ปวดหัว ไมเกรน

คู่มือเช็ก + แก้ไมเกรน โรคฮิตคนทำงาน

คู่มือเช็ก + แก้ไมเกรน โรคฮิตคนทำงาน By หมอสันต์ ใจยอดศิลป์

อยากเล่าถึงอาการปวดหัว และ แก้ไมเกรน ซึ่งมีหลายประเด็น

ประเด็นที่ 1

อาการปวดหัวมีหลายชนิด ไหน ๆ ก็พูดถึงอาการปวดหัวแล้ว ขอจาระไน ให้ท่านผู้อ่านทราบด้วยเสียเลยว่า อาการปวดหัวมีทั้งชนิดหาสาเหตุพบและหาสาเหตุไม่พบ ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดหาสาเหตุไม่พบ เฉพาะพวกหาสาเหตุไม่พบนี้ยังแยกย่อยออกเป็น

1. ปวดหัวแบบกล้ามเนื้อตึง (Tension Headache)

มักปวดระดับน้อยถึงปานกลาง ไม่คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีอาการของระบบประสาท ไม่เกี่ยวกับการออกแรงหรือเคลื่อนไหว มักสัมพันธ์กับความเครียด อดนอน หิว ใช้สายตามาก หรือเมื่อตำแหน่งศีรษะอยู่ผิดที่ การรักษาคือนอนให้พอ ลดการใช้สายตาลง ออกกำลังกายให้หายเครียด ถ้าปวดเมื่อยแถวคอ หลังหูก็บีบ ๆ นวด ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่ถ้าอยากใช้ยาก็ใช้แค่พาราเซตามอล ครั้งละ 500 – 1,000 มิลลิกรัม หรือแอสไพริน ครั้งละ 300 – 600 มิลลิกรัม ก็พอ

2. ปวดหัวแบบไมเกรน (Migraine)

เป็นการปวดแบบตุ้บ ๆ (Vascular Headache) ปวดครั้งหนึ่งกินเวลา 4 – 72 ชั่วโมง ถ้ามีอาการนำ (Aura) ที่เกิดจากการทำงานของระบบ ประสาทเสียสมดุลเป็นการชั่วคราว เช่น เห็นแสงสีวูบวาบ เรียกว่า Classic Migraine ถ้าไม่มีอาการนำเรียกว่า Common Migraine มักคลื่นไส้อาเจียน ปวดหัวข้างเดียว มักมีอาการแพ้แสง นอนไม่หลับ ซึมเศร้าร่วมด้วย และมักเป็นโรคกรรมพันธุ์

3. ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headache)

เป็นการ ปวดรุนแรงเฉพาะบริเวณที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทสมองคู่ที่ห้า (Trigeminal Nerve) มักเกิดขึ้นที่หลังลูกตาหรือที่เบ้าตา ร่วม กับมีอาการจากการทำงานของเส้นประสาทอัตโนมัติ เช่น น้ำมูก น้ำตาไหล เหงื่อออกบนใบหน้า ตาแดง หนังตาบวมหรือ หนังตาตก โดยที่เป็นอยู่ซีกเดียว มักเป็นมากจนลุกลี้ลุกลน อยู่ไม่สุข ถ้ายาธรรมดาเอาไม่อยู่ การรักษาอาจต้องใช้ยาแรง ไปหาหมอดีกว่า

ส่วนกลุ่มปวดหัวที่มีสาเหตุ ยังแยกย่อยออกเป็นสองพวก คือ พวกสาเหตุอยู่นอกสมอง เช่น ตา หู โพรงไซนัส เป็นต้น และพวกสาเหตุอยู่ในสมอง เช่น หลอดเลือดโป่งพอง หลอด เลือดแตก ลิ่มเลือดอุดหลอดเลือด เนื้องอกสมอง

