คารา พลสิทธิ์

สุขสงบ…แต่ไม่โดดเดี่ยวในแบบ คารา พลสิทธิ์ (1)

ในยุคหนึ่งชื่อของคารา  พลสิทธิ์  เป็นที่รู้จักในฐานะของนางแบบลูกครึ่งไทย - นิวซีแลนด์ชื่อดังซึ่งการันตีความฮ็อตได้จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าผ่านหน้าจอโทรทัศน์มากมายไม่ต่างจากนักแสดงชื่อดังยุคนี้เลยก็ว่าได้

หลังจากนั้นเธอก็เป็นที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาในฐานะพิธีกรรายการ ฟุดฟิดฟอไฟ  ฒ.ไม่เฒ่า  เช้านี้ที่ช่อง 5  รวมถึงเคยได้รับรางวัลพิธีกรดีเด่น  รางวัลโทรทัศน์ทองคำในปี 2544  จากรายการฒ.ไม่เฒ่า  กับรางวัลพิธีกรยอดเยี่ยมจาก Elle Style Awards ส่วนผลงานที่ทำให้เธอเป็นที่จดจำเป็นอย่างมากคือบท คุณหญิงกีรติ ในภาพยนตร์เรื่อง ข้างหลังภาพ  ซึ่งนอกจากจะโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญมาจนถึงทุกวันนี้แล้ว  เธอก็ยังสามารถคว้ารางวัลพระสุรัสวดี สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปี 2544  จากการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องเดียวในชีวิตมาได้อีกด้วย

ใคร ๆ อาจคิดว่าชีวิตของนางแบบพิธีกรคนนี้รุ่งโรจน์ดุจดาวค้างฟ้า  แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอต้องเผชิญกับห้วงเวลาที่ยากลำบาก  ทั้งเรื่องราวส่วนตัวและการงานที่ไม่ได้เป็นอย่างใจหวังแต่เธอผ่านมันมาได้อย่างไรนั้น  น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อหนุ่มไทยเจอกับสาวนิวซีแลนด์  

พี่อร  แม่บ้านที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ดิฉันอายุ 2 ขวบเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อของดิฉันเป็นหนุ่มไทยหน้าตาหล่อเหลา  ท่านทำงานเป็นพนักงานฝ่ายตั๋วประจำสายการบิน  ส่วนคุณแม่เป็นเลขาฯขององค์กร SEATO  งานของท่านเกี่ยวกับการต่อต้านการคุกคามของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงทำให้ท่านต้องย้ายตามหัวหน้ามาอยู่ที่ประเทศไทย

ช่วงแรกเมื่อตกลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันคุณพ่อกับคุณแม่ก็ตั้งใจว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นิวซีแลนด์บ้านเกิดของคุณแม่  แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด  เพราะชีวิตที่นิวซีแลนด์ค่อนข้างเงียบซึ่งขัดกับนิสัยของคุณพ่อที่เป็นหนุ่มเจ้าสังคม ชอบโยนโบว์ลิ่ง  เล่นหมากรุก  และทำกิจกรรมนอกบ้าน

เมื่อไปอยู่นิวซีแลนด์  คุณพ่อต้องเปลี่ยนอาชีพไปเป็นช่างทำโซฟา  แต่ทำได้แค่ปีกว่า ๆ ท่านก็ตัดสินใจพาครอบครัวย้ายกลับมาประเทศไทย  ในขณะที่ดิฉันอายุได้ราว 6 เดือน  โดยคุณพ่อกลับมาทำงานสายการบินเหมือนเดิม  ส่วนคุณแม่ทำงานเป็นเลขาฯของผู้จัดการโรงแรมเพรสซิเดนท์  หลังจากนั้นไม่นานคุณแม่ก็คลอดน้องชายคนเดียวคือ “สินติ” ที่นี่

พอดิฉันอายุได้ 15 ปี  คุณพ่อคุณแม่ก็ส่งไปอยู่ที่นิวซีแลนด์กับคุณตาและภรรยาใหม่ของท่าน (คุณยายเพิ่งเสียไปค่ะ)  อยู่ที่นั่น ดิฉันต้องปรับตัวมากมาย ทั้งอากาศ  การทำกิจกรรมต่าง ๆ  แต่สิ่งดี ๆที่ได้ติดตัวกลับมาคือนิสัยรักการอ่าน  เพราะภรรยาใหม่ของคุณตาเป็นบรรณารักษ์  ท่านจึงมักจะนำหนังสือมาให้ดิฉันอ่านเสมอ

ดิฉันอยู่ที่นิวซีแลนด์ได้แค่ 2 ปี  คุณแม่ก็แยกทางกับคุณพ่อและพาน้องชายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ออสเตรเลีย  ดิฉันจึงขอย้ายตามไปด้วยและเรียนหนังสือที่นั่นจนจบไฮสกูล  หลังจากนั้นก็สอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยด้านการเกษตร  แต่เรียนได้ปีเดียวดิฉันก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ชอบ  พอดีเพื่อนของคุณแม่เป็นช่างภาพ  เลยชักชวนให้เป็นนางแบบ  ที่สุดจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย  เบนเข็มสู่ชีวิตนางแบบแบบเต็มตัว

