ชีวิตต่างแดน ที่ ‘เพื่อนสนิท’ ชวนว่าดี แต่แท้ที่จริงคือ ‘ขุมนรก ’ !
“ถ้าอยู่ที่นี่แล้วลำบากขนาดนี้ ไปทำงานที่ญี่ปุ่นด้วยกันดีกว่า
แฟนฉันเพิ่งเปิดร้านอาหารใหม่ อยากหาคนไปช่วยอยู่พอดี”
ฉันฟังคำพูดนี้ด้วยใจที่ลังเล เพราะตอนนั้นฉันเหมือนคนจนตรอก เพิ่งเลิกกับสามี ไม่มีงานทำ ต้องหยิบยืมเงินคนโน้นคนนี้มาใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงลูกสาวทั้งสองคนฉันพยายามหางานทำ แต่เพราะเรียนมาน้อยจะคิดหาลู่ทางทำงานอะไรก็ลำบาก เคยมีคนชวนไปหางานทำที่กรุงเทพฯ ยังไม่กล้าไปเลยเพราะทั้งชีวิตก็อยู่แค่ในชุมชนบ้านเกิดแห่งนี้
เมื่อ เพื่อนสนิท คนบ้านเดียวกันที่เล่นกันมาแต่เล็กชวนให้ไปทำงานที่เมืองนอกฉันจึงกล้า ๆ กลัว ๆ แม้ในใจจะคล้อยตามไปกับสิ่งที่เขาวาดฝันไว้ให้ฟังว่า
“มีที่อยู่ให้อย่างดี กินฟรีทุกอย่างทำงานเหมือนพี่น้องกัน หน้าที่หลักของเธอคือดูแลร้าน ช่วยคิดเงินเก็บเงินแค่นั้น ฉันโดนโกงมาเยอะ เลยอยากหาคนรู้จักที่ไว้ใจได้ไปช่วยงาน ฉันให้ค่าแรงเดือนละสี่หมื่นเลยนะ”
ฉันคิดคำนวณในใจ เงินเดือนมากขนาดนี้สามารถส่งเงินมาเลี้ยงดูลูก ๆ และครอบครัวให้สุขสบายได้ และเมื่อนำเรื่องนี้ไปปรึกษาแม่และญาติพี่น้อง ทุกคนเห็นดีด้วย ฉันจึงตอบตกลง เพื่อนจัดการเรื่องเอกสารและวีซ่าเข้าประเทศให้ แต่ฉันต้องหาเงินจำนวน 40,000 บาทเป็นค่าตั๋วเครื่องบินฉันจึงไปกู้เงินเพื่อนบ้านมาจ่าย
จากนั้นไม่ถึงสองอาทิตย์ เพื่อน ก็โทร.มาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ให้เอาค่าตั๋วเครื่องบินมาจ่ายได้เลย แต่วันที่เอาเงินไปจ่ายเพื่อน กลายเป็นว่าต้องทำสัญญาเงินกู้ 160,000 บาท เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะเดินทางโดยไม่เปลี่ยนใจหรือหลบหนี หากเดินทางแน่นอน แม่ของฉันก็ฉีกสัญญาทิ้งได้เลย ฉันจึงยอมเซ็นชื่อด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อนและครอบครัวของเธอ
เมื่อเอกสารทุกอย่างพร้อม เพื่อนพานั่งรถทัวร์มาส่งให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจะเป็นคนพาฉันไปญี่ปุ่น ผู้หญิงคนนี้พาไปแวะซื้อกระเป๋าเดินทางและเสื้อผ้า แล้วพาตรงไปที่สนามบินทันที เมื่อถึงสนามบินก็เพิ่งรู้ว่าพาสปอร์ตที่ใช้เดินทางไม่ใช่ของฉัน แต่คนที่พามากลับบอกให้รับไปและเซ็นชื่อให้เหมือนกับลายเซ็นในพาสปอร์ตเล่มนั้น เขารับรองว่าจะผ่าน ตม.ญี่ปุ่นได้แน่นอน ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามที่เขาบอกอย่างไม่สบายใจนัก
ก้าวสู่ขุมนรก
