หลังจากมีอาการปวดเอวมาหลายเดือน ก็มีคนแนะนำให้ฉันไปหาหมอนวดตาบอดมือดีคนหนึ่ง ฉันรีบไปทันทีโดยไม่คิดเลยว่า นอกจากจะได้รับความสบายกายแล้ว ยังได้รู้ว่าบางครั้งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็กไปได้ เพียงแค่เราทำใจให้เป็นเท่านั้น
พอก้าวเท้าเข้าไปในห้องนวดซึ่งอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ผู้ชายในวัยห้าสิบเศษก็หันมายกมือไหว้ฉัน พร้อมทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินออกมาต้อนรับอย่างคล่องแคล่ว ถ้าไม่มีคนบอกมาก่อน ฉันคงไม่รู้ว่าเขาตาบอด เพราะดวงตาของเขาภายใต้แว่นกันแดดสีอ่อนไม่มีวี่แววของคนตาบอดสักเท่าไร หลังจากลงมือนวดไปได้พักหนึ่ง เขาก็พูดคุยกับฉันในเรื่องต่าง ๆ จนฉันได้รู้ว่าเขาเคยเป็นครูมาก่อน แต่ต้องลาออกเพราะประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของความพิการทางสายตาของเขา
“ความจริงเหตุการณ์นี้ผ่านมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วครับ หัวผมถูกกระแทกอย่างแรง แล้วคงกระเทือนไปถึงจอประสาทตา แต่มันไม่ได้มองไม่เห็นทันทีนะครับ เพิ่งจะมาส่งผลเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตาพร่า ตอนแรกนึกว่าไม่ร้ายแรงอะไร แต่กลับเป็นมากขึ้น ๆ จนในที่สุดวันหนึ่งทุกอย่างก็มืดมิดไป เหมือนจอทีวีที่ดับไปเฉย ๆ” เขาเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่ฉันทั้งตกใจและเศร้าใจจนไม่กล้าถามอะไร ได้แต่ฟังเขาเล่าต่อไป
“ตอนแรกผมรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มทลาย คิดดูซิครับ ทุกอย่างที่เคยเห็น และมีสีสันสวยงาม จู่ ๆ ก็กลายเป็นมืดสนิท ไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน มีแต่ความมืดมิด ทำอะไร เดินไปไหนก็ไม่สะดวก ผิดกับคนที่เขาตาบอดมาแต่กำเนิด ซึ่งเขาสามารถทำทุกอย่างได้เพราะความเคยชิน เขาคงไม่เจ็บปวดเท่าคนที่เคยมองเห็นมาค่อนชีวิต ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้งนะครับ เพราะไม่อยากเป็นภาระให้ใคร งานก็ทำไม่ได้ ไปไหนก็ลำบาก แล้วจะอยู่ไปทำไม ก่อนจะฆ่าตัวตายผมเลยเที่ยวใหญ่ ให้เพื่อนพาไปกินเหล้าเมายาทุกวันจนเงินหมด” เขาเล่าพลางหัวเราะเสียงดัง
“แต่แล้ววันหนึ่งผมก็คิดได้ว่า จะทำตัวแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ สงสารครอบครัว คนอื่นเขาพิการมากกว่าเรา เขายังอยู่ได้ ผมเลยไปเข้าโรงเรียนสอนคนตาบอด ตอนแรกก็ว่าจะศึกษาอักษรเบรลล์ จะได้ไปสอนนักเรียนตาบอด แต่พอมาฝึกนวดเลยรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่อิสระดี ได้ทำบุญด้วย ช่วยให้คนหายป่วย”
เมื่อถามถึงการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ เขาบอกว่า
“โอ๊ย สบายมากครับ ที่โรงเรียนสอนให้ทุกอย่าง เดี๋ยวนี้ผมก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ แค่มองไม่เห็นเท่านั้น” ประโยคสุดท้ายอาจฟังดูน่ากลัวสำหรับใคร ๆ แต่เขากลับเล่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แถมยังจบเรื่องด้วยคำพูดที่ทำให้ัฉันรู้สึกอึ้งและทึ่งในตัวเขาเป็นอย่างมาก
“แต่ผมว่ามองไม่เห็นยังดีกว่าเป็นอย่างอื่นนะ ผมยังมีขาไว้เดินไปไหนต่อไหนได้ มีแขนไว้นวดให้ลูกค้าได้หายป่วย นวดไปคุยไปเพลินดี อยู่กับปัจจุบันเดี๋ยวก็หมดวันแล้ว และถึงไม่เห็น เราก็จินตนาการเอาได้ เพราะเราเคยรู้มาก่อนว่าอะไรรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร พูดแบบเด็กสมัยนี้ก็คือ มโนเอาแล้วกัน ฮ่า ๆ จะว่าไปอยู่มาจนป่านนี้นับว่าเห็นมามากพอแล้ว ลองมาอยู่กับความมืดดูบ้างก็แปลกดี มันทำให้เราไม่ต้องสนใจ กับสิ่งรอบตัวมากนัก การไม่เห็นทำให้ไม่ต้องรับรู้กับสิ่งไร้สาระของโลกภายนอก และหันมาสนใจกับโลกภายในของตัวเอง ถึงแม้เราจะเห็นน้อยลง แต่เราได้ยินมากขึ้น โดยเฉพาะได้ยินความคิดของตัวเอง ทำให้รู้ใจตัวเองดีขึ้น ก็โอเคนะครับ”
เขาคงไม่รู้ว่าฉันกำลังพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของเขาทุกประการ ระหว่างเดินออกจากห้องนวดด้วยร่างกายที่ผ่อนคลาย ฉันอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเขาอีกครัง เขานั่งอยู่หลังเคานเตอร์เหมือนตอนแรกที่ฉันเดินเข้าไป ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้ม หลายคนคงเข้าใจ่าเขาต้องทนทุกข์อยู่ในโลกอันมืดมิด โ ดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขามองเห็นมากกว่าผู้คนมากมายที่แวดล้อมตัวเขา เพราะจินตนาการจากสมอง และหัวใจมีความสามารถอันไร้ขีดจำกัด นอกจากนั้นเขายังมองเห็นข้อดีในความโชคร้ายของเขา นั่นคือโอกาสที่ได้ฟังและรู้ใจตัวเองมากขึ้น
ใครจะเชื่อว่าดวงตาที่มีค่าที่สุดของเราจะหมดความหมายไปได้ แค่เพียงเราเรียนรู้ที่จะ “มองให้เป็นและเห็นด้วยใจ” เท่านั้น
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง พาละเมอ
บทความน่าสนใจ
จงปล่อยวาง ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ธรรมะสอนใจ จากพระไพศาล วิสาโล