ติดเพื่อน

Ture Story : ขอให้เรื่องนี้ เป็นเพียงความฝัน

ขอให้เรื่องนี้ เป็นเพียงความฝัน ชีวิตพลิกเพราะ ติดเพื่อน และดื่มเหล้า ใครจะคาดคิดว่าเหล้าเพียง 3 จิบ หมัดเพียง 4 หมัด จะทําให้ผมต้องสูญเสียอิสรภาพไปถึง 5 ปี

ผมเกิดในอําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่จําความได้ชีวิตผมมีเพียงแม่ยายและพี่สาวที่เลี้ยงดูมาตลอด เพราะพ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ผมยังเล็ก ครอบครัวเราค่อนข้างยากจน แม่ต้องออกไปรับจ้าง เพื่อหาเงินมาดูแลทุกคน เราไม่มีบ้านเป็นหลักแหล่ง เมื่อย้ายบ้านผมก็ต้องย้ายโรงเรียน ประกอบกับผมเรียนไม่เก่งจึงต้องซ้ำชั้นอยู่หลายครั้ง ขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้นป.6 เพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ชั้นม.2-3 ผมไม่อยากเรียนต่อเพราะอายเพื่อน ๆ จึงเริ่มติดเพื่อนนอกโรงเรียน เมื่อจบชั้นประถมศึกษาจึงไม่เรียนต่อ

ต่อมาแม่และพี่สาวไปทํางานในกรุงเทพฯปล่อยให้ผมอยู่กับยาย ช่วงนั้นผมได้รับอิสระอย่างเต็มที่ ทําตัวเสเพล ออกไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อน กลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ มีเรื่องชกต่อยทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ

เมื่อแม่รู้ว่าผมเกเรจึงพาเข้ากรุงเทพฯ และพาไปสมัครงานกับบริษัทจัดหางาน ไม่นานผมก็ได้งานในโรงงานแห่งหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมนัก สิ่งนี้ทําให้ผมดีใจที่สุด เพราะจะได้กลับไปเจอเพื่อนกลุ่มเดิมและใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง ตอนนั้นผมคิดเสมอว่าเพื่อนคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต

พอนานวันเข้าจากการนั่งรถไปหาเพื่อนแค่ช่วงสุดสัปดาห์ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นการย้ายไปเช่าห้องอยู่ด้วยกันแทน ผมขาดงานบ่อยขึ้น และกลับมาใช้ชีวิตเสเพลเช่นเดิม

แม้ว่าผมใช้ชีวิตกับกลุ่มเพื่อนที่ติดยาเสพติด แต่กลับไม่เคยคิดลองเลยสักครั้ง เพราะเวลาเห็นเพื่อนเมายา เขาจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งการพูดจาและท่าทาง ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น แม้เพื่อนจะชวนดื่มเหล้า ผมก็มักดื่มเพียงเล็กน้อยเพราะไม่ชอบ ผมแค่ชอบบรรยากาศที่สนุกสนาน เสียงหัวเราะเฮฮา และการได้นั่งคุยกับเพื่อนมากกว่า

ผมใช้ชีวิตอย่างนั้นเรื่อยมาโดยไม่คิดเลยว่า บรรยากาศสนุกสนานที่ผมชอบนั้นจะพลิกชีวิตผมจากหน้ามือเป็นหลังมือ

กลางดึกคืนหนึ่งระหว่างที่ผมสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ประมาณ 10 คน เรานั่งร้องเพลงและเล่นกีตาร์ในห้องพักตามปกติ ตํารวจก็มาเคาะประตูห้องพร้อมตักเตือนว่าพวกผมเสียงดัง เราจึงย้ายไปนั่งเล่นกันที่ศาลารอรถประจําทาง ที่ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านคาราโอเกะระหว่างนั่งดื่มกินกันผมสังเกตเห็นผู้ชาย 2 คน คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว อีกคนใส่เสื้อสีเขียวยืนอยู่หน้าร้านพร้อมมองมาที่กลุ่มผม จากนั้นชายเสื้อสีขาวก็เดินกลับเข้าร้านไป แต่ชายเสื้อสีเขียวกลับเดินพุ่งตรงมาที่ศาลาซึ่งพวกเรานั่งอยู่ เพื่อนของผม 2-3 คนลุกขึ้น และเดินเข้าไปต่อยทันทีด้วยเหตุผลง่าย ๆ “แค่มองหน้าแล้วไม่ถูกชะตา”