พอไปถึงญี่ปุ่น ฉันผ่านเข้าประเทศได้แบบไม่มีปัญหา จากนั้นก็มีชายหญิงอีกคู่หนึ่งมารอรับที่สนามบินและพานั่งรถแท็กซี่เดินทางต่อไป ระหว่างการเดินทางฟ้าก็มืดแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและวิวทิวทัศน์ข้างนอกเป็นอย่างไร แล้วฉันก็หลับไปเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
สุดท้ายสองคนนี้พาฉันไปส่งที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปข้างในมีห้องเล็ก ๆ ที่มีกระจกใสกั้น เจ้าของห้องคือหญิงไทยและสามีของเธอ เธอพาฉันเข้าไปพักในห้องกระจกเล็ก ๆ นั้นซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่
ผู้หญิงคนนั้นมองฉันด้วยสีหน้าตกใจ เธอคือ “พี่บัว” หญิงที่มาจากจังหวัดเดียวกับฉัน เธอเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนหน้าฉันสองอาทิตย์ สีหน้าดูไม่สบายใจเท่าไหร่ และแอบพูดกับฉันว่า
“รู้ไหมว่ามาอยู่ที่นี่น่ะ ขาข้างหนึ่งก้าวตกนรกไปแล้วนะ”
ฉันไม่เข้าใจคำพูดนั้นนัก แต่ผู้หญิงที่พามาจากสนามบินเห็นเราคุยกันก็ตะโกนด่าให้เราหยุดพูด ทำให้ฉันตกใจกลัวและบอกเธอให้พูดจากันดี ๆ ก็ได้ แต่เธอกลับย้อนถามว่า
“รู้ตัวไหมว่าต้องมาทำงานอะไร”
ฉันตอบไปอย่างซื่อ ๆ ว่ามาทำงานร้านอาหาร เธอหัวเราะอย่างเย้ยหยันและพูดว่า
“ฝันไปเถอะ ที่นี่ไม่มีร้านอาหารให้ทำงานหรอก แล้วก็รู้ไว้เสียด้วยว่าตอนนี้แกมีหนี้อยู่ 5,500,000 เยนแล้ว”
เมื่อได้ฟังฉันก็ถึงกับงุนงงว่าเป็นหนี้จำนวนนี้ตั้งแต่ตอนไหน และเงินที่เธออ้างว่าฉันเป็นหนี้คิดเป็นเงินไทยก็เป็นล้านบาทเชียวนะ ตอนนั้นความคิดในหัวสับสนวุ่นวายไปหมด พอตั้งสติได้ก็เถียงว่า
“เงินเยอะขนาดนี้ ฉันไม่มีปัญญาใช้ให้หรอก ฆ่าฉันไปเลยดีกว่า” แต่ประโยคที่เธอตอบทำฉันแทบสิ้นใจ
“มีสิ ก็ฉันจะเอาแกไป ‘ขายตัว’ ชดใช้หนี้ไง”
วินาทีนั้นเหมือนมีคนเอาไม้มาฟาดที่หัวอย่างแรง ฉันเหมือนสลบเหมือดไปวูบหนึ่งรู้สึกตัวชาไปหมด นั่งนิ่งอึ้ง น้ำตาไหลพราก ๆ ไม่หยุด ความคิดต่าง ๆ ไหลเข้ามาในหัว ได้แต่คร่ำครวญว่ายังไงก็ไม่มีทางทำงานนี้แน่นอน
ฉันรับความจริงนี้ไม่ได้ ร้องไห้ไม่หยุดคิดถึงลูก คิดถึงบ้าน แม้พี่บัวพยายามปลอบใจอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เป็นผล ผ่านไปสองวันสองคืน ฉันถูกขู่ฆ่าสารพัด อาหารก็ไม่ได้กิน ร่างกายเริ่มไม่ไหวจนอ้วกออกมาเป็นเลือด สุดท้ายก็ต้องจำยอมขายตัว
ทันทีที่ฉันยอมทำงานนี้ใช้หนี้ หญิงไทยเจ้าของห้องที่คนเรียกกันว่า “มาม่าซัง” รีบโทร.เรียกผู้ชายญี่ปุ่นตัวใหญ่มีรอยสักเต็มตัว 3 คนมาที่ห้อง มาม่าซังขู่ว่าพวกนี้เป็นยากูซ่า ถ้าฉันไม่ยอมทำงานหรือทำงานไม่ได้ พวกมันจะฆ่าทิ้งแล้วจับโยนลงทะเล จากนั้นเธอก็ให้พวกยากูซ่าจับฉันถอดเสื้อผ้า ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นบอกมาม่าซังว่า
