ของหวาน

บ.ก.ขอแชร์ นักกินขนม ของหวาน ตัวยง

นักกินขนมและ ของหวาน

ไม่นานมานี้ พบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับน้ำตาล ที่สั่นสะเทือนวงการสุขภาพ เขียนโดยคุณริชาร์ด ดาเจนาอิส ผู้สื่อข่าวและนักเขียนสายสุขภาพ อ้างถึงนิตยสาร New York Times ที่เปิดเผยว่าเมื่อปี 1964 บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำตาล ได้จ่ายเงิน 5 หมื่นเหรียญจ้างนักวิจัยเกี่ยวกับสารอาหารของฮาร์วาร์ด 3 ท่าน ในการให้ข้อมูลตีพิมพ์เผยแพร่แก่วงการสุขภาพว่า สาเหตุตัวเป้งของโรคร้ายนั้นมาจาก ไขมัน

ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เราจึงไม่ได้สนใจว่า อาหารหลายอย่างที่กินเข้าไป โดยเฉพาะขนมปัง เบอร์เกอร์ แซนด์วิช ที่ฝรั่งกินกันเป็นอาหารหลัก มีส่วนผสมของน้ำตาลเกินมาตรฐาน ต่อให้ควบคุมไขมัน เป็นโลว์แฟตก็แล้ว ชาวอเมริกันก็ยังอ้วนตึ่ก เสี่ยงสารพัดโรคร้ายอยู่ดี

นั่นคือข่าวที่เราเพิ่งรู้กัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตั้งแต่เกิดมา ทุกคนย่อมค่อยๆ เรียนรู้ข้อมูลสุขภาพจากวิชาสุขศึกษาและอาหารต่างๆ ที่เรากินกันทุกวันว่า การกินขนมอันได้แก่ ขนมปังกรอบเคลือบช็อกโกแลต ลูกอม เยลลี่ น้ำแข็งใส ขนมหวานแบบไทย เป็นอาหารหลักก็ย่อมไม่ก่อผลดีต่อสุขภาพ (โดยเฉพาะความรู้จากอาจารย์สาทิส และสิ่งที่ชีวจิตนำเสนอตลอดมา)…แต่ช่วงหนึ่ง เราก็ดื้อดึง และบริโภคตามแบบที่เราพอใจ โดยเฉพาะช่วงงานหนัก ยุ่งวุ่นวาย และต้องการความหวานมาช่วยผ่อนคลาย (สมัยนั้นยังขี้เกียจออกกำลังกาย และการฝึกผ่อนคลายจิตใจก็เป็นลักษณะการนั่งหลับตาทำสมาธิ)

ยิ่งน้ำหนักตัวไม่ขึ้น ก็ยิ่งได้ใจ ครั้งหนึ่งอาจารย์สาทิสเคยขอดูลิ้น เราแลบให้ท่านดู ท่านว่า เรากินของหวานเยอะเกินไป ก็ย้อนถาม (ด้วยความสำรวมและน่ารัก) ไปว่า อาจารย์รู้ได้อย่างไร ท่านว่า ความหวานทำให้ตับทำงานหนักเกินไป และมันจะสะท้อนความผิดปกติมาที่ลิ้น…อืม…ตอนนั้นลิ้นเราเป็นฝ้าขาวหนา

ขนมหวาน

อาจารย์บอกให้ลดๆ ซะบ้าง ก็ได้แต่พยักหน้าค่ะๆ รับคำ แต่ก็ไม่ได้ทำตามจริงจัง เพราะการเสพติดความหวาน มันหวานนนนนนนนเหลือเกิน

ฮั่นแน่…มีชาวแฟนเพจหลายคนบอกว่า เห็นด้วย!!!

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.