ผมได้แต่ยืนมองไม่เข้าไปร่วมวง แต่ก็ไม่คิดจะห้ามเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ หลังจากต่อยกันไม่นาน คงเพราะชายคนนั้นเมาเป็นทุนเดิม เขาก็ล้มลงและสลบไป เพื่อนของผมจึงเดินกลับมาที่กลุ่ม เราคุยกันว่าจะย้ายไปนั่งกินที่อื่น ห่างจากที่เดิมประมาณ 200เมตร เพราะไม่อยากมีเรื่องอีก

จากนั้นผมเห็นชายเสื้อสีขาวเดินออกจากร้านและขับรถหายไป จึงคิดว่าน่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว เรานั่งเล่นต่อสักพัก และกําลังจะเดินกลับห้อง แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นไปตามคาด ผมเหลือบไปเห็นชายอีกคนสวมเสื้อสีดำเดินอยู่บนสะพานลอย ท่าทางเหมือนมองหาใครบางคน ผมกับเพื่อนอีก 3 คนจึงเดินไปสังเกตการณ์

ตอนนั้นผมมีสติครบถ้วนเพราะจิบเหล้าไปแค่เล็กน้อย จึงเห็นว่ามือของเขาถือของบางอย่างมา 2 ชิ้น ลักษณะผอม ๆ ยาว ๆ ห่อผ้าสีขาวมาอย่างดี ผมเดาได้ทันทีว่าน่าจะเป็นมีด

เขาเดินตรงมาที่ผมท่าทางเมามาย และถามว่าเห็นผู้ชายใส่เสื้อสีเขียวบ้างไหม ผมโกหกไปตามสัญชาตญาณ “ไม่เห็นครับ” เขาพยักหน้ารับรู้และเดินตรงไปที่กลุ่มเพื่อนซึ่งนั่งเล่นกันอยู่

ผมสบตาเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน เรารู้ทันทีว่าหากเขาเดินไปถึงกลุ่มของผมจะต้องเกิดเรื่องแน่ ผมต้องทําอะไรบางอย่างเพื่อหยุดยั้งเหตุการณ์เลวร้ายที่กําลังจะเกิดขึ้น

วินาทีนั้นผมกับเพื่อนตัดสินใจกระโดดล็อกแขนชายคนนั้นเพื่อแย่งมีดจากมือเขา เรายื้อกันอยู่นาน แม้ว่าพวกผมมีจํานวนมากกว่าแต่ก็สู้แรงเขาไม่ไหว ผมคิดว่าเขาคงกลัวจะถูกทําร้าย ผมจึงตะโกนบอกเขาว่า ” ปล่อยมีด ๆ ผมไม่ทําอะไรพี่หรอก ” ผมตะโกนอยู่หลายครั้ง แต่เขากลับไม่ฟัง เสียงการต่อสู้ทําให้เพื่อนของผมทั้งหมดวิ่งกรูเข้ามาช่วยทันที กลายเป็นว่าพวกผมรุมทําร้าย ชายคนนั้น 10 ต่อ 1

 

ติดเพื่อน
ภาพจำลองเหตุการณ์

 

จังหวะนั้นชายเสื้อสีขาวก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาถึงและลงมาช่วย เราตะลุมบอนกันอยู่สักพักผมก็แย่งมีดออกมาได้จึงโยนทิ้งไว้ข้างทาง ชายเสื้อสีขาวคงเห็นว่าสู้ไม่ไหวจึงขี่รถหนีไป ชายเสื้อสีดําทําท่าจะวิ่งหนีข้ามถนนเช่นกัน แต่รถสิบล้อขับผ่านมาพอดี