“อีนี่ทำงานไม่เกินห้าเดือนคงใช้หนี้ได้หมด ตัวเล็ก หุ่นบางแบบนี้คนญี่ปุ่นชอบ”
วันนั้นมาม่าซังบังคับให้ฉันขายตัวทันที โดยที่เธอคุยกับแขกเพื่อตกลงราคา เวลาและการเก็บเงิน ส่วนฉันมีหน้าที่ทำงานอย่างเดียว โดยมีสมุดโน้ตเล่มหนึ่งที่ให้ฉันจดว่าแต่ละวันรับแขกได้กี่คน และหักหนี้ไปได้เท่าไหร่แล้ว แต่ถึงจะทำงานมากแค่ไหน หนี้ที่ฉันไม่ได้ก่อก้อนนี้กลับลดลงทีละน้อยเท่านั้น เพราะในแต่ละเดือนต้องเสียค่าเช่าบ้าน ค่าโทรศัพท์ และค่ากินให้มาม่าซังถึงเดือนละ 50,000 เยน
ฉันถูกกดขี่ให้ทำงานอย่างหนัก ต้องเตรียมตัวทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อไหร่ที่แขกโทร.เข้ามา มาม่าซังกับสามีจะพาฉันกับพี่บัวนั่งรถไปหาแขกที่โรงแรม แล้วก็นั่งรอจนกว่าเราจะทำงานเสร็จ
แต่ละวันฉันต้องรับแขกประมาณ 8 - 10 คน แต่ถ้าเป็นช่วงสิ้นเดือนมักมีแขกมาใช้บริการมากกว่านั้น แขกที่มาใช้บริการมีสารพัดรูปแบบ ทั้งพวกซาดิสต์ วิปริต เมาทุก ๆ วันที่อยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกข่มขืนอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ฉันรับแขกได้แต่คิดว่า “นี่ฉันต้องถูกข่มขืนอีกแล้วเหรอ” มันเป็นความโหดร้ายและทุกข์ทรมานมากที่สุดในชีวิต
ครั้งหนึ่งฉันเคยลองขอความช่วยเหลือจากแขกที่ดูท่าทางใจดี แต่กลับกลายว่าชายคนนั้นเป็นยากูซ่าปลอมตัวมาสืบดูการทำงานของฉัน พอโดนจับได้ฉันก็ถูกซ้อมจนน่วมเพื่อให้หลาบจำ หลายครั้งที่ฉันทุกข์จนทนไม่ไหว ตั้งใจจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำเพื่อปลิดชีวิตตัวเอง แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลงเพราะคิดถึงลูกสาวทั้งสองคน
ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เหมือนอยู่ในขุมนรกแสนทรมาน ฉันนอนร้องไห้ทุกวัน ในขณะที่ทางบ้านไม่รู้เรื่องนี้เลย เพราะเพื่อนส่งแต่ข่าวดี ๆ ไปบอกครอบครัวเสมอ
หนีไม่พ้น
ห้าเดือนผ่านไป ฉันกับพี่บัวทำงานใช้หนี้ได้เกือบหมดแล้ว วันหนึ่งได้ยินมาม่าซังคุยโทรศัพท์ว่า
“มีใครจะซื้อมันต่อไหม อีสองคนนี้ทำงานเก่ง ห้าเดือนครึ่งก็ใช้หนี้หมดแล้วแขกติดมันเยอะแยะ ฉันขายให้ถูก ๆ เลย แค่ 2,000,000 เยน”
ต่อมาก็ได้ยินว่ามาม่าซังขายเราทั้งสองคนได้แล้วในราคา 2,000,000 เยน หรือประมาณ 600,000 บาท และกำลังจะพาเราทั้งคู่ไปส่งให้เจ้าใหม่อาทิตย์หน้า ฉันจึงปรึกษาพี่บัวว่าคราวนี้ต้องหาทางหนีให้ได้ ตายเป็นตายพร้อมสัญญากันว่าถ้าใครคนหนึ่งหนีรอดต้องกลับไปเอาเรื่องคนที่ส่งเรามาเจอกับนรกที่นี่ให้ได้
