รองเท้าออกกำลังกาย ที่จะลดแรงกระแทก และช่วยให้ออกกำลังกายได้ดีขึ้น ต้องเลือกอย่างไร
รองเท้าออกกำลังกาย เลือกอย่างไรดี คำถามนี้ ตอบแบบผิวๆ คงบอกได้แค่ว่า ควรเลือกรองเท้าสําหรับกีฬาแต่ละชนิด เนื่องจากรองเท้าแต่ละรุ่น แต่ละแบบ สามารถรองรับแรงกระแทกได้ต่างกัน ซึ่งรองเท้าที่ดีจะช่วยลดอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าและข้อเข่าระหว่างการออกกำลังกายที่ติดต่อกันนานๆ
เลือกรองเท้าออกกำลังกาย
- เลือกให้เหมาะกับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเท่านั้น รองเท้าสําหรับเดิน พื้นรองเท้าต้องแข็งกว่ารองเท้าสําหรับวิ่ง ส่วนรองเท้าสําหรับวิ่งต้องมีความยืดหยุ่นมากกว่า เพื่อรองรับแรงกระแทกเป็นพิเศษ ถ้าคุณต้องการทําทั้งสองกิจกรรมก็ควรมีรองเท้าสองประเภท
- รู้จักรูปทรงเท้าของตน เพราะรูปเท้าของแต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกันออกไป และท่าทางการเดินของคนเราก็มีความเฉพาะตัว จึงจําเป็นต้องเลือกรองเท้าคู่ที่ใช่ ซึ่งควรลองสวมก่อนตัดสินใจซื้อ
- หมั่นวัดไซส์รองเท้าอยู่เสมอ คุณสตีเฟน ไรเกนผู้อํานวยการด้านการเดินและข้อเท้าแห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโทมัส เจฟเฟอร์สัน ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ขนาดเท้าของเราเปลี่ยนแปลงเสมอเมื่ออายุมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราควรวัดขนาดเท้าประมาณสองครั้งต่อปี และควรเลือกรองเท้าที่พอดีกับเท้า ไม่ใช่เลือกจากตัวเลขไซส์ เพราะไซส์ของแต่ละแบรนด์ก็ไม่เท่ากัน”
- เลือกซื้อรองเท้าตอนเย็น เพราะเท้าจะขยายออกในช่วงนั้น รวมถึงช่วงเวลาที่วิ่งหรือเดินมากๆ ซึ่งจะเป็นช่วงที่เท้าขยายใหญ่ที่สุด
- อย่าลืมพกถุเท้าคู่โปรด เมื่อไปซื้อรองเท้า หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ สําหรับเท้า
- ใช้กฎของนิ้วโป้ง ระหว่างรองเท้าและปลายเท้าควรมีช่องว่างประมาณความกว้างของนิ้วหัวแม่มือ (3-8-1-2 นิ้ว) โดยให้ส้นเท้าพอดีกับรองเท้าและกระชับเท้าพอดีขณะก้าวเดิน สถาบันศัลยแพทย์กระดูกและข้อแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนําว่า เมื่อสวมใส่รองเท้ากีฬา เราควรสามารถที่จะขยับนิ้วเท้าทุกนิ้วได้อย่างอิสระ
- อย่าซื้อเพราะสวย รองเท้ารุ่นที่มีอุปกรณ์เสริมใหม่ๆ สะดุดตามักมีประโยชน์เฉพาะแตกต่างกัน เช่น ใส่เจล ฟรีออน หรือลมไว้ตรงช่องว่างระหว่างรองเท้า เพื่อให้รู้สึกเหมือนมีสปริง ซึ่งเหมาะสําหรับนักวิ่งที่ต้องการลดแรงกระแทกบริเวณข้อเท้า แต่ไม่เหมาะกับนักวิ่งที่ข้อเท้าพลิกง่าย
- อย่าคิดว่า “ใส่ไปเหอะเดี๋ยวก็ดีเอง” คุณสตีเฟน กล่าวว่า รองเท้าสําหรับวิ่งและรองเท้าสําหรับเดิน ควรให้ความรู้สึกะดวกสบายตั้งแต่แรกสวม ฉะนั้นเมื่อเลือกซื้อรองเท้าจึงควรลองเดินหรือวิ่งด้วย เพื่อความมั่นใจว่าสวมใส่แล้วสบายเท้าจริงๆ
- อย่าลงทุนกับรองเท้ามากหรือน้อยเกินไป ถึงแม้ว่ารองเท้าคุณภาพดี จะมีราคาค่อนข้างแพงแต่ก็คุ้มค่า แต่หากซื้อคู่ที่มีราคาแพงเพียงเพราะต้องการสวมใส่ตามแฟชั่นหรือดาราบางคน รองเท้าคู่นั้นจึงอาจไม่คุ้มกับเงินจํานวนมากที่ต้องเสียไป
- รู้เวลาเปลี่ยนคู่ใหม่ คลิฟฟอร์ด เจง ศัลยแพทย์เท้าและข้อเท้า ประจําศูนย์การแพทย์เมอร์ซี่แห่งรัฐบัลติมอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า โดยปกติแล้วเราควรเปลี่ยนรองเท้าวิ่งทุกๆ 560-650 กิโลเมตร นอกจากนี้รูปทรงของรองเท้าที่เปลี่ยนไป รวมทั้งความรู้สึกขณะสวมใส่ก็สามารถบอกวันหมดอายุของรองเท้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อด้านในรองเท้าขาดหรือรู้สึกไม่สบายเท้าเหมือนเดิมขณะสวมใส่ ก็บ่งบอกว่าถึงเวลาที่ควรทิ้งคู่เก่าและไปเลือกซื้อคู่ใหม่ได้แล้ว
ทำความสะอาดรองเท้าวิ่งอย่างไรดีนะ
- ทําความสะอาดคราบดินและรอยเปื้อนด้วยแปรงสีฟันหรือแปรงที่แห้งสะอาด
- ใช้ผ้าชุบน้ําเช็ดบริเวณที่มีคราบฝังแน่นและส่วนอื่นๆ ของรองเท้าที่ไม่ได้ทําจากเนื้อผ้า
- แยกแผ่นรองพื้นรองเท้าออกมาซัก วิธีนี้จะช่วยกําจัดกลิ่นอับชื้นในรองเท้าได้
- แยกซักเชือกรองเท้าต่างหาก
- จากนั้นใช้แปรงอันเดิมจุ่มน้ำสบู่อ่อนอุ่นๆ หรือน้ำยาล้างรองเท้ากีฬาแปรงรองเท้าให้สะอาด
- หาผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดคราบสบู่และคราบดินให้หมดจด
- ขยํากระดาษหนังสือพิมพ์ใส่เข้าไปในรองเท้า
- เพื่อรักษาทรงและคงความชุ่มชื้นให้กับรองเท้า หลังจากนั้นนํามาตากลมให้แห้ง หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับรองเท้าหรือนําไปตากแดด เพราะจะทําให้รองเท้าเสียทรงได้
บทความอื่นที่น่าสนใจ
วิ่งลดน้ำหนัก ใน 12 สัปดาห์ ทำตามแล้วจะรู้ว่า ผอม!
เจ็บขา ขณะวิ่ง แก้ไขยังไงดีหนอ
ลดน้ำหนักเร่งด่วน สไตล์เทรนเนอร์ดังจากเกาหลี