ชายผู้ไม่เคยหมด “แรงบันดาลใจ” – โอม ชาตรี คงสุวรรณ
โอม ชาตรี คงสุวรรณ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหา “แรงบันดาลใจ” ในการทำงาน ซีเคร็ตเชื่อเหลือเกินว่า เรื่องราวของคุณโอม นักดนตรี นักแต่งเพลง และผู้ผลิตเพลง ผู้คร่ำหวอดบนเส้นทางสายดนตรีมากว่า 30ปีให้คำตอบแก่คุณได้
แม้ชีวิตและข้อคิดในการทำงานของเขาจะเรียบง่าย แต่ทว่ายั่งยืนและสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้อย่างแน่นอน
คนรู้จักคุณโอมในฐานะมือกีต้าร์สมาชิกวง ดิ อินโนเซ็นท์ ซึ่งดังมากในสมัยนั้น (ปี พ.ศ. 2525) ไม่ทราบว่าความมีชื่อเสียงในตอนนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณโอมอย่างไรบ้างคะ
ชีวิตตอนนั้นเรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงไปในทันที แต่เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะจากที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัดมาจากจังหวัดราชบุรี เข้ามาร่วมวงเล่นคอนเสิร์ตกับดิ อินโนเซ็นท์ซึ่งตอนนั้นเขาดังอยู่แล้ว เป็นช่วงชีวิตที่มีแต่ความสนุก ประกอบกับวงดิ อินโนเซ้นท์เป็นวงที่ภาพพจน์สะอาด ทำให้เราวางตัวง่าย ไม่มีอะไรน่าอึดอัด ชีวิตของเราในตอนนั้นอยู่แต่กับวง สมัยนั้นเรามีออฟฟิศอยู่ที่ห้างไดมารู ผมก็ไปทุกวันจนรู้สึกเหมือนที่นั่นเป็นบ้าน ตอนที่เล่นกับวงดิ อินโนเซ้นท์ก็ได้ทำงานเป็นนักแต่งเพลงไปด้วย จากนั้นก็มีไปเล่นให้ศิลปินคนอื่นบ้างเช่น พี่แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ จนได้มาเจอกับพี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ ที่ห้องอัดศรีสยาม พอได้รู้จักกัน พี่เต๋อก็ชวนให้มาเป็นนักดนตรีอยู่ที่ห้องอัดต่อมาก็ชวนให้ไปเล่นคอนเสิร์ตให้ซึ่งตอนนั้นพี่เต๋อเพิ่งเริ่มทำบริษัทแกรมมี่ฯ
คุณโอมรู้สึกอย่างไรที่ได้ร่วมงานกับพี่เต๋อ และประทับใจอะไรในตัวพี่เต๋อคะ
พี่เต๋อเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด พูดง่ายๆ คือในสายตาของนักดนตรีทุกคน พี่เต๋อเป็นคนที่มีคุณภาพ และประสบความสำเร็จสูงสุด ตั้งแต่รู้จักกันมักเห็นพี่เต๋อยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แม้หน้าจะดูดุเพราะไว้หนวดแต่จริงๆแล้วเป็นคนอารมณ์ดี ยิ่งเห็นเราเป็นเด็ก พี่เต๋อก็ยิ่งเอ็นดู ผมประทับใจแกทุกๆ เรื่อง และทุกครั้งที่ได้ทำงานร่วมกันผมมักเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเสมอ พี่เต๋อเป็นคนดีมาก ไม่ว่าพี่เต๋อจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม ก็จะมีอัธยาศัยพูดคุยให้ความเป็นกันเองตลอด
รู้สึกอย่างไรที่ได้ชื่อว่าเป็นโปรดิวเซอร์คู่ใจของพี่เต๋อคะ