ประเด็นที่ 2

คนขี้ปวดหัว หมายถึงคนที่ชอบปวดหัว ทุกคน ซึ่งควรต้องรู้วิธีวินิจฉัยตัวเองว่าการปวดหัวครั้งนี้ซีเรียส หรือเปล่า ก็เช็กง่าย ๆ ก่อนว่ามี “สัญญาณร้าย” อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้ไหม

  1. ปวดแบบสายฟ้าฟาด (Thunderclap) ปวดเร็ว แรง ทันทีถึงขีดสุดในเวลาไม่เกิน 5 นาที ปวดจนปลุกให้ตื่นขึ้น หรือ ปวดแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
  2. ปวดศีรษะครั้งแรกในคนไข้อายุมากกว่า 50 ปี คนไข้ เอดส์ หรือคนไข้มะเร็ง
  3. ลักษณะการปวดเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น รวมถึงความถี่ และอาการร่วม
  4. มีอาการและอาการแสดงของระบบประสาทร่วม รวมถึง การมองเห็นผิดปกติ คอแข็ง หรืออาการไม่เฉพาะที่ (Non-Focal) เช่น สูญเสียความจำ
  5. มีข้อมูลส่อว่าเป็นโรคในระดับทั่วร่างกาย (Systemic Disease) เช่น เป็นไข้ ความดันเลือดสูง น้ำหนักลด เป็นต้น ถ้ามีสัญญาณร้ายเหล่านี้ก็แจ้นไปหาหมอได้ เพราะถ้าช้าอาจถึงตาย

ประเด็นที่ 3

คุณเป็นไมเกรนประจำโดยไม่มีสัญญาณร้าย ทั้ง 5 ข้างต้น แต่มันปวดประจำจะทำยังไงดี ตอบว่า วิธีรักษา ไมเกรนต่อไปนี้เป็นวิธีที่อาจอยู่นอกเหนือหลักการแพทย์ไปบ้าง นิดหน่อยนะ คือผมแนะนำว่า คุณจะต้องปรับการใช้ชีวิตของคุณ ไปอย่างสิ้นเชิง จำไว้ว่าวิถีชีวิตแบบเดิมทำให้คุณเป็นไมเกรน เรื้อรัง ถ้าคุณยังทู่ซี้ใช้ชีวิตแบบเดิม คุณก็จะปวดหัวแบบเดิมไป ทั้งชาติ ดังนั้นคุณต้องปรับวิธีใช้ชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง ดังนี้

  1. จัดเวลาดูแลตัวเองวันละหนึ่งชั่วโมง ปิดโทรศัพท์ งดดูทีวีหรือหน้าจอทุกชนิด ใช้เวลานี้ดูแลตัวเองเท่านั้น จะเป็นการออกกำลังกาย รำมวยจีน โยคะ นั่งสมาธิ หรือ นั่งอยู่เฉย ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบ ๆ ก็ได้
  2. ต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้ถึงระดับหนักพอควร คือหอบแฮก ๆ จนร้องเพลงไม่ได้ อย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมง ทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 – 6 วัน เพราะการออกกำลังกาย แบบแอโรบิกจะทำให้เกิดการหลั่งสารเอนดอร์ฟินขึ้นในร่างกาย ซึ่ง จะรักษาอาการปวดหัวได้
  3. ต้องปรับอาหารด้วย คือ กินอาหารที่มีพืชแยะ ๆ แบบ สด ๆ ไม่หมักดองหรือเก็บไว้นาน พืชซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ลดการอักเสบได้ดี เช่น ผักสวนครัว ขมิ้นชัน แฟลกซ์ซี้ด ก็ควรหามากินบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นระบบ ประสาทส่วนกลาง เช่น แอลกอฮอล์ กาแฟ หลีกเลี่ยงยา ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางทุกชนิด รวมทั้งยาคลายกังวล ยาต้านซึมเศร้า ยานอนหลับ
  4. ข้อนี้เป็นไฮไลต์นะ คือทุกเวลานาทีในชีวิตประจำวันให้ หัดปล่อยวางความคิดและผ่อนคลายตัวเอง โดยต้องหัดเทคนิค พื้นฐานสองเทคนิคนี้บ่อย ๆ คือ

