เบาหวาน

เมื่อเบาหวาน ทำเส้นเลือดเกือบแตก

เบาหวานเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนจริงๆ ยิ่งในปัจจุบันนี้ ที่เราเจอผู้ป่วยเบาหวานในวัยที่เด็กลงเรื่อยๆและหนึ่งในกลุ่มยอดนิยมคือวัยทำงาน เหมือนเช่น  “คุณเกี้ย” เจ้าของงานอดิเรกทำช่องยูทูป “เกี้ยแซ่บ” ซึ่งมีผู้ติดตามห้าแสนกว่าราย  เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะชะล่าใจ ไม่ดูแลสุขภาพเท่าที่ควร ทั้งไม่คิดว่าเบาหวานจะร้ายแรงขนาดนี้

“ตอนนี้ผมอายุ 48 เริ่มเป็นเบาหวานอายุ 28 สาเหตุไม่ชัดเจน ตอนเด็กเป็นคนผอมมาก ขี้โรค ความเชื่อของคนจีนคือทำยังไงก็ได้ให้อ้วนและแข็งแรง ครอบครัวจึงให้กินยาหมอจีนจนอ้วน พออ้วนแล้วน้ำหนักไม่ลง เรากินเก่งด้วย กินไม่เลือก

ช่วงเรียนมัธยมนอนดึกมาก ดูหนัง สมัยก่อนมีทีวี 24 ชั่วโมง มีรายการน่าดูตลอดเวลา กินช้อกโกแลตตอนตีสองหมดถุงเพราะมันเพลิน หาของขบเคี้ยวกินไปเรื่อย ใช้ชีวิตแบบนั้นมาเป็นสิบปี จนมาตรวจร่างกายประจำปีที่ออฟฟิศ พอตรวจปัสสาวะ ตัวอินดิเคเตอร์เป็นสีน้ำตาลเข้ม แสดงว่ามีความเสี่ยงน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ไปตรวจก็พบว่าเป็นเบาหวานแล้ว

ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา

“ตอนแรกก็กังวล หมอให้ยากมากินและบอกว่าจะมีโรคอื่นตามมานะ ซึ่งก็คือโรคความดันโลหิตสูง เพราะมันเป็นพี่น้องกัน  ตอนนั้นก็ยังใช้ชีวิตไปตามปกติ คิดว่าเป็นเบาหวาน หมอให้กินยา ถ้าน้ำตาลขึ้น ก็อัดยาสิ ความดัน ไขมันขึ้น ก็กินยาสิ อยากกินขนมตอนตีสองก็กิน อยากกินช้อกโกแลต ข้าวเหนียวมะม่วงก็กิน

“ พอถึงวันนัดไปตรวจ ต้องเจาะเลือดตอนเช้า  ก็กินยาเพื่อกดน้ำตาลให้ต่ำ ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรง คิดแค่ว่าน้ำตาลขึ้นก็กินยา จนกระทั่งเป็นหนักขนาดเบาหวานขึ้นตา หมอบอกว่ามีวิธีรักษา 2 วิธี วิธีแรก ฉีดยาแก้อักเสบเข้าไปในลูกตาสีขาว ส่วนอีกวิธีคือทำเลเซอร์ ซึ่งต้องไปจี้จุดแดงในเส้นประสาทตา ผลข้างเคียงคือจะทำให้เส้นประสาทตาตรงนั้นเสีย ทำให้ระยะการมองเห็นของเราแคบลง

“ ผมรักษาด้วยวิธีแรกก่อน  ต่อมาก็รักษาด้วยวิธีที่สอง และต้องดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย แต่ผมคิดว่าเป็นเบาหวานก็ไม่เป็นไร กินยาไป จนต้องเพิ่มปริมาณยาที่ต้องกินมากขึ้นเรื่อย ๆ  จนเต็มพิกัดที่จะสามารถกินได้ ต่อมาหมอก็บอกว่าต้อง ฉีดอินซูลินแล้วนะ

ตอนนั้นคิดว่าเป็นโรคก็รักษาหาย ไม่สบายก็กินยา แต่เวลาเป็นแผลจะหายยากมาก ไปเล่นน้ำที่จังหวัดตราดแล้วสัมผัสตัวลิ้นทะเล มันคันที่ขา ผมก็เกา เป็นแผลไม่หายแถมยังลาม ปีหนึ่งก็ไม่หาย พอจะหายเผลอไปเกา มันก็ขึ้นมาอีก จากจุดเล็กๆ จนกลายเป็นแผลประมาณสองนิ้ว ตอนนี้ดำปี๋เลย เหมือนสุภาษิตจีน ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา 

