การพลัดพรากจากสิ่งที่รักอาจทำให้หลายคนจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ แต่สำหรับบางคน เวลาทุกนาทีมีค่าแม้ว่าจะเสียคนหนึ่งไป แต่ก็ยังมีอีกหลายชีวิตให้ต้องดูแล
หลังจากสามีของส้มนอนพักที่โรงพยาบาลเพราะมีอาการไอติดต่อกันมาเป็นอาทิตย์ บ่ายวันรุ่งขึ้นนั้นเอง พี่ชายและหลานของสามีซึ่งไปเยี่ยมดูอาการก็โทร.มาบอกส้มซึ่งกำลังอัดรายการ Sweet Story by Som ว่า “น้าโอ๋ไม่หายใจ หมอปั๊มหัวใจเป็นชั่วโมงแล้ว” ได้ยินอย่างนั้น ส้มทิ้งกองถ่ายทันทีมือไม้สั่น ทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งก็คิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไรมากเพราะตอนเช้าก็ยังดี ๆ อยู่เลย แต่อีกใจก็นึกกลัวจนแทบไม่อยากจินตนาการอะไรทั้งสิ้น วันนั้นน้องเขยช่วยขับรถไปโรงพยาบาล โดยมี น้องดา (ดาริกา จาโกต้า อดีตคู่หมั้นพระเจสัน ยัง) ซึ่งสนิทสนมกับส้มเหมือนเป็นน้องสาวอีกคนหนึ่งและลูกสองคนแรกนั่งรถไปด้วยกัน
นาทีแห่งการจากพราก
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทันทีที่เปิดผ้าม่านไปเห็นหน้าสามีส้มไม่เชื่อว่านี่คือหน้าตาของคนป่วย เขาหลับตาพริ้มเหมือนคนนอนหลับธรรมดา คุณหมอบอกว่า ช่วยปั๊มหัวใจของสามีมาชั่วโมงครึ่งแล้ว แต่สัญญาณชีพก็ยังไม่กลับมา
ส้มเดินเข้าไปกอดสามี และขอร้องให้คุณหมอปั๊มหัวใจเขาอีกสักครั้ง คุณหมอปั๊มหัวใจของสามีอีก 10 นาที แต่ละนาทีที่ผ่านไปมันบีบหัวใจของส้มอย่างที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรตอบสนอง สามีจากไปอย่างสงบก่อนที่เราจะไปถึงด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
เมื่อรู้แน่ว่าไม่สามารถยื้อชีวิตของสามีกลับมาได้แล้ว ส้มก็ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เตียงของเขา…มันช็อกจนบรรยายไม่ถูกตัวเบาหวิว สมองมึนงง ไม่ได้กรีดร้องหรือปล่อยโฮออกมาใจอยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด ตอนนั้นส้มทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่มีน้องดา พี่ ๆ น้อง ๆ เป็นธุระให้ทุกอย่างโดยเฉพาะน้องดาซึ่งปฏิบัติธรรมมาระยะหนึ่งแล้ว วินาทีนั้นเธอพูดเตือนสติส้มว่า “พี่ส้มตั้งสติก่อนนะคะ พี่ส้มบอกให้พี่เขาไปโดยไม่ต้องเป็นห่วงอะไรนะ เพราะจิตดวงสุดท้ายของเขายังรับรู้อยู่”
แต่ ณ ตอนนั้นส้มกลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวน้องดาจึงเป็นคนทำหน้าที่นี้แทน พร้อมกันนั้นเธอก็หันไปบอกลูก ๆ ของส้มซึ่งรักและเชื่อฟังน้องดามากว่า “เด็ก ๆ อย่าร้องไห้นะคะ เดี๋ยวคุณพ่อไม่ได้ไปสวรรค์” ยิ่งไปกว่านั้น น้องดายังโทร.ไปหา คุณแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เพื่อให้ท่านช่วยสวดมนต์ให้สามีของส้ม ก่อนจะโทร.ไปบอกครอบครัวของเธอที่เชียงรายให้ทุกคนนั่งสมาธิพร้อมกัน เพื่อช่วยส่งดวงวิญญาณของเขาให้ไปสู่สุคติ
ในขณะที่เวลานาทีแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่เวลานาทีแห่งความทุกข์กลับตรงกันข้าม มันอ้อยอิ่งเหมือนอยากให้เรารับรู้ทุกอย่างให้ชัดเจนที่สุด หลังจากอาบน้ำ ใส่ชุดสูทให้สามีเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เข็นศพของเขาไปเก็บในห้องดับจิต ส้มก้มลงกอด หอมแก้มเขา และจุดธูปบอกเขาว่าพรุ่งนี้พวกเราจะมารับ เพื่อนำศพไปจัดพิธีสวดพระอภิธรรมที่วัดต่อไป
เราจะสู้ไปด้วยกันนับตั้งแต่วินาทีนี้
ในวันนั้น หากมองจากภาพภายนอก เหมือนส้มจะทำใจได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่กลับสงบนิ่งยิ่งกว่าที่เคย แต่ตกดึกคืนนั้น เมื่อได้อยู่เงียบ ๆ กับลูก ๆแล้วมองไปเห็นลูกทั้งสามคนนอนเรียงกัน นาทีนั้นก้อนสะอื้นก็แล่นขึ้นมาจุกอกจนต้องปล่อยโฮออกมาคนเดียว ส้มไม่ได้สงสารตัวเอง แต่สงสารลูก รู้สึกว่าพวกเขายังเล็กอยู่ ลูกสาวคนโต (มีน่า - ชนันชิดา) อายุ 12 ขวบ ลูกชายคนกลาง(เมกก้า - บูรกานต์) อายุ 11 ขวบ ส่วนลูกชายคนเล็ก (แมกม่า -ชนาชา) อายุแค่ 6 ขวบเท่านั้น แต่ก็ต้องขาดพ่อไปอย่างกะทันหัน ที่สำคัญ ลูก ๆ รักคุณพ่อของเขามาก เพราะสามีส้มมักจะพาลูก ๆ ไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าด้วยกัน โดยเฉพาะลูกสาวจะสนิทกับคุณพ่อมาก