– เทคนิคลาดตระเวนร่างกาย (Body Scan) โดยหายใจเข้า ลึก ๆ หายใจออกช้า ๆ แล้วลาดตระเวนความสนใจไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจากหัวจรดเท้า มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นบนผิวหนัง (เช่น เหน็บ ชา เจ็บ คัน อุ่น วูบวาบ ขนลุก) ก็รับรู้ ความรู้สึกที่รับรู้ได้จากการลาดตระเวนร่างกายนี้เรียกว่า “ปีติ” อย่าไปแปลคำนี้นะ เพราะมันใช้ได้หลายความหมาย ในที่นี้ผมหมายถึงความรู้สึกที่รับรู้ได้ ตามร่างกายเท่านั้น

– เทคนิคผ่อนคลายร่างกาย (Muscle Relaxation) โดยหายใจ เข้าลึก ๆ หายใจออกช้า ๆ พร้อมกับสั่งให้กล้ามเนื้อทุกมัดบนร่างกาย ผ่อนคลายตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยเฉพาะบนใบหน้านั้นให้ใส่ใจสั่ง ให้ผ่อนคลายเป็นพิเศษ คลายหน้าผาก และยิ้มที่มุมปากนิด ๆ อยู่ คนเดียว หรือจะใช้วิธีหยิบกระจกแต่งหน้าขึ้นมาส่องแล้วยิ้มให้ ตัวเองในกระจกก็ได้ ผลจากการใช้เทคนิคนี้จะทำให้กล้ามเนื้อ ผ่อนคลาย เรียกว่า “สุข”

คุณจะต้องทำให้ตัวเองมี “ปีติ” และ “สุข” อยู่ทั้งวัน แล้วสมาธิ จะเกิดขึ้น ระบบประสาทอัตโนมัติของคุณจะคลายตัว อาการปวดหัว ซึ่งเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติบีบหลอดเลือดก็จะหายไป

  1. เมื่อผ่อนคลายร่างกายได้จนจิตเริ่มมีสมาธิไม่ไปจมอยู่กับ ความคิดลบ ๆ ทั้งหลายแล้ว เวลาปวดหัวขึ้นมา ให้ฝึกรับรู้ อาการปวดหัวแบบยอมรับ ยอมแพ้ ไม่ต่อต้าน ไม่ขับไล่ คือ ลาดตระเวนความรู้สึกไปรอบ ๆ บริเวณศีรษะที่ปวด ทำความคุ้นเคย ด้วยความสนใจ อยากรู้อยากเห็น เมื่อคุ้นเคยแล้วก็ให้ชะแว้บ ความสนใจเข้าไปนั่งอยู่ใจกลางตรงที่ปวดแบบนั่งเป็นเพื่อนกัน หายใจช้า ๆ ตั้งใจรับรู้พลังงานความร้อนแรงของอาการปวด

ในที่สุดพลังงานนั้นจะกลายเป็นพลังงานที่มาเติมเต็มชีวิต ให้คุณ แล้วคุณจะขอบคุณไมเกรนที่มาทำให้ชีวิตคุณมีพลัง มากขึ้น

จาก คอลัมน์ WELLNESS CLASS นิตยสารชีวจิต ฉบับ 472


บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

อาหารใดกินเข้าไปแล้ว เสี่ยงปวดไมเกรน

เมื่อเบาหวาน ทำเส้นเลือดเกือบแตก

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กินอย่างไรช่วยให้โรคดีขึ้น ปลอดภัย

โลว์โซเดียม เลือกยังไงให้ดีกับไต หัวใจ และหลอดเลือด

ติดตามชีวจิตได้ที่ :

Facebook : นิตยสารชีวจิต
Instagram : Cheewajitmedia
TikTok : cheewajitmediaofficial

© COPYRIGHT 2025 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.