เรื่องหลอนของ รถมือสอง – สมัยนี้ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นทุกวัน สวนทางกับเงินเดือนที่คงที่ กว่าจะขยับขึ้นแต่ละทีก็ต้องรอเวลาผ่านไปเป็นปีๆ ดังนั้น การที่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ จะมีเงินเหลือเก็บสักก้อน…จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
หลังจากนั่งคิดนอนคิดถึงเรื่องนี้อยู่นาน ฉันก็มองไม่เห็นทางไหนที่จะสร้างความอุ่นใจให้ตัวเองได้ดีมากเท่ากับ “การเปลี่ยนอาชีพใหม่” ไปเลย! หวังจะขยับเงินเดือนขึ้นมาก ๆ ในครั้งเดียว
ถึงวิธีนี้จะเสี่ยงไปสักนิด เพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายคนก็ไม่แนะนำ แต่คนอย่างฉันบทจะดื้อขึ้นมา ใครก็ห้ามไม่อยู่ วันหนึ่งฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนงานเป็น “เซล” ของบริษัทใหญ่ใจกลางเมือง ถึงตอนนั้นฉันจะยังไม่มีรถขับเหมือนเซลคนอื่น ๆ ก็จริง แต่ก็อาศัยนั่งแท็กซี่ รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน หรือถ้าสุด ๆ จริง ๆ ก็นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างเอา สุดท้ายฉันก็เริ่มเหนื่อยกับการเดินทางแบบนี้ แต่ละวันกลับถึงบ้านก็แทบไม่เหลือเรี่ยวแรง
หลังอดทนใช้ชีวิตเหนื่อย ๆ อยู่นานเป็นเดือน ฉันตัดสินใจขอยืมเงินแม่มาก้อนหนึ่ง หวังจะหาซื้อ รถมือสอง สักคัน ทั้งที่แอบไม่แน่ใจถึงคุณภาพ ระบบความปลอดภัย วิญญาณที่อาจแฝงมาในรถ ฯลฯแต่เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือ พยายามเลือกให้ดีที่สุด หลังจากใช้เวลาเลือกอยู่เกือบเดือน…ฉันก็เจอรถที่ถูกใจ หลังจากตรวจเช็กจนมั่นใจ ฉันตกลงใจดาวน์รถคันนี้ออกมาขับทันที
ฉันตั้งชื่อรถคันนี้ว่า “ฟ้าใส” สมกับตัวรถที่มีสีฟ้าสดใสค่ะ
จากวันนั้นมา ฟ้าใสก็กลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของฉัน เราไปไหนมาไหนด้วยกันทุกที่ จะออกจากบ้านเช้าตรู่หรือกลับบ้านมืดค่ำ ฉันก็อุ่นใจเมื่ออยู่ในฟ้าใสเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งฟ้าใสก็ทำให้ฉันถึงกับขนลุกไปทั้งตัว วันนั้นฉันผจญกับการจราจรนานหลายชั่วโมงจนนาฬิกาบอกเวลาใกล้สี่ทุ่ม ขาทั้งสองเริ่มล้า หลังเริ่มปวด ต้นคอก็เริ่มตึง จนฉันอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาลั่นรถว่า “เมื่อยตัวไปหมดเลย เมื่อยที่สุด”
ทันใดนั้นเองฉันก็รู้สึกว่ามี “บางอย่าง” กำลังดุนเบา ๆ บริเวณเบาะด้านหลังที่ฉันนั่งอยู่!
วินาทีนั้นฉันขนลุกไปทั้งตัว เพราะตอนนั้นในรถมีฉันแค่คนเดียวเท่านั้น แล้วรถคันนี้ก็ไม่ได้มีระบบนวดไฟฟ้า ระบบผ่อนคลายอะไรทั้งสิ้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร ฉันรีบพนมมือยกมือไหว้ท่วมหัว “ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกด้วยเถิด ขอแม่ย่านางคุ้มครองลูกด้วย สาธุ”
พออธิษฐานเสร็จปั๊บ “บางอย่าง” ที่ว่าก็ล่าถอยออกไปจากเบาะรถของฉัน ทิ้งเอาไว้แต่เหงื่อเม็ดโป้งที่พร้อมใจกันผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า ถึงจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ฉันพยายามคิดว่า “บางอย่าง” ที่ว่านั้นมาดีแน่ ๆ ท่านอาจจะอยากช่วยฉันให้หายเมื่อย หรือไม่ก็แสดงตัวให้รู้ว่า ท่านคอยคุ้มครองฉันอยู่นะ ไปไหนมาไหนไม่ต้องกลัว พอคิดได้อย่างนี้ฉันก็พอสบายใจขึ้นมาบ้างและสามารถขับฟ้าใสต่อไปได้
สองเดือนต่อมา ฉันขับฟ้าใสไปทำงานตามปกติ จะผิดปกติก็ตรงที่วันนั้นลูกค้า เจ้ากรรมพร้อมใจกันโทรศัพท์เข้ามาไม่ขาดสาย ฉันจึงต้องขับรถมือหนึ่ง ถือโทรศัพท์มือหนึ่งอยู่เกือบตลอด หวุดหวิดจะชนท้ายคันหน้าอยู่หลายครั้ง และแล้วก็เจอดีจนได้ เมื่อจู่ ๆ รถเก๋งคันหนึ่งก็เร่งความเร็วขึ้นมาทางด้านซ้ายของฉัน ก่อนจะปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด ด้วยความตกใจกลัวจะชนท้ายรถคันนั้นเข้า ฉันจึงรีบหักพวงมาลัยรถหลบทันที!