ผมจึงกระชากคอเสื้อเขากลับมา เพราะถ้าปล่อยเขาวิ่งไปต้องถูกรถชนแน่ ๆ เมื่อดึงตัวกลับมาเราก็สู้กันอีกครั้ง ต่อยกันอยู่นาน ถูกบ้างไม่ถูกบ้างเพราะต่างก็เมากันทั้งสองฝ่าย ผมจําได้ว่าหมัดผมถูกตัวเขาแค่ 3-4 ครั้ง

สุดท้ายชายคนนั้นก็ล้มลงพร้อมมีเลือดกบปากเต็มไปหมด ผมจึงห้ามเพื่อนว่า “พอแล้ว ๆ กลับได้แล้ว”

ผมคิดว่าเรื่องคงจบจึงเดินกลับห้อง แต่เมื่อถึงห้องได้สักพัก ตํารวจชุดเดิมก็กลับมาเคาะประตูอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ถามไถ่ใด ๆ เข้ารวบตัวผมและเพื่อน ๆ พร้อมพาขึ้นรถไปที่สถานีตํารวจทันที

ผมนั่งอยู่ที่สถานีตํารวจอยู่หลายชั่วโมง แต่กลับไม่มีวี่แววของเจ้าทุกข์ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่เรื่องการชันสูตรศพ แต่ผมไม่ใส่ใจเพราะคิดว่าคงเป็นคดีอื่น ๆ จึงถามตํารวจว่าเมื่อไรเจ้าทุกข์จะมาถึง ผมจะได้กลับบ้านเสียที แต่เขาตอบกลับมาด้วยประโยคที่ผมไม่เคยคาดคิด “นี่ยังไม่รู้อีกหรือว่าไปฆ่าคนตาย”

ผมได้ยินแล้วไม่เชื่อเลย คิดว่าตํารวจคงล้อเล่น ผมจะทําคนตายได้อย่างไร ผมต่อยเขาไปเพียงไม่กี่หมัด จึงนั่งรอเจ้าทุกข์อยู่อย่างนั้น ไม่นานชายเสื้อสีขาวและเสื้อสีเขียวก็เดินขึ้นโรงพักมาด้วยท่าทางที่เคียดแค้นอย่างหนัก ตำรวจนําภาพและหลักฐานต่าง ๆ มาให้ดูปรากฏว่าชายคนนั้นเสียชีวิตจริง ๆ

ผมตกใจมาก ไม่คิดเลยว่าเขาจะเสียชีวิต และในชีวิตก็ไม่เคยคิดจะฆ่าใครเลยสักครั้ง ตอนนั้นเป็นช่วงรุ่งเช้าพอดี พระอาทิตย์กําลังโผล่พ้นขอบฟ้า สภาพผมกําลังมึนงงเนื่องจากไม่ได้นอนมาทั้งคืน จึง คิดแบบเด็ก ๆ ว่า ” ขอให้เรื่องนี้เป็นเพียงความฝัน ขอให้ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าเรายังนอนอยู่บนเตียง ” แต่ไม่ว่าจะหลอกตัวเองอย่างไร ความจริงก็ไม่เปลี่ยนแปลง ผมฆ่าคนตายจริง ๆ

หลังจากนั้นแม่ของผมก็มาถึง ภาพที่ผมเห็นคือแม่เดินร้องไห้เข้ามาหา ทุกวันนี้ผมยังจําภาพนั้นได้ขึ้นใจ ท่านเสียใจมากกับการกระทําของผม ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดี เคยทําแม่ร้องไห้หลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเลยที่แม่ต้องเสียน้ำตาแม่ เดินมาจับมือแล้วปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะลูก แม่เข้าใจ”

ผมรู้สึกผิดอยากขอโทษแม่ แต่ก็ทําไม่ได้เพราะต้องถูกส่งตัวไปที่สถานพินิจฯทันที แม่เหมารถตามไปเพียงเพื่อต้องการรู้ว่าผมจะไปอยู่ที่ไหน จะอยู่สุขสบายหรือเปล่า

