ในยุคหนึ่งชื่อของคารา พลสิทธิ์ เป็นที่รู้จักในฐานะของนางแบบลูกครึ่งไทย - นิวซีแลนด์ชื่อดังซึ่งการันตีความฮ็อตได้จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าผ่านหน้าจอโทรทัศน์มากมายไม่ต่างจากนักแสดงชื่อดังยุคนี้เลยก็ว่าได้
หลังจากนั้นเธอก็เป็นที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาในฐานะพิธีกรรายการ ฟุดฟิดฟอไฟ ฒ.ไม่เฒ่า เช้านี้ที่ช่อง 5 รวมถึงเคยได้รับรางวัลพิธีกรดีเด่น รางวัลโทรทัศน์ทองคำในปี 2544 จากรายการฒ.ไม่เฒ่า กับรางวัลพิธีกรยอดเยี่ยมจาก Elle Style Awards ส่วนผลงานที่ทำให้เธอเป็นที่จดจำเป็นอย่างมากคือบท คุณหญิงกีรติ ในภาพยนตร์เรื่อง ข้างหลังภาพ ซึ่งนอกจากจะโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญมาจนถึงทุกวันนี้แล้ว เธอก็ยังสามารถคว้ารางวัลพระสุรัสวดี สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปี 2544 จากการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องเดียวในชีวิตมาได้อีกด้วย
ใคร ๆ อาจคิดว่าชีวิตของนางแบบพิธีกรคนนี้รุ่งโรจน์ดุจดาวค้างฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอต้องเผชิญกับห้วงเวลาที่ยากลำบาก ทั้งเรื่องราวส่วนตัวและการงานที่ไม่ได้เป็นอย่างใจหวังแต่เธอผ่านมันมาได้อย่างไรนั้น น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อหนุ่มไทยเจอกับสาวนิวซีแลนด์
พี่อร แม่บ้านที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ดิฉันอายุ 2 ขวบเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อของดิฉันเป็นหนุ่มไทยหน้าตาหล่อเหลา ท่านทำงานเป็นพนักงานฝ่ายตั๋วประจำสายการบิน ส่วนคุณแม่เป็นเลขาฯขององค์กร SEATO งานของท่านเกี่ยวกับการต่อต้านการคุกคามของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงทำให้ท่านต้องย้ายตามหัวหน้ามาอยู่ที่ประเทศไทย
ช่วงแรกเมื่อตกลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันคุณพ่อกับคุณแม่ก็ตั้งใจว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นิวซีแลนด์บ้านเกิดของคุณแม่ แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะชีวิตที่นิวซีแลนด์ค่อนข้างเงียบซึ่งขัดกับนิสัยของคุณพ่อที่เป็นหนุ่มเจ้าสังคม ชอบโยนโบว์ลิ่ง เล่นหมากรุก และทำกิจกรรมนอกบ้าน
เมื่อไปอยู่นิวซีแลนด์ คุณพ่อต้องเปลี่ยนอาชีพไปเป็นช่างทำโซฟา แต่ทำได้แค่ปีกว่า ๆ ท่านก็ตัดสินใจพาครอบครัวย้ายกลับมาประเทศไทย ในขณะที่ดิฉันอายุได้ราว 6 เดือน โดยคุณพ่อกลับมาทำงานสายการบินเหมือนเดิม ส่วนคุณแม่ทำงานเป็นเลขาฯของผู้จัดการโรงแรมเพรสซิเดนท์ หลังจากนั้นไม่นานคุณแม่ก็คลอดน้องชายคนเดียวคือ “สินติ” ที่นี่
พอดิฉันอายุได้ 15 ปี คุณพ่อคุณแม่ก็ส่งไปอยู่ที่นิวซีแลนด์กับคุณตาและภรรยาใหม่ของท่าน (คุณยายเพิ่งเสียไปค่ะ) อยู่ที่นั่น ดิฉันต้องปรับตัวมากมาย ทั้งอากาศ การทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่สิ่งดี ๆที่ได้ติดตัวกลับมาคือนิสัยรักการอ่าน เพราะภรรยาใหม่ของคุณตาเป็นบรรณารักษ์ ท่านจึงมักจะนำหนังสือมาให้ดิฉันอ่านเสมอ
ดิฉันอยู่ที่นิวซีแลนด์ได้แค่ 2 ปี คุณแม่ก็แยกทางกับคุณพ่อและพาน้องชายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ออสเตรเลีย ดิฉันจึงขอย้ายตามไปด้วยและเรียนหนังสือที่นั่นจนจบไฮสกูล หลังจากนั้นก็สอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยด้านการเกษตร แต่เรียนได้ปีเดียวดิฉันก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ชอบ พอดีเพื่อนของคุณแม่เป็นช่างภาพ เลยชักชวนให้เป็นนางแบบ ที่สุดจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เบนเข็มสู่ชีวิตนางแบบแบบเต็มตัว
