โรคระบบทางเดินอาหาร ที่คนรุ่นใหม่ รู้สาเหตุก่อน หายก่อน

โรคระบบทางเดินอาหาร ที่คนรุ่นใหม่ รู้สาเหตุก่อน หายก่อน

โรคระบบทางเดินอาหาร กับไลฟ์สไตล์ยุค 4.0 มาพร้อมความเร็ว การใช้ชีวิตให้สมดุล จึงเป็นเรื่องยาก ส่งผลให้เกิดโรคและอาการผิดปกติหลายอย่าง ตามมา โดยเฉพาะโรคในระบบทางเดินอาหารและระบบย่อยอาหาร

มาดูกันค่ะว่า โรคยอดฮิตในระบบทางเดินอาหารที่คนรุ่นใหม่เป็นกันมาก คืออะไร พร้อมวิธีป้องกันและเยียวยาเบื้องต้น

1. กรดไหลย้อน

โรคระบบทางเดินอาหาร และระบบย่อยที่เป็นกันมาก ไม่ว่า คนหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุก็คือ กรดไหลย้อน

อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต อธิบายถึงเรื่องดังกล่าวสรุปได้ว่า โรคกรดไหลย้อน มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Gastroesophageal Reflux Disease”

คำว่า Gastro หมายถึง ช่องท้อง กระเพาะอาหาร หรือลำไส้ก็ได้ Esophageal แปลว่า เกี่ยวกับหลอดอาหาร Reflux แปลว่า ไหลกลับ หรือย้อน Disease แปลว่า โรค ถ้าสะกดเป็นคำย่อก็ใช้คำว่า โรค Gerd หรือ Gord ก็ได้ แล้วแต่จะสะกดแบบอเมริกันหรืออังกฤษ ถ้าแปลตรงๆ หมายถึง โรคน้ำย่อยไหลย้อน ฟังดูยืดยาว เลยสรุปสั้นๆ ว่า “โรคกรดไหลย้อน”

โดยกรดไหลย้อนจะมีอาการหลักๆ คือ แสบร้อนกลางอก บางคนเป็นทุกวัน ตามปกติอาการเช่นนี้มีสาเหตุมาจากการกินอาหาร และเกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะ อาหารไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหารไปจนถึงลำคอ ความแสบร้อนอาจจะกระจาย ไปทั่วบริเวณหน้าอกตั้งแต่แถวกะบังลมขึ้นไปถึงคอ ทำให้เรอ มีอาการท้องอืดหรือ คลื่นไส้ อาจตามมาด้วยกรดไหลย้อน และอาจมีอาการอยู่นานตั้งแต่ 1 ถึง 4 ชั่วโมง

ภาวะอาหารย่อยไม่ดีมีคำเรียกทางการแพทย์ว่า โรคกรดไหลย้อนขึ้น หลอดอาหารหรือจีอีอาร์ดี (Gastroesophageal Reflux Disease) ซึ่งอาการ อาจจะถึงขั้นรุนแรงได้ โดยอาการทั่วไป ได้แก่ แสบร้อนกลางอก มีน้ำลายมาก เสียงแหบไม่หายและปากขม ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา กรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งมีฤทธิ์แรงอาจค่อย ๆ กัดเยื่อบุที่บอบบางของหลอดอาหาร ซึ่งจะนำไปสู่การเป็น มะเร็งหลอดอาหารต่อไป

HOW TO TREAT

สำหรับวิธีแก้อาการกรดไหลย้อน อาจารย์ สาทิสอธิบายไว้ดังนี้

1. งดอาหารจำพวกที่กระตุ้นให้เกิดอาการ แสบร้อนกลางอก เช่น กาแฟ เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ เปปเปอร์มินต์ ช็อกโกแลต หอมหัวใหญ่ และอาหารที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนผสม
2. งดอาหารรสจัด อาหารมัน หรืออาหาร ที่มีกรดมาก ก็มักเป็นสาเหตุของอาการกรด ไหลย้อน
3. ควรดื่มเครื่องดื่มระหว่างมื้ออาหารแทน การดื่มพร้อมอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ ย้อนกลับ
4. ควรอยู่ในอิริยาบถหลังตรงหลังมื้ออาหาร สักหนึ่งชั่วโมง และงดอาหารก่อนเข้านอนสัก 2 – 3 ชั่วโมง
5. ลดความอ้วน การศึกษาพบว่า ความ อ้วนมีส่วนทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกมากขึ้น ดังนั้นการรักษาน้ำหนักให้พอดีจึงสำคัญต่อการ ลดอาการ เนื่องจากน้ำหนักช่วงท้องที่มากจะ ไปกดทับลิ้นหูรูด ทำให้ของในกระเพาะอาหาร ล้นออกมา
6. กินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่มีเส้นใยสูง กินแล้วย่อยง่ายจึงป้องกันอาการ แสบร้อนกลางอกได้ดี เช่น ถั่วเมล็ดแบน ผัก ธัญพืชเต็มเมล็ด

<< อ่านต่อหน้าที่ 2 >>