เมื่อเข้าไปในสถานพินิจฯ ผมกลัวและอึดอัดมาก เพราะการที่เด็กวัยรุ่นชายเข้าไปอยู่รวมกันเยอะ ๆต้องมีเรื่องกระทบกระทั่ง มี “เจ้าถิ่น” และ “เด็กใหม่” เป็นธรรมดา แม้ผู้คุมพยายามดูแลไม่ให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาท แต่ด้วยจํานวนคนที่มากกว่าก็ยากที่จะควบคุม เวลาจะอาบน้ำก็ลําบาก กินข้าวก็ไม่มีความสุข เดินไปไหนต้องระวังตัว จะล้มตัวนอนก็หวาดระแวงว่าถ้าเผลอหลับไปจะถูกทําร้ายระหว่างที่อยู่ในนั้น ไม่มีคืนไหนเลยที่ผมหลับสนิท หรือหากวันไหนเผลอหลับไปผมก็จะฝันถึงชายที่ตายด้วยน้ำมือของผม ในหัวมีแต่ความรู้สึกผิด กังวล และหวาดระแวง

ในคืนที่ฝนตก ผมชอบออกไปยืนริมหน้าต่าง เพ่งมองแสงไฟจากริมถนนแล้วจินตนาการว่า เวลานี้ข้างนอกคงมีคนพลุกพล่าน มีร้านขายก๋วยเตี๋ยว ถ้าผมได้ออกไปยืนตรงนั้น แม้จะไม่มีเงินสักบาท ขอเพียงมีอิสระจะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ คงเป็นเรื่องวิเศษที่สุดแล้ว

ระหว่างที่อยู่สถานพินิจฯ มีกฎอยู่ข้อหนึ่งระบุว่า ถ้าทําตัวดีจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ผมจึงพยายามไม่ก่อเรื่องและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เจ้าหน้าที่วางไว้ พิสูจน์ตัวเองว่า “ดีพอ” ที่จะได้กลับไปหาแม่ แต่แล้วความฝันของผมก็พังทลายเพราะเพื่อนรุ่นก่อนที่ได้รับอนุญาตให้กลับไป เยี่ยมบ้านหนีไปโดยไม่กลับมารับโทษต่อ สถานพินิจฯจึงยกเลิกกฎนี้ทันที ผมได้แต่ตั้งคําถามว่าผมทําอะไรผิด ทําไมผมต้องรับผิดชอบกับผลกรรมที่ผมไม่ได้ก่อ ตอนนั้นผมคิดแค่ว่า “เราจะทําความดีไปเพื่ออะไร ถ้าทํา ความดีแล้วไม่มีความหมายอย่างนี้ ต่อไปนี้ คงไม่ต้องทําแล้วละ”

 

ติดเพื่อน
ภาพจำลองเหตุการณ์

 

แต่ผมยังไม่ได้เหลวแหลกตามที่คิด เพราะศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษกเข้ามาเปิดรับสมัครเสียก่อน ผมรีบสมัครทันทีเพราะรู้ว่าสถานพินิจแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ทํางาน ของแม่ แม่จะได้มาเยี่ยมผมได้สะดวก

วันแรกที่ย้ายเข้าไปมีคนเดินมาปลดกุญแจมือพาไปดูห้องสมุด พาไปกินข้าว เห็นเด็กผู้ชายกําลังเล่นฟุตบอลอยู่กลางสนามพร้อมส่งยิ้มมาให้ ผมคิดทันทีเลย “ไอ้พวกนี้ต้องเป็นเด็กเกรดดีแน่ ๆ ไม่ก็เป็นเด็กเส้น พวกไม่ดีต้องถูกขังอยู่ข้างหลัง” ผมยังคงมองโลกในแง่ร้ายอยู่แต่แล้วความคิดผม ก็เปลี่ยนไปในเย็นวันนั้น

