็นอะไร เค้าจะแก้ตรงนั้น เช่น ปวดขา คอ บ่า ไหล่ ก็จะแก้อาการให้ แต่ทางเราจะไม่ได้เน้นทำอย่างนั้น เน้นแค่ผ่อนคลาย เพราะถ้าเกิดลูกค้ามาแล้วให้ช่วยแก้อาการ ถ้าเป็นหนัก เราจะแนะนำให้ไปหาหมอดีกว่า เพราะเป็นอะไรที่ดูเชี่ยวชาญกว่าเรา หมายความว่าเค้าจะมีกายภาพบำบัด ซึ่งเราทำไปถึงตรงนั้นไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไป มันต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือว่าพยาบาลผู้เชี่ยวชาญมาทำ ดังนั้น เราจะเน้นเฉพาะผ่อนคลาย

พนักงานของเราจะนวดในน้ำหนักที่พอดี ไม่แรงเกินไป เพราะถ้าเผื่อหนักเกินไป แล้วนวดผิด ลูกค้าอาจจะบาดเจ็บได้ ฉะนั้น เราจะนวดให้แค่ผ่อนคลาย มีเพลงเปิดคลอเบาๆ เดินเข้ามามีกลิ่นอโรมา แต่ปัจจุบันจะไม่ค่อยได้กลิ่น เพราะว่าเราใช้โอโซนในการฆ่าเชื้อโรค โอโซนชนิดเข้มข้นมาก ซึ่งกลิ่นโอโซนมันจะมากั้นกลิ่นอโรมา แต่ลูกค้าเค้าพอใจมาก เพราะว่าบางแห่งที่เค้าไป อาจจะมีการฆ่าเชื้อด้วย UV แต่เข้าไปยังมีกลิ่นอโรมาอยู่ ทำให้ลูกค้าไม่แน่ใจว่าที่นี่มีการอบฆ่าเชื้อจริงหรือไม่ คือส่วนใหญ่เค้าต้องอบฆ่าเชื้อกันอยู่แล้ว แต่ถ้ายังมีกลิ่นอโรมาอยู่ ลูกค้าก็จะมีความเคลือบแคลงใจอยู่ดี เพราะยุคโควิดแบบนี้ ลูกค้ากลัวกันมาก ทางเราจึงต้องมีการแจ้งไว้ตามหน้าห้องว่ามีการอบ ลูกค้าก็จะได้กลิ่น

ก่อนที่จะฝึกพนักงาน ตัวผมเองก็จะต้องเข้าไปพยายามเข้าอกเข้าใจพนักงานให้มาก จะมาเล่นบทบู๊เหมือนตอนอยู่โรงงานมันไม่ได้ ต้องใช้บุ๋นมากกว่า เราต้องเข้าใจว่าเค้าต้องดูแลลูกค้า ซึ่งสปาของเราเป็นระดับพรีเมียม ลูกค้าที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้าของกิจการ หรือนักธุรกิจ ซึ่งมีความละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกมาก ดังนั้น พนักงานก็จะต้องฝึกให้เค้ามีความพร้อมที่จะรับลูกค้าเราให้ได้

แนวโน้มในอนาคตคืออยากจะทำออนเซน เพราะว่าออนเซนก็เริ่มเป็นที่นิยม เรายังขาดตรงนั้นอยู่ แต่อย่างน้อยเราก็ต้องศึกษาก่อนว่า คนที่อยู่แถบนี้ความต้องการเค้าคืออะไร ซึ่งจะต้องใช้เวลาศึกษาอย่างน้อยปีถึงสองปี แต่ส่วนใหญ่จะพยายามทำในสิ่งที่เราไม่มีมากกว่า ก็อาจจะเน้นตัวนี้ในอนาคตข้างหน้า