จากเด็กขี้อายสู่นางแบบเต็มตัว  

ความจริงแล้วดิฉันเป็นเด็กที่ขี้อายมาก  ไม่เคยคิดฝันว่าจะทำอาชีพนี้  แต่ด้วยความที่เบื่อการเรียน  เลยอยากหาอะไรทำ  ปรึกษาคุณแม่แล้วท่านก็เห็นดีด้วย  หลังจากนั้นก็มีงานถ่ายแบบ  ถ่ายโฆษณาที่ประเทศออสเตรเลียอยู่เรื่อย ๆ  จนวันหนึ่งเมื่อกลับมาเยี่ยมคุณพ่อที่ประเทศไทย  ชีวิตของดิฉันก็พบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง

ตอนนั้นดิฉันอายุ 20 ปี  กลับมาเยี่ยมคุณพ่อได้ไม่กี่วันก็ได้รับการชักชวนให้ถ่ายปกนิตยสาร ลลนา  ปรากฏว่ากระแสตอบรับดีมาก  เพราะยุคนั้นลูกครึ่งยังมีน้อย  เมื่อเห็นว่าการเป็นนางแบบที่ประเทศไทยมีแววรุ่ง  ดิฉันก็ตัดสินใจทำงานที่นี่โดยไม่ได้ถามความเห็นของคุณพ่อแม้แต่น้อย  ท่านโกรธดิฉันมาก  เพราะอยากให้กลับไปเรียนมหาวิทยาลัยมากกว่า  แต่ด้วยความที่ตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก  ดิฉันเลยไม่ฟังความคิดเห็นของคุณพ่อ

อาชีพนางแบบในยุคนั้น  แม้ว่าจะได้เงินน้อยกว่ายุคนี้มากแต่ก็เพียงพอกับค่าครองชีพ  เพราะดิฉันมีรายได้ประจำ  มีงานเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ  จากที่คุณพ่อไม่เห็นด้วยในตอนแรก  เมื่อเห็นว่าดิฉันสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้และเป็นที่ยอมรับในสังคมก็เริ่มเห็นดีด้วย  ถึงขนาดตัดภาพดิฉันตามหน้านิตยสารมาเก็บไว้

แต่ชีวิตนางแบบไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป  เพราะหลังจากเป็นนางแบบที่เมืองไทยได้ปีเดียว  ดิฉันก็ตัดสินใจบินไปแคสติ้งงานที่อิตาลี  ชีวิตที่นั่นลำบากมาก  ต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวจริง ๆ

ดิฉันบินไปถึงอิตาลีวันเสาร์ซึ่งเอเจนซี่ปิดทำการ  ต้องไปหาโรงแรมถูก ๆ นอน  พอวันจันทร์ติดต่อเอเจนซี่ได้ก็ได้ไปพักกับนางแบบชาวอเมริกันในอพาร์ตเมนต์ที่เอเจนซี่เช่าไว้ให้  แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับภาษาและสถานที่  หลายงานหลงทิศหลงทางจนไปแคสต์ไม่ทัน  แต่บางงานเดินยังไม่ทันถึงออฟฟิศ  เขาชะโงกหน้ามาดูทางหน้าต่าง  เห็นหน้าดิฉันแล้วก็เบ้ปากไม่ชอบ  เพราะยุคนั้นนางแบบเอเชียยังไม่เป็นที่นิยม  ดิฉันอยู่ได้ไม่ถึงเดือน  เมื่อเห็นว่าไม่รุ่งดิฉันก็ตัดสินใจกลับ

แต่หลังจากนั้นไม่นาน  โชคก็เป็นของดิฉันบ้าง  คราวนี้มีโอกาสได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ที่สิงคโปร์  ซึ่งมีงานป้อนให้ตลอดทั้งเดินแบบ  ถ่ายแบบ  ถ่ายแค็ตตาล็อก  รวมถึงได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของห้าง Studio เป็นเวลา 3 ปี  จากนั้นก็ย้ายไปทำงานที่ญี่ปุ่น ทั้งเดินแบบ  ถ่ายโปสเตอร์ 2 เดือน  โดยเอเจนซี่ที่นั่นการันตีรายได้ต่อเดือนอย่างน้อย 2 แสนบาท

ด้วยความที่ค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นค่อนข้างสูง  ค่าเช่าที่พักที่ว่าถูกแล้วก็ปาเข้าไปเดือนละ 5 หมื่นบาท  ส่วนเงินที่เหลือส่วนใหญ่หมดไปกับการซื้อของเก่าเก็บสะสม  เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ชอบซื้อของเก่ามาก  ถึงขนาดเคยเปิดร้านขายของเก่า  ทำให้ดิฉันติดนิสัยนี้มาด้วย

ดิฉันไม่รู้เลยว่าการไปญี่ปุ่นครั้งนั้นจะเปลี่ยนชีวิตรักของตัวเองอย่างไม่มีวันหวนคืน  เพราะเมื่อกลับมาทำงานเดินแบบต่อที่ประเทศไทย  แฟนหนุ่มสจ๊วร์ดซึ่งเป็นอดีตนายแบบที่คบหาดูใจกันมานานนับปีก็เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป  จนทำให้ดิฉันต้องตัดสินใจทำบางอย่างทั้งน้ำตา

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.