จริงๆ มีหลายคนที่ได้ทำงานกับพี่เต๋อ ผมก็เป็นคนหนึ่ง แต่ด้วยความที่ผมทำงานกับพี่เต๋อมายาวนานจึงทำให้เราทำงานกันด้วยความคุ้นเคย อย่างอัลบั้มแรกของคุณคริสติน่าซึ่งผมเป็นโปรดิวเซอร์และได้รับความสำเร็จอย่างสูงก็ต้องยกเครดิตให้พี่เต๋อ เพราะเป็นคนคอยดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้ เรียกว่าไม่มีช่วงไหนเลยที่แกไม่ได้ดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้เรา พี่เต๋อจะมาคุมร้องให้ ผมก็เรียนรู้เรื่องวิธีการมิกซ์เสียง ทำให้ได้ทำงานใกล้ชิดพี่เต๋อในทุกๆขั้นตอน ดังนั้นเวลาที่งานออกมาแล้วประสบความสำเร็จจึงพูดได้ว่าเพราะมีพี่เต๋อช่วยดูแลผลักดัน ผมเคารพพี่เต๋อและมองว่าพี่เต๋อเป็นหัวหน้าที่เราจะต้องคอยดูว่าจะนำไปทางไหนซึ่งเราจะพยายามตามให้ดีที่สุด
ทราบว่าคุณโอมกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่เร็วๆนี้ ไม่ทราบว่ามีที่มาอย่างไรคะ
คอนเสิร์ตนี้ชื่อว่า โอม ชาตรี ไลฟ์ เรวัต ฟอร์เอฟเวอร์ จะจัดขึ้นวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคมนี้ มีที่มาจากการที่ผมเคยทำอัลบั้มชุดหนึ่งร่วมกันก่อนที่พี่เต๋อจะป่วยและจากไปในปี 2539 เพลงชุดนี้เราทำกันอยู่หลายปี พี่เต๋อเรียกผมไปคุยว่า อยากเอาเพลงเด็ดๆมาเรียบเรียงดนตรีใหม่ทั้งหมดโดยให้ดนตรีเปลี่ยนไปเยอะๆ ทั้งที่สมัยก่อนยังไม่มีพวกงานรี-อะเรนจ์ แต่ก็สั่งให้เราทำ เราก็ทำตาม แกบอกว่าให้ทำกันสองคนนี่ล่ะเพราะไม่อยากรบกวนเวลาคนอื่น เราก็ทำงานร่วมกันจนก่อนปีสุดท้ายที่แกจะป่วยซึ่งทำครบ 10 เพลงพอดีทุกเพลงนำมาร้องใหม่หมด จริงๆแล้วเรากะกันว่าจะทำเสร็จออกเป็นอัลบั้มในปีนั้น โดยแกรมมี่ตั้งชื่ออัลบั้มว่า อะไลฟ์ แต่พี่เต๋อมาจากไปเสียก่อน จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วที่ครบรอบ20 ปีการจากไปของพี่เต๋อ ผมกับทีมงานจึงคิดกันว่าเราน่าจะนำเพลงชุดนี้มาทำคอนเสิร์ต ความจริงเราคุยกันว่าจะจัดคอนเสิร์ตตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่พอดีตรงกับช่วงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต จึงได้เลื่อนมาจัดในปีนี้แทน โดยคอนเสิร์ตนี้เราได้รับการสนับสนุนจากทั้งทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่และบริษัท ทรู คอร์ปเรชั่น และยังได้รับความร่วมมือจากศิลปินอีกหลายๆ ท่าน ทุกคนต่างก็ยินดีมาร่วมเล่นในคอนเสิร์ตนี้ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก
เมื่อพูดถึงเรื่องงานดนตรีดูคุณโอมมีความสุข และเหมือนมีพลังในการทำงานตลอดเวลาทั้งที่งานนี้เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สูงมาก ไม่ทราบว่ามีวิธีหาแรงบันดาลใจในการทำงานอย่างไรคะ
ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือ เราทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ทำ เพราะตั้งแต่เด็ก แม้จะมีหน้าที่เรียน เราก็เรียนไปตามหน้าที่ แต่ว่าใจของเราอยากเป็นนักดนตรีอย่างเดียว ผมชอบการอยู่ในวงการการผลิตเพลง ชอบบรรยากาศ ชอบทุกๆอย่างในวงการนี้ ถึงวันนี้ก็มักจะเอาตัวเองไปอยู่ในบรรยากาศแบบนั้น
ผมอยากบอกว่า เมื่อทำในสิ่งที่ชอบ แรงบันดาลใจจะมาเอง และสิ่งที่ผมทำคืออินพุดสิ่งที่เราชอบทุกๆ วัน โดยไม่ปิดกั้นตัวเอง ด้วยการฟังเพลงแนวใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะรายการประกาศรางวัลออสการ์หรือแกรมมี่ อวอร์ดพวกนี้ผมดูทุกปี เมื่อดูแล้วจะทำให้รู้สึกว่า โห ทำไมพวกเขาถึงได้ยอดเยี่ยมกันอย่างนี้ มันช่วยจุดไฟในการคิดงาน หรืออย่างการเล่นเฟสบุ๊คหรือยูทูปก็เช่นกัน มันก็สร้างแรงบันดาลใจให้เราเยอะมาก มันทำให้เรารู้สึกสนุกจนทำงานไม่ทันเลยทีเดียว
ชื่อของโอม ชาตรี คงสุวรรณทุกวันนี้กลายเป็นแบรนด์ๆหนึ่งไปแล้ว คนที่มาร่วมงานกับพี่โอมย่อมคาดหวังว่าเขาจะได้ผลงานที่ดีที่สุด ไม่ทราบว่าตรงนี้ทำให้พี่โอมกดดันบ้างไหมคะ
ทุกวันนี้ผมยังต้องฝึก ยังต้องอินพุดสิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเองเสมอ ยิ่งทำงานมานานๆและปัจจุบันก็ยังทำงานอยู่จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหยุดอยู่กับที่แล้วบอกตัวเองว่า เรารู้เยอะแล้ว เราคล่องแล้ว เคยมีบางช่วงที่เราเผลอไม่ได้ตามข่าววงการดนตรี ปรากฏว่าเปิดอินเตอร์เน็ตดูอีกที มีศิลปินมาใหม่ๆ เก่งๆ ทั้งนั้นเลย แนวเพลงก็เปลี่ยนไป ผมก็ต้องมานั่งไล่อัพเดทให้ตัวเองได้เรียนรู้อยู่เสมอ
ผมมองว่าการพัฒนาตัวเองเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ต้องการก้าวต่อไปข้างหน้า อย่างเช่นตัวผมทำงานข้ามเจอเนอเรชั่นมาหลายรุ่น ทุกวันนี้เราทำงานกับเด็กที่เป็นรุ่นหลานด้วยซ้ำ เขาเห็นหน้าเราก็เรียกเราว่าอาแล้ว นั่นทำให้ต้องขวนขวายที่จะเรียนรู้ และรู้จักวางตัวว่าเราจะอยู่ตรงไหน จะหยุดพัฒนาก็ได้แต่มันก็ไม่ไปไหน หน้าที่ของเรากับการทำงานกับคนรุ่นใหม่คือต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ถ้าเขาเป็นนักดนตรี ก็ควรรู้ว่าเขาเล่นดนตรีแบบไหน ต้องเปิดรับฟังเขา ไม่ใช่เจอหน้ากันไม่เท่าไหร่ก็ไปสอนเขาแล้ว มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องพยายามปรับตัว ซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร ในทางกลับกันผมกลับชอบที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอด ผมโชคดีที่ได้ทำงานที่ดีเสมอ ก็เลยทำให้เรารู้สึกแฮปปี้
คุณโอมมองวงการเพลงในปัจจุบันอย่างไรค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้ด้วยกระแสของโลกโซเชียลก็ทำให้ดังกันง่ายๆทั้งที่บ้างครั้งอาจไม่ต้องอาศัยทีมงานอะไรมากมายเหมือนสมัยก่อน
ผมชอบนะและมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ยูทูปก็มาพร้อมกับอินเตอร์เน็ต ยิ่งทุกวันนี้อินเตอร์เน็ตเร็วมากก็ทำให้เรารับข่าวสารได้รวดเร็วยิ่งขึ้น มันจึงเป็นช่องทางให้ทุกคนมีมีเดียเป็นของตัวเอง ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
คุณโอมดูเป็นคนทันสมัย อยากรู้ว่าโอม ชาตรีในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ผมว่ายังไงเสื้อยืดกางเกงยีนส์นี่ขาดไม่ได้เลย ผมมองว่าผมก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปจนแก่ เพราะทุกวันนี้ผมมองศิลปินต่างชาติอย่าง พอล แมคคาดนีย์ หรืออีริค แคลปตัน แม้ทุกวันนี้พวกเขาอายุจะ 70 ปีแล้วแต่ ยังร็อคกันอยู่เลย เลยมองว่า ตอนอายุเยอะๆ เราก็ต้องเป็นอย่างเขานี่ล่ะ แต่ก็ต้องตั้งเป้าหมายให้ชีวิตว่าในอนาคตเราจะหยุดหรือยังทำงานอยู่ ถ้ายังทำงานก็ต้องรีเฟรชตัวเองอยู่เสมอ
อย่างวันนี้ที่เรานั่งคุยกัน ผมก็ยังมองว่าผมมีเป้าหมายอีกหลายอย่าง เช่นในอีก 5 ปีข้างหน้า ผมอาจทำตัวเหมือนศิลปินต่างประเทศรุ่นใหญ่ที่ออกทัวร์คอนเสิร์ตอย่างเดียว ซึ่งก็ต้องกลับมาถามตัวเองแล้วว่า เราจะเล่นเพลงอะไร ดังนั้นช่วง 5 ปีต่อจากนี้ไป ก็ต้องทำผลงานเอาไว้ให้เพียงพอกับการออกทัวร์ คือต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม แต่คงไม่ได้เอาเพลงที่แต่งให้คนอื่นเป็นร้อยๆ เพลงมาเล่นหรอกครับ(หัวเราะ) คือผมไม่เคยมองว่าตัวเองจะหยุดทำงานแล้วอยู่บ้านเงียบๆ เพื่ออ่านหนังสือหรือเล่นเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ เพราะการทำงานทำให้ผมมีความสุข
คุณโอมคิดว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องใช้พรสวรรค์หรือพรแสวงมากกว่ากันคะ
มันตอบยากครับ แต่ถ้าจะให้ตอบแบบช่างคิดหน่อย ผมว่าทั้งสองอย่างมันคือเรื่องเดียวกัน เรื่องพรสวรรค์มันอยู่ในอากาศเรามองไม่เห็น แต่พรแสวงนี่เมื่อเราอยากเล่นดนตรีเป็น ก็ต้องฝึก ถึงแม้ไม่มีกีต้าร์ ก็ไปขอยืมเพื่อนเล่นจนสุดท้ายเราก็เล่นกีต้าร์ได้ ผมเลยมองว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน คือการที่เล่นเราดนตรีได้จนคล่องและช่ำชองมาจากการที่เราแสวงเราจึงมีพรสวรรค์
ผมว่าพรสวรรค์สำหรับตัวผมมันคือช่วงแรกๆ ที่เราชอบดนตรีมากๆ คือได้ยินเสียงดนตรีแล้วเลือดลมมันเดิน เมื่อก่อนไม่มีวิดีโอดู แต่แค่ได้ดูรูปภาพ ก็ยังทำให้เรากระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ จึงต้องออกไปแสวงหามัน กว่าที่ผมจะเล่นกีต้าร์ได้หลายๆเพลงก็ต้องเอาหนังสือเพลงมากาง แล้วพยายามแกะคอร์ด แรกๆ ก็อาจจะงงๆแต่พอทำบ่อยๆเข้ามันก็คล่อง จนคนที่เห็นบอกว่าเราเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่จริงๆ แล้วเปล่าเลย มันเล่นได้เพราะเราฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้คุณโอมมีบริษัทของตัวเองแล้ว อยากทราบว่าจากที่เคยทำงานกับบริษัทใหญ่อย่างแกรมมี่ซึ่งเรียกได้ว่าอยู่ในคอมฟอร์ทโซน แต่พอออกมาตั้งบริษัทของตัวเองแล้วมีบ้างไหมที่รู้สึกถึงความไม่มั่นคง
