ชีวิตที่เหลือเพียงตัวและหัวใจ ของ สีดา พัวพิมล
หลังจากมีเรื่องฟ้องร้องคดีฉ้อโกงเมื่อสามสี่ปีก่อน ชื่อ สีดา พัวพิมล นักแสดงหญิงเจ้าบทบาทคนหนึ่งก็หายไปจากวงการบันเทิงไทย ปัจจุบันเธออยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า “สิ้นเนื้อประดาตัว”
แม้เธอจะผ่านความปวดร้าวจากเรื่องร้าย ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตนับครั้งไม่ถ้วนแต่กลับยอมเปิดเผยเรื่องราวชีวิตอย่างอารมณ์ดี แม้จะมีบางช่วงบางตอนที่เธอกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อพูดถึงสิ่งที่ต้องพบเจอแต่วันนี้เธอยังคงยืนหยัดสู้กับชีวิตที่ (เธอเรียกว่า) “ตกต่ำจนมิดธรณี” ด้วยตัวและหัวใจที่เหลืออยู่
เส้นทางสู่วงการบันเทิง
ฉันเติบโตมาด้วยความรักของแม่และพี่ชายทั้งสองคน ส่วนพ่อเลิกรากับแม่ตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด แม้ภายหลังพ่อจะขอฉันไปเลี้ยงเพราะท่านมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีกว่าแม่มากแต่แม่ไม่ยอมและยืนหยัดเลี้ยงลูกทุกคนด้วยตัวเอง ทั้งยังสั่งไม่ให้เราสามคนพี่น้องไปขอความช่วยเหลือจากพ่อเด็ดขาด
แม่เป็นคนเข้มงวดและเจ้าระเบียบมากอาจเป็นเพราะท่านเคยอยู่ในรั้วในวังมาตั้งแต่เด็ก จึงเลี้ยงดูสั่งสอนลูก ๆ ให้อยู่ในกรอบถึงอย่างนั้นฉันก็ยังแอบเกเร หนีโรงเรียนตามประสาเด็กวัยรุ่นติดเพื่อนบ่อย ๆ เมื่อครูโทร.ไปรายงานแม่ว่าฉันหนีเรียน ฉันจึงถูกดุและโดนทำโทษเสมอ
แม้จะแอบเกเรบ้าง แต่ฉันก็เรียนจบปริญญาตรีจากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ใจจริงอยากเป็นแอร์โฮสเตสตั้งแต่สมัยเรียน แต่ชีวิตพลิกผันกลายมาเป็นเซลขายโฆษณา เพราะเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งชักชวน แม้ตอนแรกจะไม่ชอบงานนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่จนเจ้านายไว้ใจ
หลังจากทำงานไประยะหนึ่ง ฉันก็พบว่าโดนโกงค่าคอมมิชชั่นไปถึง 60,000 บาทเมื่อ 40 ปีก่อนนับเป็นเงินจำนวนมากทีเดียวฉันจึงย้ายไปเป็นเซลขายโฆษณาที่นิตยสารดิฉัน และทำให้รู้จักกับ พี่อัญ - อัญธิกากองแก้ว เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ วันหนึ่งพี่อัญซึ่งสนิทกับ คุณเปี๊ยก – พิศาล อัครเศรณีถามว่า
“สีดาสนใจเล่นหนังไหม ตอนนี้พี่เปี๊ยกกำลังหานางเอกหนังอยู่”
“หนูจะเล่นได้หรือพี่”
ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนสวย จึงไม่มั่นใจว่าจะเป็นดาราภาพยนตร์ได้ แต่สุดท้ายฉันก็ตอบตกลงเพราะอยากลองหางานใหม่ ๆ หลังจากไปเทสต์หน้ากล้องก็ได้เล่นภาพยนตร์เรื่องแรกคือ เลือดทมิฬ รับบทเป็นนางเอกคู่กับเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ คุณเปี๊ยก - พิศาลเป็นพระเอกและกำกับการแสดงเอง เมื่อภาพยนตร์ออกฉาย ฉันก็เริ่มเป็นที่รู้จักและได้เล่นภาพยนตร์ต่อมาอีกหลายเรื่อง
