ไขมันพอกตับ เป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันอยู่มาก ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร และอันตรายแค่ไหน วันนี้แอดจะเล่าให้ฟังค่ะ
ไขมันพอกตับ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่มีสัญญาณเกิดขึ้นในช่วงแรก แต่จะเป็นการที่เกิดไขมันไปสะสมในตับมากจนตับไม่สามารถดึงออกมาใช้ได้หมด โดยผู้ที่มีปัญหาไขมันเกาะตับจะมีไขมันสะสมอยู่ในตับคิดเป็น 5-10% ของน้ำหนักตับเลยทีเดียว
สาเหตุการทำให้เกิดไขมันเกาะตับ
มีด้วยกัน 2 ปัจจัยหลัก คือ
จากแอลกอฮอล์ ซึ่งควาามรุนแรงของอาการ จะขึ้นอยู่กับประเภทของแอลกอฮอล์ เพศ และระยะเวลา
จากอื่นๆ ที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ ซึ่งมาจากปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของอาหาร
กลุ่มเสี่ยงไขมันเกาะตับ
- ผู้ชายที่มีรอบเอวเกิน 40 ผู้หญิงที่มีรอบเอวเกิน 35
- ผู้ที่น้ำตาลสูงกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือผู้ที่เป็นเบาหวาน
- ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ผู้ที่มีคามดันสูงกว่า 140/90 มิลลิลิตรปรอท
- ดื่มแอลกอฮอล์มาก
- รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
- น้ำหนักลดอย่างมากในเวลารวดเร็ว
อาการไขมันเกาะตับ
เป็นภาวะที่ไม่มีอาการให้รู้ หรือหากมีอาจจะเป็นอาการเช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เจ็บตึงที่บริเวณชายโครงขวา มักตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี โดยการเจาะเลือด สำหรับภาวะไขมันเกาะตับ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 มีไขมันอยู่ในตับ แต่ยังไม่เกิดการอักเสบ หรือผังผืดในเนื้อตับ
ระยะที่ 2 ตับเริ่มมีการอักเสบ หากไม่ดูแลควบคุมอาหาร ภายใน 6 เดือนจะทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง
ระยะที่ 3 ตับอักเสบจนเกิดผังผืด เซลล์ตับถูกทำลาย โดยมีผังผืดเข้าไปแทนที่
ระยะที่ 4 เซลล์ตับถูกทำลายจนทำงานตามปกติไม่ได้ เกิดภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับ
การดูแลรักษาไขมันเกาะตับ
- หากมีน้ำหนักตัวมาก ต้องควบคุมน้ำหนัก แต่ไม่ลดแบบหักโหม โดยลดในอัตรา 7% ของน้ำหนักตัว ในช่วง 3 เดือน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- เลือกอาหารที่อุดมด้วยไขมันดี กากใยสูง หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
- ควบคุมอาหาร และน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เลี่ยงการซื้อยากินเอง
- เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
ที่มา โรงพยาบาลศิริราช ปิยะมหาการุณย์, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์