จากนั้นมาฉันก็เหมือนโทรทัศน์จอดับ ได้ยินแต่เสียงตึ้ง ตึ้ง และตึ้งใหญ่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนรถหยุดนิ่งแล้ว พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงจีนแก่ ๆ ดังแว่ว ๆ อยู่ข้างหู “หนู ๆ เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ฉันอยากลืมตาใจจะขาด อยากจะรู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่ทำอย่างไรก็ลืมตาไม่ขึ้น รู้สึกหนักไปหมด ผ่านไปพักใหญ่ ๆ จึงได้ยินเสียงคนตะโกนดังโหวกเหวกขึ้นมาอีกครั้ง “หนู ๆ ลุกได้ไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
คราวนี้ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ภาพแรกที่เห็นคือ ผู้หญิงผู้ชายไม่ต่ำกว่าสามคนกำลังพยายามเปิดประตูเพื่อพาฉันลงจากรถ พอออกมาจากรถได้ปั๊บ ฉันแทบจะร้องไห้เสียให้ได้ เพราะสภาพของฟ้าใสในตอนนั้นพังยับไปทั้งคัน ชนิดที่ว่าใครเห็นเข้าจะต้องคิดว่าคนขับไม่รอดแน่ ๆ แต่ฉันกลับแทบไม่บาดเจ็บอะไรเลย มีเพียงเศษกระจกบาดตรงเหนือคิ้วขวาและแขนขวานิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น
หลายคนพากันถามว่า ฉันมีพระดีอะไร ขนาดขับรถเหินข้ามเลนมายังไม่เป็นอะไรเลย ฉันเองก็ตอบไม่ถูก รู้แต่เพียงว่าระหว่างที่ฉันรู้สึกเหมือนโทรทัศน์จอดับนั้นฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองกระแทกกับอะไรเลย กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างประหลาดด้วยซ้ำ!
แต่แล้วจู่ ๆ ความคิดนี้ก็ต้องสะดุดหยุดลงทันทีที่มีเสียงผู้ชายตะโกนถามขึ้นมาว่า “มีใครพาอาม่าที่นั่งเบาะหลังไปส่งโรงพยาบาลหรือยัง” ฉันขนลุกซู่อีกครั้งเพราะฉันมาแค่คนเดียว ไม่มีใครติดรถมาด้วยทั้งนั้น!
ตอนนั้นสมองของฉันคิดไปสารพัดว่า เสียงผู้หญิงจีนแก่ ๆ ที่เรียกฉันเป็นคนแรกคืออาม่าหรือเปล่า ผู้ที่ปกป้องฉันจากแรงกระแทกคืออาม่าหรือเปล่า และ “บางอย่าง” ที่มาดุนเบาะของฉันในวันนั้นเป็นอาม่างั้นหรือถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อาม่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของเก่าของรถคันนี้!
ฉันยกมือไหว้ท่วมหัวอีกครั้ง ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครอง ขอบคุณอาม่าที่ช่วยชีวิต
หลังเคลียร์เรื่องรถเสร็จ ไม่ว่าใครจะพูดว่าเรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ และการที่ฉันรอดตายเป็นเพราะดวงยังไม่ถึงฆาต ไม่ได้เกี่ยวกับใครหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ฉันไม่สนใจ รีบไปวัดเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้ากรรมนายเวร รวมถึงอาม่าที่ช่วยชีวิตฉันไว้ เพราะอย่างน้อยฉันก็อุ่นใจและสบายใจที่ได้ทำ
แต่ถึงอย่างไร นับจากนี้ฉันก็คงไม่กล้าซื้อรถมือสองอีกแล้ว เพราะครั้งนี้ฉันอาจจะ “โชคดี” ที่ได้เจอรถของอาม่า แต่ถ้าคราวหน้าไม่ใช่ ฉันจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครตอบได้
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ปลายเทียน