มีแน่นอนครับ ตอนออกจากบริษัทแกรมมี่ใหม่ๆ ผมไปเปิดค่ายเพลงเล็กๆอยู่กับเพื่อนระยะหนึ่ง แต่พอทำไปก็รู้สึกว่าบรรยากาศวงการเพลงตอนนั้นมันค่อนข้างวุ่นวาย ก็เลยออกมาเปิดบริษัทของตัวเอง เป็นมิวสิคโปรดักชั่น ซึ่งเราต้องประคองตัวให้อยู่ในมาตราฐานชีวิตที่เราอยู่ได้ การทำบริษัทส่วนตัวทำให้เราได้เจอผู้คนเจอปัญหาและเงื่อนไขต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่สิ่งที่มาคู่กันก็คือทำให้เราได้เจอโอกาสดีๆในชีวิตอีกมากมาย บางทีตอนอยู่ในคอมฟอร์ทโซนอาจไม่เจออย่างนี้หรือเจอแต่เราก็ไม่ไขว่คว้าเพราะว่าเรารู้สึกสบาย ผมคิดเสมอว่าประสบการณ์ใหม่ๆที่เราได้เจอคือรางวัลชีวิตเพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้ตลอดเวลา
คุณโอมมีวิธีหาจุดสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานอย่างไรบ้างคะ
ผมเป็นคนที่มีชีวิตไม่หวือหวา ไม่ได้เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือออกทัวร์ ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการทำงานประกอบกับที่บ้านมีห้องอัดจึงไม่ได้ไปไหนไกลเลย มิหนำซ้ำยังดึงคนอื่นมาทำงานที่บ้านเราอีก ชีวิตจึงบาลานซ์ง่าย อีกอย่างคือผมไม่เคยตั้งเป้าหมายชีวิตตัวเองไว้สูงว่าต้องประสบความสำเร็จอย่างสุดโต่ง คือไม่ดังแบบชาวบ้านก็ไม่เดือดร้อนอะไร เราก็ไปของเราได้เรื่อยๆ ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เข้าวงการ คือไม่ชอบทำตัวอู้ฟู้ ผมชอบชีวิตที่ไม่ต้องดูแลตัวเองมาก ไม่ถึงขนาดใช้ชีวิตติดดินแต่ก็ไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ที่สำคัญชีวิตผมเลือกทำแต่สิ่งที่ชอบคืองานเพลงซึ่งผมไม่เคยเบื่อ กดดัน หรือรู้สึกท้อแท้เลย ชีวิตผมเรียบง่าย ผมดำเนินชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายสิบปี มันทำให้ผมมีความสุขดีครับ
คุณโอมให้นิยามความสุขว่าอย่างไรและความสุขของคุณโอมคืออะไรคะ
อารมณ์สุขก็คือความเบิกบาน ซึ่งความเบิกบานมันเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางคนอาจจะเบิกบานเพราะนั่งสมาธิ แต่สำหรับผมการฟังเพลงทำให้อารมณ์เบิกบาน ไม่เบื่อ ผมว่าสิ่งไหนที่ทำให้เรามีความสุขมันถูกเสมอ อย่างเช่นผมชอบบรรยากาศเวลาทำงานในห้องอัดที่เงียบๆมากโดยเฉพาะตอนกลางคืนเพราะทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ทำสมาธิ ความเงียบทำให้เรารู้สึกสงบและคิดงานออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ
