ทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ดีจริงรึเปล่า?
การใช้ชีวิตในยุคนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีกรอบของเวลาเข้ามาเป็นตัวกำหนด ทำให้เราพร้อม (และเคยชิน) ที่จะ ทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ยิ่งรถติดเราก็ยิ่งอยากใช้เวลาให้มีประโยชน์มากขึ้น ไม่ว่าจะคุยงานผ่านมือถือ กินข้าว หรือแม้กระทั่งแต่งหน้าระหว่างรถติด
บางคนอาจทำมากกว่าสองอย่างเสียอีก ถึงแม้ว่ามนุษย์จะมีศักยภาพในการทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน แต่ก็มีแนวความคิดที่ว่ากระบวนการที่คนเรากระทำตอนใช้สติเต็มที่นั้นต้องทำเป็นเรื่องๆ แยกกัน
การศึกษาโดยการทดลองหลายร้อยครั้งตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา ตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ชื่อ ฮาโรลด์ ปาซเลอร์ แสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้คนเรียนรู้งานสองอย่างในเวลาเดียวกัน สมรรภาพของการเรียนรู้จะลดต่ำลงมาก คือจากสมองระดับปริญญาโทฮาร์วาร์ดลดลงเป็นเด็กอายุประมาณ 8 ขวบเลยทีเดียว
เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การสอดแทรกของงานที่เป็นคู่ขนานกัน ในการทดลองหนึ่งปาซเลอร์ให้อาสาสมัครเลือกกดปุ่มหนึ่งจากสองปุ่มเพื่อตอบสนอง เมื่อมีแสงสว่างจากทางด้านซ้ายหรือขวาของหน้าต่าง กลุ่มที่หนึ่งทดลองงานนี้ไปเรื่อยๆ
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งต้องระบุสีของวัตถุไปด้วยในเวลาเดียวกัน โดยเลือกจากสามสี มีตัวแปรง่ายๆ คือ ซ้ายหรือขวา และสามสี ถึงอย่างนั้นการทำงานสองอย่างในเวลาเดียวกันต้องใช้เวลาเป็นสองเท่า นั่นก็คือลักษณะการทำงาน 2 อย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้เป็นการประหยัดเวลาแต่อย่างใด
แต่ถ้าหากไม่คำนึงถึงคำตอบว่าถูกหรือผิด อาสาสมัครจะทำได้เร็วขึ้น ผลที่ได้นี้จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่ว่า ถ้าความแม่นยำเป็นเรื่องสำคัญ ก็ไม่ควรแบ่งแยกความตั้งใจเป็นหลายส่วน
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การทำสองสิ่งในเวลาเดียวกันมากกว่าการทำสองสิ่งที่ต้องใช้ความคิดในเวลาเดียวกัน นอกเสียจากว่าเราจะยอมรับได้เมื่อผลงานลดลง
แม้ว่ามีการค้นพบเรื่องการสอดแทรกของงานที่เป็นคู่ขนานกันมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม ก็ยังมีหลายคนที่พยายามทำหลายๆ สิ่งในเวลาเดียวกันอยู่ดี พนักงานออฟฟิศมักถูกใช้งานแบบซ้ำซ้อนจนเริ่มชิน
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อความตั้งใจของเราถูกแบ่งแยก ผลก็คือเกิดอาการเหนื่อยทางความคิดนั่นเอง
ข้อมูลจากหนังสือ
ปลุกสมองให้คล่องงาน สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก
บทความที่น่าสนใจ
วิธีทำงานที่ไม่ธรรมดาของ Google นี่แหละ! บันไดสู่ความสำเร็จ