“อาการข้างเคียงของโรคคืออ้วน ตอนนั้นหนักสุด 108 กิโลกรัม เป็นคนจดจ่อเรื่องงานตลอดเวลา คิดอะไรก็ลุกขึ้นมาทำงาน สี่ทุ่ม เที่ยงคืน ลุกขึ้นมาจดๆ พอทำงานแล้วหิว ก็ออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกิน ตามใจตัวเอง ไม่ได้ห่วงร่างกายเลย คิดแต่จะใช้งานมัน 24 ชั่วโมง นอนวันละ 4-5 ชั่วโมง บางทีก็ไม่ถึง ทำงาน 7 วันเป็นเวลา 20 ปี  ผมเชื่อว่าคนเดี๋ยวนี้ที่ป่วยและดื้อคิดแบบนี้

 อั้นปัสสาวะ แต่พบว่าเป็นสโตรก

“วันที่เป็นสโตรก ไม่ได้มีอาการใดๆ มาก่อนเลย ผมว่ามันเป็นความต่อเนื่องของการไม่ดูแลตัวเองมันสะสมมานาน คืนนั้นเป็นวันศุกร์ พรุ่งนี้ต้องไปถ่ายรายการ ยังไม่ได้หาร้านที่จะถ่ายช่องยูทูปเลย ปกติจะไม่หาร้านล่วงหน้า เพราะถ้าเรานัดล่วงหน้านานๆ เช่น นัดร้านขาหมู เช้าวันนั้นตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากกินขาหมู หน้าเราก็จะไม่ได้ไง ระหว่างหาข้อมูลก็รู้สึกปวดปัสสาวะ แต่คิดว่าอั้นไว้ก่อน ทำงานเสร็จค่อยไปห้องน้ำทีเดียว

“ อั้นไว้เกือบสองชั่วโมง จนทนไม่ไหว รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ พออั้นนานๆ ก็เหมือนเบ่งสุดตัว อยู่ดีๆ รู้สึกเสียวแปลบที่ข้างหูด้านขวา  โลกสว่างหนึ่งวาบ ภายในสิบวินาทีแรก ทำไมครึ่งซีกซ้ายเป็นเหน็บยิบๆ ปากก็ชา หน้าก็ชาไปครึ่งหน้า แขนก็ชา ขาก็ไม่มีแรง ข้างขวามีแรงอยู่ก็พยายามพยุงตัวเองมานอนในห้อง โทรศัพท์เรียกน้องสาวให้ลงไปหยิบเครื่องวัดความดันของแม่มาให้หน่อย

“ความดันตอนนั้นบน 170 ล่าง 80 กว่า ไม่ได้เอะใจว่าเป็นสโตรก คิดว่าเป็นบ้านหมุน ทำงานเยอะไป อีก 15 นาทีน้องสาวมาวัดใหม่ บอกว่า..เฮีย มันขึ้นไป 180   เลยบอกน้องว่า..อีก 10 นาทีมาวัดใหม่ ปรากฏว่าคราวนี้ขึ้นไปอีกเกือบ 190  จึงให้น้องสาวโทรไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งเคยรักษาเป็นประจำ

“พยายามจะลุกไปโรงพยาบาล แต่ขาไม่มีแรง วางลงพื้นไม่ได้ เป็นเหน็บจนไม่รู้สึกอะไรเลย เลยให้น้องสาวเรียก รปภ. มาพยุง เรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาล ระหว่างทางก็รู้สึกใจเสีย สั่งเสียน้องสาวไปตลอดทาง

“หลังจากนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอะไรต่อ เพราะลืมตาไม่ขึ้น มาลืมตาตอนเช้าอีกที คุณหมอขึ้นวอร์ดมาเยี่ยม แจ้งผล MRI ว่าเจอก้อนเลือดขนาดเท่าเหรียญสิบบาทหนึ่งก้อน แสดงว่าเส้นเลือดในสมองแตก และเจอเส้นเลือดตีบอีกหลายเส้น

“การเป็นเบาหวานทำให้เส้นเลือดเสื่อมสภาพหรือไม่แข็งแรง ไขมันในเส้นเลือดก็มาจากมีน้ำตาลสะสมสูง   ตัวเร่งคือเครียดสะสมเพราะเราทำงานหนัก แถมนอนน้อย นอนตีหนึ่งตีสอง ตื่นหกโมงเช้า เหล่านี้คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เราเส้นเลือดแตกและตีบได้ ไม่แปลกใจว่าทำไมคนอายุน้อยถึงเป็นกันมากเพราะอยู่ในวัยทำงานและทำงานหนักจนไม่ดูแลตัวเอง

“ผมรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 7-10 วัน ตรวจค่าเลือด ตรวจน้ำตาล MRI อีกรอบจนมั่นใจ ก็กลับบ้าน ส่วนก้อนเลือดที่พบสามารถรักษาให้ค่อยๆ สลายได้ถ้าเราดูแลตัวเองดีและไม่มีตัวเร่งอื่น

หมดอาลัยตายอยาก

“เมื่อป่วยด้วยโรคนี้ ตอนแรกผมยังไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและการใช้ชีวิตเลย สามเดือนแรกหมดเวลาไปกับความดิ่ง นอนโซฟาชั้นล่างอยู่บ้านกับคุณแม่และน้องสาว จะใช้วอล์คเกอร์เดินไปห้องน้ำเท่านั้น นอกนั้นไม่เดินเลย ห้อยขาดูทีวี ดูมือถือ นอนร้องไห้ นอนไม่หลับ ให้แม่อุ่นกับข้าวมานั่งกินที่โซฟา

“ตอนนั้นคิดว่าเราไม่รอดแล้ว เราจะหายไหม จะใช้ชีวิตอย่างไร เราจะกลับมาเหมือนเดิมไหม เหมือนสะกดจิตตัวเองทุกคืน ฉันจะตายๆ นอนหยิกตัวเองทุกคืน ทำไมหยิกไปมันยังชาอยู่ นอนร้องไห้ทุกคืนไม่ให้แม่เห็น แต่เข้านอนเร็วขึ้น หมอบังคับให้นอนสี่ทุ่มเท่านั้น จะตื่นกี่โมงไม่รู้ แต่ต้องนอนสี่ทุ่ม นอนไม่หลับก็หลับตาอยู่อย่างนั้น แล้วตื่นขึ้นมาตีสองตีสาม ร้องไห้ หยิกตัวเอง แล้วก็หลับตา จิตตก ดิ่งมาก ดิ่งเกือบสองเดือนแรก

“หมออยากให้ออกกำลังกายวันละ 30 นาที ช่วงแรกก็ยังไม่เดินนะ ผ่านไปเกือบเดือน แม่มีอาการเข่าไม่ดี เพราะต้องลงมานอนโซฟาเบดข้างล่าง ซึ่งไม่ใช่เตียงดี ๆ  แม่ต้องใช้ไม้เท้ายกตัวตลอด เราแอบลืมตามองแม่ รู้สึกว่าทำไมเราบาปกรรมขนาดนี้ อกตัญญู ทำไมปล่อยให้แม่ลำบากขนาดนี้ เราต้องดูแลแม่สิ ทำไมแม่ต้องมาดูแลเรา เหมือนเราเป็นง่อย  ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง บ้านยังผ่อนไม่หมด รถยังผ่อนไม่หมด แม่จะอยู่ยังไง เพราะเราทำงานคนเดียวมาตลอดชีวิต น้องสาวก็ให้ลาออกจากงานมาดูแลแม่กับป๋า ทุกคนจะอยู่ยังไง ต้องกลับไปแข็งแรงให้ได้ ถ้าหมอบอกให้เดิน ลองเชื่อหมอสักตั้งก็ได้

เปลี่ยนวิธีคิด ปรับพฤติกรรม ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

“ เรื่องอาหารการกินก็เริ่มปรับจากตอนอยู่โรงพยาบาล เพราะกินอะไรไม่ลงอยู่แล้ว พอกลับบ้านอยู่บ้านก็ไม่ค่อยหิวเพราะดิ่ง  เลยค่อย ๆ ผอมลง ประกอบกับปรับอาหารเพราะไม่อยากให้เบาหวานขึ้น

“ เรื่องออกกำลังกายก็ใช้วอล์คเกอร์เดินรอบสวนสาธารณะในหมู่บ้าน เดินไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหรอกเพราะเหนื่อย เอ้า เดินบนบกไม่ไหว เดินในน้ำก็ได้ ให้น้องสาวไปนั่งเฝ้า ทำอย่างนี้ทุกวันจนติดเป็นนิสัย กลายเป็นคนตื่นเช้า ตีห้าตื่น  พอเริ่มเดินไปก็ไปเดินในหมู่บ้าน จนเริ่มเดินเองช้า ๆ ได้ เข้าฟิตเนสหมู่บ้านได้ ไปเดินลู่วิ่ง ต้องจับด้านข้าง ใช้ความเร็วช้ามากแบบก้าวขาทีละนิด