เหมือนโชคชะตาเข้าข้าง ก่อนถูกส่งตัวไปให้คนซื้อรายใหม่ไม่กี่วัน มาม่าซังพาฉันและพี่บัวไปซื้ออาหารที่ร้านประจำแห่งหนึ่งร้านนี้มีทางเข้า - ออกเพียงทางเดียว สามีของมาม่าซังเฝ้าอยู่หน้าร้าน วันนั้นฉันเดินสวนกับชายไทยคนหนึ่งตรงทางเดินหน้าห้องน้ำหลังร้าน เขาหยุดและถามว่าเป็นคนไทยใช่ไหมเมื่อฉันตอบว่าใช่ เขาก็ถามว่า
“คุณต้องใช้หนี้เขาเท่าไหร่ครับ” ฉันตกใจมากที่เขาพูดแบบนั้น เขารีบอธิบายว่าอยู่ที่นี่มานาน และรู้ว่าผู้หญิงไทยหลายคนถูกหลอกมาขายตัวเพื่อชดใช้หนี้จำนวนมหาศาล ฉันบอกไปว่ากำลังจะถูกขายต่อ
“เขาจะขายคุณต่อแล้วเหรอครับ ใจเย็น ๆ นะครับ ผมจะช่วยคุณเอง มีเบอร์โทรศัพท์ไหม”
ฉันให้เบอร์โทรศัพท์เขาไปโดยไม่ได้หวังอะไร เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจต่อผู้อื่นสูญสิ้นไปตั้งแต่รู้ว่าถูกเพื่อนหลอกให้มาขายตัว แต่ก่อนแยกกันเขาย้ำกับฉันว่า “ผมรับปากว่าผมจะช่วยคุณ”
สองวันหลังจากนั้นเขาก็โทร.มาจริง ๆ มาม่าซังรับโทรศัพท์และยื่นให้ฉัน เพราะเขาบอกว่าเป็นแขกประจำของฉัน เมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นชายที่เจอกันที่ร้านอาหาร ฉันก็ทำทีเดินไปคุยหน้าห้องน้ำเพื่อไม่ให้มาม่าซังได้ยิน
ชายคนนั้นบอกว่าจะมาช่วยฉัน และให้เพื่อนของเขามาช่วยพี่บัว โดยเขาและเพื่อนจะทำทีขอซื้อบริการฉันกับพี่บัวแบบค้างคืนเพื่อที่มาม่าซังจะไม่ต้องนั่งเฝ้าและมารับกลับตอนรุ่งเช้าเลย
หลังเที่ยงคืนเขาก็พาฉันหนีออกจากโรงแรม โดยนัดแนะให้เพื่อนเขาพาพี่บัวหนีออกมาหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เขาพาฉันนั่งรถไฟออกมาไกลมากกว่าจะถึงที่พัก เย็นวันต่อมาพี่บัวกับเพื่อนของเขาจึงเดินทางมาถึง แต่เรื่องราวกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะตอนที่พี่บัวกำลังจะหนีมาม่าซังจับได้และเกิดต่อสู้กันจนผู้ชายที่ช่วยพี่บัวพลั้งมือฆ่ามาม่าซังโดยไม่ได้ตั้งใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นมีตำรวจมาล้อมหน้าบ้านที่เราสี่คนพักอยู่ พวกเราถูกจับกุมและแยกไปสอบปากคำ ฉันและชายที่มาช่วยถูกกักตัวอยู่เดือนกว่าก็ถูกปล่อยตัว เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตายของมาม่าซัง จากนั้นก็ดิ้นรนขอความช่วยเหลือจนได้กลับประเทศไทย แต่พี่บัวถูกศาลญี่ปุ่นจำคุก 6 ปีครึ่งส่วนชายที่ไปช่วยเหลือถูกจำคุก 10 ปี
ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
ฉันกลับมาเล่าทุกอย่างให้ครอบครัวของฉันและครอบครัวพี่บัวฟัง พร้อมทั้งแจ้งความเอาเรื่องเพื่อนคนนั้นรวมทั้งพ่อแม่ของเธอที่ร่วมกันหลอกฉันและพี่บัวไปขายให้ถึงที่สุด ระหว่างที่รวบรวมหลักฐานและแจ้งความดำเนินคดี ฉันถูกข่มขู่สารพัดเพราะครอบครัวของเพื่อนคนนั้นมีอิทธิพลในท้องถิ่นมาก ระหว่างตกระกำลำบากที่บ้านเกิด ชายที่ช่วยฉันที่ญี่ปุ่นตามมาช่วยเหลือและให้กำลังใจ ท้ายที่สุดเราก็ตกลงแต่งงานกัน
