สติชนะทุกสิ่ง อาโป – ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์
0
จากที่ไม่เคยเต็มใจสักครั้งเวลาต้องไปวัดและไม่เข้าใจคําสอนใดๆ ของศาสนาพุทธ แต่ปัจจุบัน อาโป – ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ กลับเป็นคนที่ซึมซับธรรมะ จนสามารถนํามาปรับใช้ในชีวิตจริงได้เป็นอย่างดี
0
อาโปเล่าถึงเส้นทางชีวิตก่อนจะสนใจ ธรรมะอย่างจริงจังว่า
0
“ผมมีพี่น้อง 3 คน มีพี่สาวและน้องชาย ผมเป็นคนกลาง คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงพวกเราแบบให้อิสระ 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์คุณต้องเข้าวัด โดยเฉพาะช่วง วันหยุดนักขัตฤกษ์ ปีใหม่ สงกรานต์ ฯลฯ เวลาต้องไปวัดผมไม่ชอบเลย เพราะติดเกมอยากอยู่บ้านเล่นเกมมากกว่า จนคุณพ่อคุณแม่ต้องเอาคอมพิวเตอร์ไปไว้ในห้องนอนของท่าน แล้วจํากัดเวลาในการเล่น เพื่อไม่ให้ผมติดเกมมากจนเกินไป
0
” ตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยเต็มใจไปวัดสักครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไปวัดที่ครอบครัวไปเป็นประจํา คือ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ขากลับนั่งอยู่บนรถ คุณแม่บอกว่าอยากให้ผมบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ผมตอบทันทีว่าไม่บวช คุณแม่พยายามโน้มน้าวอย่างไรผมก็ยืนกรานปฏิเสธจนท่านร้องไห้ พอผมเห็นอย่างนั้นก็คิดทันทีว่านี่เราทําอะไรลงไป จึงตกลงบวช 1 เดือน ตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้อะไรมาก ง่วงก็หลับทําได้ก็ทํา ทําไม่ได้ก็ไม่ทํา เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณแม่ให้เรามาปฏิบัตินั้นดีกับชีวิตเราอย่างไร”
0
ลายปีต่อมาเขาก็เดินทางมาถึงช่วงชีวิตที่เข้าหาธรรมะด้วยความเต็มใจเสียเอง
0
“ตอนผมเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 คุณพ่อคุณแม่ให้อิสระมากขึ้น เพราะต้องย้ายจากต่างจังหวัดมาเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะในกรุงเทพฯ การใช้ชีวิตคนเดียวทําให้ผมได้เล่นสงกรานต์เป็นครั้งแรก ทีนี้พอถึงเทศกาลปีใหม่ มันไม่เหมือนสงกรานต์ เพราะมันไม่มีกิจกรรมอะไรให้เล่น ผมนึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าจะไปที่ไหน ความทรงจําเกี่ยวกับเทศกาลปีใหม่ก็คือต้องไปวัดเท่านั้น เมื่อไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนจึงเลือกไปวัดเหมือนเดิม พอกลับไปคราวนี้ผมสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การได้กลับมาที่ที่เคยมา เรารู้สึกถึงความอบอุ่น มองมุมไหนก็สบายใจไปหมด จากนั้นผมก็เปิดใจ ตั้งใจปฏิบัติธรรมจริงจัง แล้วก็รู้เลยว่าธรรมะคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตจริง ๆ
0
พอโตขึ้น ผมต้องการความสงบมากขึ้น ก็เริ่มไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าโสมพนัส จังหวัดสกลนคร ที่นี่จะจัดปฏิบัติธรรมเป็นคอร์ส อย่างช่วงปีใหม่ คอร์สหนึ่งมี 100 คน ช่วงสงกรานต์มี 80 คน แต่ถ้าช่วงไหนไม่มีคอร์สก็จะไม่มีผู้ปฏิบัติธรรม มีแต่พระและลูกศิษย์วัด 2 – 3 คนเท่านั้น ผมชอบมาที่วัดนี้ เพราะสงบมาก สอนให้เราอยู่กับธรรมะจริง ๆ ธรรมะ คือ ธรรมดา ธรรมชาติ ตัดขาด สิ่งอํานวยความสะดวกทุกอย่าง ไฟก็ใช้โซลาร์เซลล์ น้ําก็สูบจากแม่น้ําด้านหลังวัดเครื่องมือสื่อสารหรือเครื่องประดับต่าง ๆ โดนยึดหมด เพราะไม่อยากให้เรายึดติดให้อยู่กับปัจจุบันและความเป็นจริง เนื่องจากวัตถุต่าง ๆ พวกนี้มันคือสิ่งสมมุติทั้งหมด