จากเด็กขี้อายสู่นางแบบเต็มตัว
ความจริงแล้วดิฉันเป็นเด็กที่ขี้อายมาก ไม่เคยคิดฝันว่าจะทำอาชีพนี้ แต่ด้วยความที่เบื่อการเรียน เลยอยากหาอะไรทำ ปรึกษาคุณแม่แล้วท่านก็เห็นดีด้วย หลังจากนั้นก็มีงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาที่ประเทศออสเตรเลียอยู่เรื่อย ๆ จนวันหนึ่งเมื่อกลับมาเยี่ยมคุณพ่อที่ประเทศไทย ชีวิตของดิฉันก็พบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
ตอนนั้นดิฉันอายุ 20 ปี กลับมาเยี่ยมคุณพ่อได้ไม่กี่วันก็ได้รับการชักชวนให้ถ่ายปกนิตยสาร ลลนา ปรากฏว่ากระแสตอบรับดีมาก เพราะยุคนั้นลูกครึ่งยังมีน้อย เมื่อเห็นว่าการเป็นนางแบบที่ประเทศไทยมีแววรุ่ง ดิฉันก็ตัดสินใจทำงานที่นี่โดยไม่ได้ถามความเห็นของคุณพ่อแม้แต่น้อย ท่านโกรธดิฉันมาก เพราะอยากให้กลับไปเรียนมหาวิทยาลัยมากกว่า แต่ด้วยความที่ตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ดิฉันเลยไม่ฟังความคิดเห็นของคุณพ่อ
อาชีพนางแบบในยุคนั้น แม้ว่าจะได้เงินน้อยกว่ายุคนี้มากแต่ก็เพียงพอกับค่าครองชีพ เพราะดิฉันมีรายได้ประจำ มีงานเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ จากที่คุณพ่อไม่เห็นด้วยในตอนแรก เมื่อเห็นว่าดิฉันสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้และเป็นที่ยอมรับในสังคมก็เริ่มเห็นดีด้วย ถึงขนาดตัดภาพดิฉันตามหน้านิตยสารมาเก็บไว้
แต่ชีวิตนางแบบไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะหลังจากเป็นนางแบบที่เมืองไทยได้ปีเดียว ดิฉันก็ตัดสินใจบินไปแคสติ้งงานที่อิตาลี ชีวิตที่นั่นลำบากมาก ต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวจริง ๆ
ดิฉันบินไปถึงอิตาลีวันเสาร์ซึ่งเอเจนซี่ปิดทำการ ต้องไปหาโรงแรมถูก ๆ นอน พอวันจันทร์ติดต่อเอเจนซี่ได้ก็ได้ไปพักกับนางแบบชาวอเมริกันในอพาร์ตเมนต์ที่เอเจนซี่เช่าไว้ให้ แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับภาษาและสถานที่ หลายงานหลงทิศหลงทางจนไปแคสต์ไม่ทัน แต่บางงานเดินยังไม่ทันถึงออฟฟิศ เขาชะโงกหน้ามาดูทางหน้าต่าง เห็นหน้าดิฉันแล้วก็เบ้ปากไม่ชอบ เพราะยุคนั้นนางแบบเอเชียยังไม่เป็นที่นิยม ดิฉันอยู่ได้ไม่ถึงเดือน เมื่อเห็นว่าไม่รุ่งดิฉันก็ตัดสินใจกลับ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน โชคก็เป็นของดิฉันบ้าง คราวนี้มีโอกาสได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ที่สิงคโปร์ ซึ่งมีงานป้อนให้ตลอดทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ ถ่ายแค็ตตาล็อก รวมถึงได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของห้าง Studio เป็นเวลา 3 ปี จากนั้นก็ย้ายไปทำงานที่ญี่ปุ่น ทั้งเดินแบบ ถ่ายโปสเตอร์ 2 เดือน โดยเอเจนซี่ที่นั่นการันตีรายได้ต่อเดือนอย่างน้อย 2 แสนบาท
ด้วยความที่ค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นค่อนข้างสูง ค่าเช่าที่พักที่ว่าถูกแล้วก็ปาเข้าไปเดือนละ 5 หมื่นบาท ส่วนเงินที่เหลือส่วนใหญ่หมดไปกับการซื้อของเก่าเก็บสะสม เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ชอบซื้อของเก่ามาก ถึงขนาดเคยเปิดร้านขายของเก่า ทำให้ดิฉันติดนิสัยนี้มาด้วย
ดิฉันไม่รู้เลยว่าการไปญี่ปุ่นครั้งนั้นจะเปลี่ยนชีวิตรักของตัวเองอย่างไม่มีวันหวนคืน เพราะเมื่อกลับมาทำงานเดินแบบต่อที่ประเทศไทย แฟนหนุ่มสจ๊วร์ดซึ่งเป็นอดีตนายแบบที่คบหาดูใจกันมานานนับปีก็เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จนทำให้ดิฉันต้องตัดสินใจทำบางอย่างทั้งน้ำตา
(โปรดติดตามตอนต่อไป)