ป้ามล (ทิชา ณนคร) ผู้อํานวยการ ศูนย์ฝึกฯ เดินมาบอกผมว่า “เย็นนี้ป้าจะให้ เจ้าหน้าที่พาพวกเราไปกินหมูกระทะ ถามว่าป้ากลัวทุกคนหนีไหม ป้ากลัวแต่ป้าคิดว่า เราควรได้รับสิ่งนี้ ป้าไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้จะมีคนกลับมาไหม หรืออาจไม่มีใครกลับมาเลยแต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร รุ่นต่อไปก็ต้องได้ กินหมูกระทะอย่างที่เราได้กิน” คําพูดของป้ามลทําให้ผมรู้ว่าชีวิตของผมในสถานพินิจที่ไม่มีรั้วแห่งนี้ต้องดีขึ้นแน่ๆ นี่แหละคือความยุติธรรมที่แท้จริง แล้วคืนนั้นเด็กทุกคนก็กลับ “บ้าน” โดยไม่มีใครหนีไปแม้แต่คนเดียว

กระบวนการเรียนการสอนภายในบ้านกาญจนาภิเษกค่อย ๆ ขัดเกลาจิตใจของผมทีละน้อย จากที่ผมคิดว่าการต่อยตี ยกพวกตีกันเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็คิดได้ว่าวันนั้นเราลืมนึกไปเลยว่าเขาก็มีครอบครัว ถ้าเขาเป็นเสาหลักของบ้าน แต่กลับต้องมาเสียชีวิต เพราะความไม่คิดของเรา พ่อแม่ ลูกเมียเขาจะลําบากแค่ไหน ป้ามลบอกกับเด็ก ๆ เสมอว่า “เรายังมี อีกหลายล้านวินาทีที่ต้องใช้ชีวิต อย่ายอมให้ เสี้ยววินาทีที่ไม่ยั้งคิดมาทําลายชีวิตของเราเลย”

ผมรู้ว่าการติดคุกไม่ใช่เรื่องดีและเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่ลึก ๆ แล้วผมรู้สึกว่าโชคดีที่ได้มาเจอสถานที่ที่เปลี่ยนให้ผมเป็นคนดีขึ้นได้ ระหว่างรับโทษ ผมก็สมัครเรียนต่อจนจบม.3 ทั้งยังมีโอกาสเป็นวิทยากรตีแผ่ชีวิตที่เคยก้าวพลาดของตัวเองให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนฟัง ผมหวังว่าเรื่องราวชีวิตของผมจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจพวกเขาไม่ให้ก้าวพลาดเหมือนผม ผมบอกน้อง ๆ เสมอว่า

“อย่าคิดว่าการดื่มเหล้าและการทะเลาะวิวาทเป็นเรื่องธรรมดา อย่าคิดว่าแค่ไปสังสรรค์กับเพื่อนสนุก ๆ ไม่น่ามีอะไรร้ายแรงเพราะเมื่อเหล้าเข้าปาก สติคุณขาดทันที หรือถ้าคิดว่าไม่ดื่มก็รอด คุณดูผมสิ จิบเหล้านิดเดียว เมาก็ไม่เมา ต่อยเขาไป 3-4 หมัด แต่กลับต้องติดคุกถึง 5 ปี เวลา 5 ปีไม่น้อยเลยนะ ผมพ้นโทษออกมาก็อายุ 20 กว่าแล้ว เพื่อนรุ่นเดียวกันเขาจบปริญญาตรีได้ทํางานกันแล้ว แต่ผมมีวุฒิแค่ม.3  มันคุ้มแล้วหรือ”

การที่ผมมาอยู่สถานพินิจฯทําให้รู้ว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มีเรื่องราวทะเลาะวิวาทเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เกิดจากการดื่มเหล้าทั้งนั้น ฉะนั้นเมื่อพ้นโทษผมจึงเข้าทํางานที่สํานักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า พยายามช่วยเหลือวัยรุ่นหรือคนอื่น ๆ ไม่ให้พลาดเหมือนอย่างผม

