4 สมุนไพรบรรจุเม็ด กินอย่างไรไม่อันตราย
สมุนไพรบรรจุเม็ด เป็นทางเลือกใหม่ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะซื้อหาได้ง่าย ไม่ต้องตระเตรียม ต้ม เคี่ยว กันให้ยุ่งยากเหมือนสมัยก่อน
ทว่าฉลากผลิตภัณฑ์มักไม่ค่อยแจกแจงสรรพคุณหลัก และผลข้างเคียงให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ได้รู้มากนัก ด้วยแนวคิดเดิมๆ ที่ว่าสมุนไพรปลอดภัย กินอย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย ทำให้หลายคนเกิดปัญหาสุขภาพจากการกินสมุนไพรบรรจุเม็ดเหล่านี้
ชีวจิต ขอแนะนำการกินสมุนไพรบรรจุเม็ดยอดฮิตหลายๆ ตัวให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุดกันค่ะ
ใบแปะก๊วย (กิงโกะบิโลบา) บำรุงสมอง ป้องกันความเสื่อม
แปะก๊วยเป็นพืชที่มีสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก มีอายุกว่า 200 ล้านปี ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในเรื่องช่วยฟื้นฟูอาการความจำเสื่อม
สรรพคุณหลัก: ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงที่สมองดีขึ้น ทำให้สมองได้รับออกซิเจนมากขึ้น จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุที่อาจมีภาวะหลอดเลือดแดงตีบจากคอเลสเตอรอลหรือสาเหตุอื่น ถ้าเลือดไหลเวียนไปที่สมองน้อย จะทำให้เกิดอาการหลงๆ ลืมๆ ความจำเสื่อม หรือวิตกกังวล ปวดศีรษะ เครียด สับสน หูอื้อ และเวียนศีรษะ ดังนั้นแปะก๊วยอาจช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้
กินอย่างไรดี: ถ้าต้องการบำรุงความจำและการไหลเวียนเลือด ให้ใช้วันละ 120 มิลลิกรัม คือ กินขนาดเม็ดละ 40 มิลลิกรัม 3 ครั้ง หรือกิน 3 เม็ดก่อนนอน
หากต้องการฟื้นฟูอาการโรคอัลไซเมอร์ โรคเครียด หูอื้อ วิงเวียน และอาการเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ให้กินได้ไม่เกินวันละ 240 มิลลิกรัม ตามปกติต้องกินต่อเนื่อง 4-6 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่า 12 สัปดาห์จึงจะเห็นผล
ผลข้างเคียง:
- แปะก๊วยอาจทำให้เกิดอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน แต่อาการไม่รุนแรง และเป็นชั่วคราว 2-3 วันแรกที่กิน
- บางคนอาจรู้สึกปวดศีรษะ ถ้าอาการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหามาก ควรหยุดกินหรือลดขนาดลง
- แปะก๊วยจะเพิ่มฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดในผู้ที่กินยาแอสไพรินในระยะยาว อาจทำให้มีเลือดไหลผิดปกติ
ติดตามสมุนไพรตัวต่อไป ในหน้าถัดไป
โสม ยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกาย
โสมเป็นยาอายุวัฒนะและบำรุงร่างกายที่โด่งดังที่สุดในโลกตะวันออก โสมในภาษาอังกฤษเรียกว่า Ginseng ซึ่งมาจากภาษาจีนว่า “jen shen” มีความหมายว่ารากมนุษย์ เนื่องจากมีรูปร่างเหมือนเรือนร่างของคนเรานั่นเอง
สรรพคุณหลัก: ลดผลร้ายจากความเครียด เสริมกำลังวังชาและสร้างภูมิคุ้มกัน โสมจีนอาจช่วยรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย
กินอย่างไรดี: สำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ต้องการกินเพียงเพื่อบรรเทาอาการเหนื่อยล้า ควรกินวันละ 100-250 มิลลิกรัม แต่หากจะกินเพื่อบรรเทาอาการเครียดหรือฟื้นฟูร่างกายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ควรกินครั้งละ 100-250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
เคล็ดลับการกินโสมมีอยู่ว่า ให้เริ่มกินโสมจากขนาดน้อยๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มปริมาณขึ้น แนะนำให้ กินโสมทุกๆ 2-3 สัปดาห์ แล้วหยุดกิน 1 สัปดาห์ แล้วจึงกลับมาเริ่มต้นกินใหม่ในปริมาณเดิม
ข้อควรระวัง:
- โสมอาจไปกระตุ้นการทำงานของประสาทมากเกินไปจึงอาจทำให้การย่อยอาหารผิดปกติ