“ ช่วงแรก ๆ เดินได้ครึ่งชั่วโมง พอเริ่มไม่เหนื่อย ก็เพิ่มเป็น 35 นาที 40 นาที จนได้หนึ่งชั่วโมง กระทั่งโควิดระบาดรอบใหม่ ก็เปลี่ยนไปเดินกลางแจ้งวนรอบหมู่บ้านวันละ 5 รอบถึง 7 รอบ ตั้งแต่ตีห้าจนถึงหกโมงเช้า เพราะกลัวแดดร้อน

“  ตอนนั้นคิดว่าถ้าวันไหนไม่เดิน ฉันต้องตาย ก็เดินเช้ารอบ เย็นรอบ ครั้งละหนึ่งชั่วโมง โชคดีที่ที่ทำงานเข้าใจ ประชุมน้อย ทำงานที่บ้านเป็นหลัก ทำให้เราจะมีเวลาดูแลตัวเอง ช่วงว่างก็ไปดูต้นไม้เขียวๆ ชมนกชมสวน คุมอาหาร ไม่กินอาหารหลังหกโมงเย็น อาการหลายอย่างค่อย ๆ ดีขึ้น น้ำหนักเริ่มลง ค่าเลือดดีขึ้น ผ่านไปสองเดือนนัดเจอคุณหมอ คุณหมอบอกว่าเห็นข้างหลังจำคุณเกี้ยไม่ได้ เพราะ 4 เดือนครึ่ง น้ำหนักลดไป 25 กิโล

“ทุกวันนี้ไม่รู้สึกดิ่งแล้ว แต่ปรับความคิดว่าถ้าเป็นโรคแล้ว เราจะใช้ชีวิตอยู่กับมันยังไงให้มีความสุข ถ้าเราเศร้า มันไม่หาย อาการชายังมีอยู่ 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ยิบๆ แต่ผ่าวๆ คุณหมอบอกว่าฟื้นฟูได้ ขึ้นอยู่กับสุขภาพแต่ละคน เวลา อายุ เราเรียกร้องอะไรกลับมาไม่ได้ แต่เราจะอยู่อย่างไรให้มีความสุขล่ะ

กำลังใจก็สำคัญ

“อีกสาเหตุที่ทำให้ผมกลับมามีพลังในการชีวิตต่อก็เมื่อประกาศในช่องตัวเองว่าป่วยด้วยสโตรก ก็ได้รับกำลังใจและข้อความกลับมาเยอะมากจนตกใจ

“ มีท่านหนึ่งบอกว่าผมทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่ไม่สามารถกินได้ มีความสุขก่อนที่เขาจะไม่อยู่บนโลกนี้ คนป่วยมะเร็งจะไม่อยากอาหารอะไรเลย แต่พอดูช่องผม ทำให้เขาอยากอาหาร มีความสุขกับการให้พี่ ให้ลูกพาไปกินตามรอย แม้จะกินได้แค่สองสามคำ แต่ก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่เหลือ หรือบางคนผ่าตัดกระเพาะมา กินอะไรไม่ได้หกเดือน เขาบอกจะรีบหายนะ จะได้ไปกินตามบ้าง

“ล่าสุดไปเจอแฟนคลับที่มีคุณแม่ป่วยด้วยมะเร็ง คุณแม่รู้จักพี่เกี้ย เขาเขียนไดอารี่ถึงพี่ อยากไปกินตามพี่ แต่กินยำไม่ได้เพราะเป็นมะเร็ง จนวันสุดท้ายของคุณแม่ เขาขอมือถือหนู เปิดดูช่องพี่เกี้ย แล้วคุณแม่ก็จากไปขณะดูพี่อยู่ เรารู้สึกว่าไม่ได้เป็นคนเก่ง ไม่ได้มีค่ากับใครขนาดนั้น แต่อย่างน้อยถ้าทำให้แค่คนเดียวมีความสุข เราก็มีความสุขมากแล้ว

นั่นทำให้ผมยิ่งตั้งใจว่าชีวิตส่วนตัวเราต้องมีประโยชน์ ในขณะเดียวกัน ต้องทำให้แม่มีความสุขที่สุดจนกว่าแม่จะไม่อยู่ อยากบอกทุกคนให้ใส่ใจสุขภาพ ใช้ชีวิตเพื่อให้มีความสุขและสบายใจบ้าง ไม่ต้องกดดันจนชีวิตเราไม่มีความสุข แต่ต้องอยู่ในจุดที่พอดี”

คงเห็นแล้วว่าเบาหวานไม่ใช่เรื่องเล็กเลย   ดังนั้นป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่ามารักษาในภายหลัง  แต่ถ้าเป็นเบาหวานไปแล้ว

ยังไม่สายเกินที่จะหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองค่ะ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.