การทำงานในวงการบันเทิงสมัยนั้นทุกคนในกองถ่ายทำงานกันอย่างสนุกสนานและเป็นมืออาชีพ เรื่องหนึ่งที่ทุกคนเป๊ะมากคือการตรงต่อเวลา ทีมงานและนักแสดงทุกคนจะมาทำงานก่อนเวลาเสมอ ซึ่งเป็นนิสัยการทำงานที่ติดตัวฉันมาตลอด
ทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว
เมื่อมีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์มากขึ้นฉันขยับมาเล่นละครโทรทัศน์ของ คุณอารีย์นักดนตรี ผู้จัดละครชื่อดังในสมัยนั้น ซึ่งถือว่าเป็นผู้ปั้นฉันในวงการละครโทรทัศน์เรื่องแรกที่เล่นคือ ลางรัก เป็นนางเอกคู่กับภูษิต อภิมันต์ ในยุคนั้นละครโทรทัศน์ยังเป็นละครบอกบท นักแสดงไม่ต้องท่องจำบทจะมีคนบอกบทพูดอยู่ข้าง ๆ หลังจากนั้นก็รับเล่นละครโทรทัศน์เรื่อยมาจนไม่ได้กลับไปเล่นภาพยนตร์อีกเลย
แม้ชีวิตในวงการบันเทิงจะไปได้ดี แต่ก็ยังไม่ทิ้งงานประจำ ช่วงที่เล่นละคร ฉันย้ายมาทำงานในตำแหน่งบริหารของบริษัทที่ผลิตนิตยสาร กินรี นิตยสารประจำเที่ยวบิน(in-flight magazine) ของการบินไทย ซึ่งต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเพื่อจะแบ่งเวลาไปทำงานในวงการบันเทิง โดยไม่ให้งานประจำบกพร่อง
ช่วงนั้นฉันหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแค่เงินเดือนจากการทำงานบริษัทก็ได้เป็นแสนบาทแล้ว ไหนจะเงินจากการเล่นหนังเล่นละครอีก
ทุกครั้งที่ได้เงินมา ฉันให้แม่ไว้ส่วนหนึ่งที่เหลือฉันใช้จ่ายเต็มที่ อยากได้อะไรซื้อหมดเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม ชอบรุ่นไหนฉันซื้อทันที อยากกินอะไรก็กิน แพงแค่ไหนก็จ่ายได้ แถมยังเลี้ยงเพื่อนฝูงแบบไม่เสียดายเพราะคิดว่าทำงานมาเหนื่อยแล้ว ต้องใช้เงินซื้อความสุขชดเชยกันไป
นอกจากนิสัยใช้เงินมือเติบแล้ว ยังชอบช่วยเหลือคนอื่นด้วย ถ้าเพื่อนฝูงคนไหนมีปัญหาเรื่องเงิน ก็ให้หยิบยืมโดยไม่ปฏิเสธแต่ละครั้งไม่ใช่เงินน้อย ๆ ส่วนคนยืมจะคืนเงินหรือไม่นั้น ไม่เคยคิดไปตามทวงเพราะเราหาเงินได้เรื่อย ๆ
แม้งานในวงการบันเทิงไปได้สวยแต่ชีวิตรักกลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่หวังไว้ ทั้งยังต้องมาเผชิญเหตุการณ์เสี่ยงตายอีก
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เรื่อง สีดา พัวพิมล เรียบเรียง เชิญพร คงมา ภาพ วรวุฒิ วิชาธร สไตลิสต์ สุธีร์ รติวัฒน์บุญญา แต่งหน้า - ทำผม ภูดล คงจันทร์ ขอขอบคุณ ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ เอื้อเฟื้อสถานที่