- หากกำลังกินยาทางจิตเวช หรือยากลุ่มสเตียรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โสม
- หากกำลังกินยารักษาภาวะซึมเศร้ากลุ่ม MAOI ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกิน
- หากกินโสมในระยะยาว อาจมีผลให้ต้องปรับขนาดอินซูลินและยารักษาเบาหวาน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนกินโสม
- หากกินร่วมกับยาฟูโรซีไมด์ซึ่งเป็นยารักษาโรคความดันโลหิตสูง โสมอาจเพิ่มฤทธิ์ในการลดความดันโลหิขของยากลุ่มนี้
กระเทียม ลดคอเลสเตอรอล เสริมภูมิคุ้มกัน
หลายพันปีแล้วที่มนุษย์รู้จักพลังบำบัดของกระเทียม เชื่อไหมคะว่าคนงานที่ก่อสร้างพีระมิดอียิปต์กินกระเทียมเพื่อเสริมความแข็งแรงทนทานของร่างกาย ชาวยุโรปกินกระเทียมเวลาเกิดโรคระบาดรุนแรง
สรรพคุณหลัก: ลดคอเลสเตอรอล ลดการแข็งตัวของเลือด ต้านการติดเชื้อ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
กินอย่างไรดี : ถ้ากินเพื่อเสริมสุขภาพหรือลดคอเลสเตอรอล ให้กินสารเสริมอาหารกระเทียม 400-600 มิลลิกรัม ทุกวัน ในกรณีที่กินเพื่อต้องการลดระดับคอเลสเตอรอล หลังจากกินแล้ว 3 เดือน ควรตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของระดับคอเลสเตอรอล ถ้าไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้วิธีอื่น
หากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่กินสารเสริมอาหารกระเทียมวันละ 400-600 มิลลิกรัม แบ่งเป็นวันละ 4 ครั้ง ทั้งนี้ควรกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกระเทียมที่ได้มาตรฐานที่มีสารอัลลิซินเม็ดละ 4,000 ไมโครกรัม ซึ่งเท่ากับปริมาณกระเทียมสด 1 หัว
ข้อควรระวัง:
- เมื่อกินกระเทียมปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย มีแก๊สในลำไส้และท้องเสีย
- กระเทียมอาจเสริมฤทธิ์ยาที่ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด
- อาจเสริมฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดในผู้ที่กินยาแอสไพรินในระยะยาว
- อาจเสริมฤทธิ์ยาลดความดันโลหิต
ติดตามสมุนไพรตัวต่อไป ในหน้าถัดไป
มะขามแขก ตัวช่วยระบาย
สาวๆ ที่อยากมีหุ่นสวยมักคิดพึ่งพายาระบายเป็นตัวช่วย และมะขามแขกก็เป็นตัวเลือกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมเสมอมา
สรรพคุณหลัก: ใบและฝักของมะขามแขกออกฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัว จึงมีสรรพคุณเป็นยาระบาย
กินอย่างไรดี: สำหรับยาระบายมะขามแขกชนิดแคปซูลที่ขายตามท้องตลาด มักระบุขนาดเป็น
น้ำหนักของใบมะขามแขกแห้ง ซึ่งแนะนำให้กินวันละ 2-4 แคปซูล (แคปซูลละ 500 มิลลิกรัม ใบมะขามแขกแห้ง) ซึ่งมีปริมาณสาร sennoside แตกต่างกันไปตามแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งสาร sennosides ที่แนะนำต่อวันคือ 20-30 มิลลิกรัม ขนาดสูงสุดที่สามารถกินได้คือวันละ 70 มิลลิกรัม ไม่ควรใช้ยาเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานเกิน 5-7 วัน
ผลข้างเคียง:
- มีรายงานว่าผู้หญิงที่กินมะขามแขกในขนาดสูงหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจก่อพิษต่อตับ
- การกินมะขามแขกอาจทำให้เกิดอาการปวดมวนท้องอย่างอ่อนหรือเกิดอาการปวดเกร็งช่องท้อง การกินเป็นเวลานานหรือกินในขนาดสูงทำให้ท้องเสีย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรไลท์ ซึ่งทำให้เกิดการขาดโพแตสเซียมได้ นอกจากนี้ยังทำให้กล้ามเนื้อภายในลำไส้ใหญ่ทำงานผิดปกติ
- หากกินติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการดื้อยา ไม่สามารถถ่ายเองได้
ก่อนซื้อสมุนไพรต้องศึกษาผลได้ผลเสียให้ถ้วนถี่ เพราะอะไรที่มีคุณอนันต์ถ้าใช้ผิดๆ ก็เกิดโทษมหันต์ได้ค่ะ
ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิตฉบับ 360