0
การปฏิบัติธรรมคือการให้เราทวนกระแสกิเลส ปกติเราตามมันมาตลอด อยากนั่งก็นั่ง ร้อนก็เปิดแอร์หรือถ้าร้อนมากจริง ๆ อาจไปเดินเล่นอยู่ในห้าง พอมาปฏิบัติธรรมสิ่งที่ผมต้องทําคือ ปิดวาจา เดินจงกรมนั่งสมาธิ เวลาเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ เราต้องต่อสู้กับความคิดที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สําหรับผม ความคิดก็เหมือนรถแท็กซี่ ถ้าออกจากห้างมีรถแท็กซี่มาจอดตรงหน้า เรามีสิทธิ์เลือกที่จะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็ได้ ถ้าเราขึ้นมันพาเราออกไปไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราเลือกที่จะไม่ขึ้น เรายืนที่เดิม เหมือนกับเรามีสติรู้ทันว่าเราจะไม่ขึ้นนะ ไม่ให้เธอพาไปไหน”
0
ไปเห็นความสําคัญเรื่องสติมาก หากไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็จะฝึกสติช่วงเวลาว่างเสมอ
0
“ถ้านั่งว่าง ๆ ผมจะยกมือขึ้นมาหนึ่งข้างเอาปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งแตะกัน จากนั้นก็วนนิ้วทั้งสองที่แตะกันไปมา ระหว่างที่วนผมจะไม่พูดอะไร วนไปเรื่อย ๆ ผ่านไปประมาณ 1 นาที เราจะรู้สึกว่าความคิดเข้ามาเรื่อย ๆ เราก็แค่รู้ว่าความคิดมันเข้ามา แต่ถ้าเรามีสติ เราจะจดจ่ออยู่ที่การวนนิ้ว ทําให้เราอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ถ้าเราฝึกสติบ่อย ๆ นอกจากจะทําให้เราอยู่กับปัจจุบันเป็นแล้ว ยังทําให้ เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจคนอื่น เพราะเรารู้จักฟังเขา รู้ว่าเขาต้องการอะไร ก็จะทําให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น”
0
ธรรมะกับชีวิตประจําวันไม่ได้แยกขาดจากกันอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ อาโปเล่าถึงการนําธรรมะเข้ามาใช้จัดการความทุกข์ว่า
0
ความทุกข์ของผมไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร มันคือเรื่องความเหงา เวลาที่เกิดความเหงา เราจะปรุงแต่งเองว่าเราอยากมีแฟนแล้ว เราอยากได้แฟนแบบนั้นแบบนี้ ถ้าเราเผลอปล่อยไปตามอารมณ์ก็จะจมอยู่กับความเหงา แต่ถ้าเรามีสติ เราจะมองดูความเหงาที่เกิดขึ้นพอมันเกิด มันตั้งอยู่ สักครู่หนึ่งมันก็ดับไป ถ้ามันเกิดขึ้นใหม่ เราก็เฝ้ามองมันใหม่ เราแค่เฝ้าดูมันด้วยสติเท่านั้น แล้วเราจะไม่ทุกข์
0
การมีสติและอยู่กับปัจจุบันจะทําให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ว่าอะไรจะมากระทบ ก็แค่รู้แล้วปล่อยมันไป หรือถ้าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้น มันก็ต้องเกิด เราแค่มีสติแล้วรับมือกับมัน เพราะท้ายที่สุดแล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป”
0
ไม่ว่ากับเพศใด วัยไหน ธรรมะสามารถนํามาใช้กับชีวิตได้อย่างแท้จริง
0
ที่มา : นิตยสาร Secret ปี 2559 ฉบับที่ 193 (10 ก.ค. 59) หน้า 62-63
คอลัมน์ : new gen dhamma
ผู้เขียน/แต่ง : อุรัชษฎา ขุนขำ
ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ ธนทัช หิรัญวรกุล
0
0
บทความน่าสนใจ