ผมมีความสุขเสมอเมื่อได้ทำงานที่ชอบ ตั้งแต่เริ่มทำงานเพลงที่แกรมมี่ ผมก็อยู่กับพวกเทคโนโลยีและอุปกรณ์ไฮเทคมาตลอด จากเมื่อก่อนเราต้องใช้คอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ๆก็ย่อลงมาเหลือแค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กๆเครื่องเดียว ยิ่งทุกวันนี้เรามีอินเตอร์เน็ตยิ่งทำให้ชีวิตสะดวกมากขึ้น มันแก้ปัญหาให้เราได้หมดทุกอย่าง จะดูหนังฟังเพลงรับข่าวสารก็อยู่ในนี้ ทั้งหมดมันจึงกลายเป็นไลฟ์สไตล์ของเรา มันทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้เหมือนมีออฟฟิศใหญ่ๆอยู่ในมือถือ อยากจะติดต่อธุระอะไรเมื่อไหร่ก็ทำได้ทุกอย่าง อันนี้เป็นอีกคำตอบว่าทำไมผมจึงไม่ค่อยเครียดเพราะชีวิตไม่ต้องขวนขวายอะไรมาก เมื่อเทคโนโลยีโต ผมก็โตไปกับมันด้วย ทุกวันนี้ผมขาดเทคโนโลยีไม่ได้ เพราะมันคือความสุขของผม
ความสุขอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือการได้ทำงานในวงการดนตรี ผมว่าวงการดนตรีเปรียบเสมือนบ้านที่มีหลายห้อง แต่ผมเป็นคนที่ชอบอยู่ที่ระเบียง ไม่ชอบอยู่ในห้องรับแขก ผมอยากบอกว่าผมจะอยู่วงการนี้ตลอดไป ไม่ไปไหนหรอกและไม่เคยคิดจะทำอาชีพอื่น วงการนี้มันเป็นวงการที่กว้างมีให้เราเลือกทำหลายแขนง
อาจพูดได้เลยว่าวงการดนตรีมันกลายเป็นปัจจัยหนึ่งของชีวิตคนเราไปแล้ว แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นปัจจัยที่เท่าไหร่ เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ที่ทำให้คนทุกคนมีความสุขซึ่งมันก็เป็นความสุขของผมเช่นกัน
นิตยสารซีเคร็ต 211 (10เม.ย60) คอลัมน์ Idol Secret
เรื่อง ธันยาภัทร์ รัตนกุล
ภาพ สุเมธ วิวัฒน์วิชา ผู้ช่วยช่างภาพ ชุติมา มลิชัยศรี, ประเมศฐ์ พิพิธชนินันท์, เสาวลักษณ์ สุขนวล
สไตลิสท์ สลาลี สมบัติมี , Winnyy
แต่งหน้าทำผม ธนัชชา จันทะเสนา
เสื้อผ้า John Varvatos มีจำหน่ายแล้วที่ Cental Embassy ชั้น1และ Central Chidlom ชั้น 4 โทร. 02 160-5803
Secret คือแรงบันดาลใจ
สั่งซื้อนิตยสารหรือสมัครสมาชิก Secret ได้ที่ 0-2423-9889
ทาง Naiin.com : https://www.naiin.com/magazines/title/SC/
บทความที่น่าสนใจ
ท้อแท้ แต่อย่า ท้อถอย กับ 7 ข้อคิด และ คำคมสร้างแรงบันดาลใจ จุดไฟให้ชีวิต
10 ข้อคิดสร้างแรงบันดาลใจจาก แจ็ค หม่า
ออกแบบความคิดพิชิตฝัน แรงบันดาลใจผ่านตัวอักษรของ เอกพนิฏฐ์ นาคนคร
ด้วยแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ นฤมล แก้วสัมฤทธิ์ ครูอาสาจากแดนไกล บ้านกรูโบ
เพราะมีลูกเป็นแรงบันดาลใจผมจึงไม่ท้อ โก้ นฤเบศร์ จินปิ่นเพ็ชร