ตอนนั้นฉันไม่สามารถอยู่ที่หมู่บ้านได้อีกแล้ว เพราะโดนขู่และคุกคามไม่เว้นวันสุดท้ายจึงต้องหนีไปอยู่บ้านสามีที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง
ฉันและสามีร้องหาความยุติธรรมอย่างถึงที่สุด ถึงจะโดนกลั่นแกล้งสารพัด แต่สุดท้ายสำนวนคดีของฉันก็ไปถึงชั้นศาล และศาลก็พิพากษาให้ทั้งพ่อ แม่ และเพื่อนที่หลอกฉันจำคุกเป็นเวลา 13 ปี และชดใช้เงิน 40,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จากนั้นไม่นานพี่บัวก็ถูกส่งตัวกลับมาประเทศไทยก่อนกำหนด เพราะป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ หลังจากนั้นไม่นานก็เสียชีวิต ต่อมามีหลายหน่วยงานยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องการฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยทางแพ่งให้ สุดท้ายแล้วศาลตัดสินให้จำเลยชดใช้เงินค่าเสียหายให้กับฉันและพี่บัวเป็นจำนวนมากพอสมควร
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อปกป้องสิทธิความเป็นมนุษย์ของฉันและพี่บัว ตอนนี้ความโกรธแค้นในใจของฉันได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว แม้วันคืนที่โหดร้ายยังคงเป็นบาดแผลลึกในใจ แต่ก็ขออโหสิกรรมให้ทุกคนที่ทำร้ายฉัน และอย่าต้องผูกพยาบาทกันต่อไปอีกเลย
แง่คิดจากพระมหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ (นามปากกา “ชุติปัญโญ”)
วัดป่าปาลเดชธรรม อำเภอสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์
เมื่อชีวิตต้องพบเจอกับปัญหาที่ยากจะก้าวผ่าน เพราะถูกกระทำจากผู้อื่นหรือปัญหาอื่นใด สิ่งที่เราต้องรีบปลุกปลอบและเตือนตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้คือ “การรู้จักรักตัวเองอย่างถูกทาง” มิใช่ว่าเมื่อถูกทำร้ายตัวเรากลับกลายเป็น “คนร้ายตอบ” เพื่อตอบโต้ให้เกิดความสาแก่ใจ แต่ควรกลับมาบอกรักตัวเองอย่างมีสติ เพื่อให้ปัญญาช่วยมองหาเส้นทางใหม่ที่นำไปสู่การปลดปล่อยความร้ายที่รุ่มร้อน ให้เกิดเป็นปัญญาใหม่ที่สงบเย็นและดีกว่าเดิม
เพราะคนอื่นทำร้ายเราได้ก็แค่เพียงร่างกาย แต่เขาไม่สามารถพรากจิตวิญญาณอันดีงามจากเราได้หากตัวเราไม่ยินยอมที่จะเป็นไปกับมัน หากมีสติมากพอ เราย่อมเติบโตและงดงามได้ท่ามกลางความบกพร่องของชีวิตสงบเย็นได้ท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งความทุกข์ เมตตา อภัย และวางใจได้ท่ามกลางความโหดร้ายที่คนอื่นกระทำต่อเรา นั่นคือวิถีแห่งปราชญ์ชีวิตที่เราควรสร้างให้มีในตัวเอง แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม
เรื่อง นัน
เรียบเรียง เชิญพร คงมา