ทุกวันนี้จากเด็กที่ไม่ชอบเรียน ลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นป.6 กลับสมัครเรียน ม.ปลายด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากวุฒินั้นหรือเปล่า ผมคิดแค่ว่าหากมีความรู้ติดตัวไว้ก็ไม่เสียหาย และผมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกชาย

ประสบการณ์ที่เจอมาทั้งหมดผมไม่คิดปิดบังลูก เมื่อเขาโตขึ้นและถึงเวลา ผมยินดีจะถ่ายทอดเรื่องราวให้เขาฟังทั้งหมด เพราะประสบการณ์ของผมคงเป็นดั่งครูชั้นดีที่สอนให้เขารู้ว่า ถ้าเขาขาดสติและไม่ยั้งคิด เขาต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แม้การสอนคนให้เป็น “คน” จะยากแต่ผมก็จะทําให้ดีที่สุด

แม้ว่าผมพ้นโทษมานานกว่า 7 ปีแล้ว แต่บทเรียนราคาแพงที่ผมได้รับก็ยังไม่เคย เลือนหายไปจากจิตใจ ผมตั้งมั่นไว้แล้วว่า จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก ทุก ๆ ความดีที่ผมทํา ผมหวังว่าเหยื่อที่ผมทําร้ายคงได้รับรู้ ฉะนั้นทุกวันนี้ผมไม่มีคําถามอีกแล้วว่าเราจะทําดีไปเพื่ออะไร

 

ข้อคิดจากพระพรพล ปสันโน เลขานุการเจ้าอาวาส วัดพระราม๙ กาญจนาภิเษก

ชีวิตคือต้นทุน สิ่งที่ได้มาหลังจากนั้นคือกําไร การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากแสนยาก แต่บางคนกลับไม่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การใช้ชีวิตด้วยความประมาท ละเมิดหลักศีลธรรม ทําให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์หายไป การเกิดมาแล้วมีร่างกายสมบูรณ์ ไม่พิการนับได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าของชีวิต เราควรใช้ร่างกายที่แข็งแรง ใช้อวัยวะที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในการทําประโยชน์ มากกว่า ใช้ร่างกายของเราไปรังแกและประทุษร้ายผู้อื่น คนขาดสติเพราะยาเสพติดหรือเหตุอันใดก็ตาม ย่อมนําความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้ตนเองและผู้อื่น

ความประมาทแม้เพียงครั้งเดียวหรือวินาทีเดียว อาจทําให้ชีวิตต้องเปลี่ยนไปหรือไม่อาจมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ การคบเพื่อนถือว่าเป็นสิ่งสําคัญมาก การคบเพื่อนดีนับได้ว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่งในมงคลชีวิต 38 ประการที่พระพุทธองค์ตรัสไว้บางคนไม่ต้องการทําผิดร้ายแรง แต่สิ่งแวดล้อมจากเพื่อนพาไปก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นการไม่คบคนพาลและเลือกคบบัณฑิตถือได้ว่าเป็นสิ่งสําคัญที่สุดสิ่งหนึ่งของชีวิต

 

ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 197

เรื่อง : กอล์ฟ

เรียบเรียง : พิชญา,รุ่งทิพย์ เรืองเชื้อเหมือน

ภาพ : ฝ่ายภาพ อมรินทร์พริ้นติ้งฯ

แบบ : ไกด์


บทความน่าสนใจ

ประชดชีวิตจนติดคุก บทเรียนชีวิตจากปากของอดีตผู้ต้องขัง

True Story : เกือบติดคุก เพราะฆ่า… สามี

สวนสัตว์ใน เรือนจำ ช่วยกล่อมเกลาจิตใจนักโทษ

จากเด็กร้ายกาจที่ชอบรังแกเพื่อน กลายเป็น ครูสอนพุทธศาสนา ชื่อดัง

“ นิทานข้ามกำแพง ” หนังสือนิทานจากฝีมือผู้ต้องขัง สู่หัวใจของเด็กทั่วประเทศ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.