ส้มจัดพิธีสวดพระอภิธรรมศพให้สามี 3 วัน มีเพื่อน ๆพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ทราบข่าวจากสื่อมากันเยอะมาก ส้มเห็นแล้วตื้นตันใจจนน้ำตาไหล ยิ่งใครเดินเข้ามาปลอบหรือพูดถึงสามีเราก็จะยิ่งร้องไห้ จนตอนหลังเพื่อน ๆ เริ่มรู้ พวกเขาก็จะหาเรื่องอื่นมาพูดให้สบายใจแทน
แม้จะทำใจได้ยากที่ต้องเสียผู้นำครอบครัวไป แต่ส้มก็ไม่สามารถที่จะจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ได้ เพราประสบการณ์ชีวิตทำให้รู้ว่า ถ้าคนเป็นแม่นั่งร้องไห้เสียใจแทบล้มประดาตายแล้วลูกจะอยู่อย่างไร จะกินอะไร จะไปโรงเรียนอย่างไร ใครจะอบรมสั่งสอนเขา ส้มไม่ได้คิดถึงชีวิตของตัวเองแค่วันนี้แต่คิดถึงพรุ่งนี้ คิดว่าจะพาพวกเขาเดินไปทางไหน ส้มไม่ใช่คนเก่ง ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในอนาคตจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน รู้แต่เพียงว่าวันนี้จะไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปแต่จะสู้เพื่อให้ลูกรู้ว่าขนาดแม่ยังสู้เลย ดังนั้นลูกก็ต้องไม่ท้อถอย เราต้องสู้เป็นทีมเดียวกันตั้งแต่วินาทีนี้ ส้มเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไป “ตามปาก” ของเรา ถ้าเราบอกตัวเองว่ารอดเราก็จะรอด
ที่สำคัญคือ ส้มโชคดีที่มีครอบครัวที่ดี มีคุณพ่อคุณแม่ที่รักและเข้าใจ มีเพื่อน ๆ พี่น้องที่ดี และมีลูกที่น่ารัก คืนแรกที่สวดพระอภิธรรมศพ ลูกชายคนเล็กเดินเข้ามาบอกว่าเขาอยากบวชให้คุณพ่อ ส้มกับคุณยายของเขาฟังแล้วซึ้งจนน้ำตาไหลเขาบอกว่า “อยากบวช คุณพ่อจะได้ไปสวรรค์” ในวันเผาศพสามี ภาพลูกชายคนเล็กเดินถือสายสิญจน์จูงโลงศพพ่อยังติดอยู่ในความทรงจำ หน้าลูกสงบนิ่ง ไม่ร้องไห้แม้แต่นิดเดียวและเขาก็ไม่อยากให้ใครร้องไห้ด้วย เพราะกลัวว่าคุณพ่อจะไม่ได้ไปสวรรค์
ส้มไม่ใช่คนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่น่าแปลกที่คนใกล้ตัวแทบทุกคนอยู่ในเส้นทางธรรม ทั้งนั่งสมาธิ สวดมนต์ และหาเวลาว่างไปปฏิบัติธรรมกันแทบทั้งนั้น ส้มเชื่อว่าธรรมะคงจะดึงดูดให้คนแบบเดียวกันได้มาพบเจอและใช้ชีวิตร่วมกัน และคนเหล่านี้ก็เป็นเหมือนกัลยาณมิตรที่จะช่วยประคับประคองจิตใจของเราเวลาพบเจออุปสรรคปัญหา
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ส้มคิดว่าถ้าเราไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ใครก็ช่วยเราไม่ได้ ดังนั้น แม้ส้มจะไม่ได้รู้ธรรมะมากนัก แต่เชื่อว่าพื้นฐานที่ดีในวัยเด็ก ความรักจากครอบครัวการได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา บวกกับจิตที่เป็นสมาธิ และการชอบอ่านหนังสือทุกประเภทรวมถึงหนังสือธรรมะ ทำให้สามารถผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ ความสูญเสียในครั้งนั้นทำให้ส้มมองเห็นว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน และเรื่องสุขภาพก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุใช่ว่าคนอายุเยอะเท่านั้นที่เสี่ยงต่อความเจ็บป่วยหรือความตาย คนอายุน้อย ๆ ก็ป่วยได้เช่นเดียวกัน และคำเดียวที่ใช้ได้ดีที่สุดคือ “ไม่ประมาท” ไม่ประมาทว่าอายุยังน้อย ไม่ประมาทว่ายังแข็งแรงดี ที่สำคัญต้องไม่ประมาทในการใช้ชีวิตทั้งการดูแลตัวเองและคนรอบข้างอย่าคิดว่าเรายังมีเวลาอีกมาก เพราะความจริงแล้วเราอาจมีเวลาไม่มากอย่างที่คิดก็เป็นได้
แม้ความตายจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่วันหนึ่งข้างหน้าหากเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวที่คุณรัก ส้มเชื่อว่าการพาตัวเองไปอยู่ใกล้ธรรมะและหมั่นฝึกฝนตัวเองเสียตั้งแต่วันนี้ จะทำให้คุณรับมือกับมันได้ดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