“สวัสดีจ้ะ แม่จ๋า หนูรักแม่ที่สุดในโลก” วันแรกที่ลืมตาได้มองเห็นโลกใบนี้ ถ้าสามารถพูดเป็นประโยคที่ถ่ายทอดความรู้สึกรักได้ นี่จะเป็นประโยคแรกที่ฉันจะพูดออกมา ฉันอยากบอกให้แม่รู้ในวันแรกที่ได้พบกันเลยว่า “หนูรักแม่จ้ะ” ผู้หญิงคนนี้
วันนี้ขอพักจากการจับพู่กันสร้างภาพแล้วจุ่มลงไปในแก้วน้ำล้างสี มาจับดินสอเหลาใหม่แหลมเปี๊ยบเขียนบรรยายบอกรักแม่ผ่านศิลปะไทยประดิษฐ์ที่เรียกว่าอักษรนี้สักครั้ง ปกติแล้วฉันไม่เคยมีเวลาว่างเลย ทำงานวาดรูปทั้ง 7 วันเต็ม ทำตัวเหมือนว่ายุ่งตลอดตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ค่อยมีเวลาให้แม่สักเท่าไร นอกจากจะเรียนไกลบ้านแล้วสุดสัปดาห์ก็ยังเอาแต่เที่ยวกับเพื่อนจนลืมว่ามีแม่คอยอยู่ อย่างดีก็แค่แวะกลับเข้าบ้านสักพักเดียว แล้วก็กลับไปหอพักเพื่อเริ่มเรียนในสัปดาห์ต่อไป ชีวิตหมุนวนอยู่แบบนี้จนจบการศึกษา พอได้งานทำก็ยังคงมีพฤติกรรมซ้ำซากกับการทำตัวยุ่ง ๆ เหมือนเดิม ไม่เคยสนใจคำบ่นของแม่ถึงอาการเจ็บป่วยตรงโน้นตรงนี้ คิดว่าร่างกายของแม่อาจจะอ่อนกำลังลงไปบ้างตามวัยที่สูงขึ้น และจากการทำงานบ้านโดยไม่ค่อยยอมหยุดพัก (เพราะฉันเองก็ไม่เคยช่วยแบ่งเบาภาระแม่เลยแม้แต่ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ)
แม่ของฉันได้รับการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกเดือนตามที่หมอนัด ในขณะที่ฉันผู้เป็นลูกมักจะทำตัวยุ่งอยู่เสมอ ไม่เคยไปเป็นเพื่อนแม่เลย แม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลคนเดียว รอตรวจแบบเหงา ๆ และแต่ละครั้งก็ใช้เวลานานกว่าจะเดินทางกลับถึงบ้าน ทุกครั้งที่กลับมาแม่ก็จะมีขนมมาฝากฉันเสมอ เพราะกลัวลูกอยู่บ้านแล้วจะหิว แต่ฉันก็ไม่เคยอยู่รอกินขนมของแม่เลย หาเรื่องออกจากบ้านได้ทุกครั้ง เท่าที่จำความได้ ตั้งแต่เด็กจนโต ปิดหรือเปิดเทอมจนถึงวัยทำงาน ฉันก็ยังคงมีธุระต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
เช้าวันหนึ่งของวันที่ชีวิตอยากหยุดพัก สายตาของฉันสะดุดเข้ากับกล่องเก็บรูปใต้โต๊ะ ซึ่งปกติก็เห็นอยู่ทุกวันว่านี่คือกล่องเก็บรูปเก่าที่ตั้งอยู่อย่างนั้นมานาน ฉันเปิดกล่องออกดูเพราะความอยากรู้ว่าจะมีรูปฉันอยู่บ้างไหม เพราะจำได้ว่าแม่เคยหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมา เป็นรูปฉันตอนเด็ก ๆ แม่เอารูปนั้นขึ้นมาแนบอกแล้วยิ้มออกมาอย่างสุดซึ้ง ฉันหวังว่ารูปใบนั้นจะยังอยู่ จะได้เอาออกมาดูอีกสักครั้ง แต่ปรากฏว่าไม่มีรูปฉันอยู่ในกล่องเลย กลับเป็นอัลบั้มรูปของแม่ที่ถ่ายเนื่องในวันสำคัญต่าง ๆ ตำแหน่งหน้าที่ที่แม่เคยทำและได้รับการยกย่อง ได้รับการบันทึกภาพเก็บไว้เป็นเกียรติประวัติ
ฉันเปิดดูรูปภาพทีละรูป นอกจากไม่มีฉันแล้ว ฉันยังจำได้ว่าในวันสำคัญนั้น ๆ ฉันไปเที่ยวที่ไหน และทำอะไรให้แม่ไม่สบายใจ ทุกข์ใจบ้าง ยิ่งเปิดไปทีละภาพก็ยิ่งได้คิด จากที่อมยิ้มและแอบหัวเราะเมื่อเห็นภาพแม่สมัยสาว ๆ รอยยิ้มก็ค่อย ๆ จางลง เมื่อมองลึกเข้าไป เห็นรอยย่นบนใบหน้าแม่และเห็นสภาพร่างกายแม่ที่เปลี่ยนไป ภาพที่ถูกบันทึกไว้จากอดีตจนถึงปัจจุบันทำให้เห็นข้อเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน
ฉันรีบลุกไปเปิดปฏิทินว่าวันนี้วันที่เท่าไร ปี พ.ศ.อะไร นับนิ้วทีละนิ้วว่าแม่อายุเท่าไรแล้ว ยิ่งนับไปก็ยิ่งใจหาย พอดีกับที่ได้ยินเสียงแม่บ่นขึ้นมาว่า “เหมือนร่างกายไม่มีกำลังเลย หายใจไม่อิ่ม มันอ่อนล้าเหมือนจะร่วงหล่น” ได้ยินเพียงเท่านี้ ใจฉันก็แทบสลาย รีบเดินไปพยุงกอดแม่หลับตาแน่น น้ำตาแทบล้นออกมาขณะบอกกับแม่ว่า “ไปหาหมอกัน ให้หมอตรวจว่าเป็นอะไร หนูจะไปเป็นเพื่อนแม่เอง”
เย็นวันนั้น ตลอดเวลาที่รอหมอตรวจ แม่บ่นถึงอาการเสื่อมถอยของร่างกาย สลับกับสอนคติธรรมหลาย ๆ เรื่องที่แม่ชอบฟังทุกเช้าขณะทำงานบ้าน ฉันนั่งฟังด้วยความอิ่มเอมใจ อยากหยุดเวลานี้ไว้ให้นานที่สุด เพราะฉันไม่ค่อยได้มีเวลานั่งคุยกับแม่สองคนสักเท่าไร ใจนั่งฟังไปสลับกับนึกสะท้อนใจว่า นี่เราเอาเวลาเกือบจะครึ่งชีวิตไปให้ความสำคัญกับอะไร ทั้ง ๆ ที่แม่เราสำคัญที่สุด สิ่งอื่นนั้นเมื่อหายไปก็มีสิ่งใหม่มาทดแทนได้ แต่เรามีแม่คนเดียวเท่านั้นใครก็มาแทนไม่ได้
นางพยาบาลขานชื่อแม่ให้เข้าพบคุณหมอ ณ ช่วงเวลาแค่เพียงไม่กี่นาทีขณะที่รอแม่ตรวจ ฉันรู้สึกเหมือนใจจะสลาย สังเกตเห็นใบหน้าแม่ที่อ่อนล้า สังขารที่ชราลงมากกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น ทำให้ยิ่งนึกถึงภาพถ่ายของแม่ที่เพิ่งเปิดดู นึกถึงรูปถ่ายของฉันที่แม่ยิ้มให้อย่างสุดซึ้งขณะกอดแนบไว้กับอก นึกถึงคำบ่นของแม่กับความเหนื่อยอ่อนของร่างกาย นึกถึงการละเลยในหน้าที่ลูกซึ่งเป็นความหวังเดียวของแม่ที่ควรจะทำ นึกถึงวันเวลาทั้งหมดของชีวิตที่ผ่านมาซึ่งหมดไปกับการทำธุระส่วนตัว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจเป็นที่สุดกับธุระที่หาสาระไม่ได้ของตัวเอง นาทีนั้นฉันฉุกคิดและเกิดสำนึกขึ้นมาฉับพลันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สิ่งใดที่แม่เจ็บป่วยทุกข์กายทุกข์ใจอยู่ ฉันอยากขอเป็นแทน อยากย้อนเวลากลับไปตั้งแต่แรกเกิด อยากบอกรักแม่ตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาพบกัน…
อยากตั้งใจเรียนและรีบกลับบ้านมากอดแม่ทุกวัน อยากให้ชีวิตแม่เป็นอมตะ ที่ผ่านมาฉันอาจไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ก็ไม่ใช่คนที่ดีพร้อมสมบูรณ์นัก ฉันอยากดูแลแม่ให้ดีกว่านี้ ให้สมกับความรักที่แม่มีให้ตลอดมา
จากการนั่งรอหมอตรวจร่างกายแม่เพียงแค่ 20 นาทีในครั้งนั้น แม้ว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ชีวิตฉันก็เปลี่ยนไป ทุกวันนี้จิตใจของฉันจดจ่อกับแม่และครอบครัวเท่านั้น เพราะคิดว่า ทำดีแค่ไหนก็ยังไม่เท่ากับความรักที่แม่ให้ ธุระที่คิดไปเองทั้งหมดถูกละวาง และฉันคิดใหม่ว่าจะไปทำไม ไปเพื่ออะไร มีความสำคัญแค่ไหน รอยย่นบนผิวหนังนุ่ม ๆ ยิ้มหวาน ๆ ของแม่เป็นเหมือนแสงสว่างปลุกกำลังใจของฉันให้ตื่นอยู่เสมอ สิ่งเหล่านั้นเป็นดั่งสติที่ก้องกังวานเตือนใจว่า เวลาไม่ได้มีเหลือเฟือ อย่าปล่อยให้ผ่านไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้แม่เลย เราไม่สามารถห้ามเวลาให้หยุดได้ แม่คือสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดที่หาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้
ทุกครั้งที่ฉันปฏิบัติธรรมและสวดมนต์ ฉันจะขอบุญที่สำเร็จจากการปฏิบัติส่งผลเป็นความสุขให้แม่ทุกลมหายใจ ฉันตั้งใจไว้ว่า ตลอดชีวิตนี้ที่แม่ยังมีลมหายใจอยู่ ขณะที่แม่นอนฉันจะจับมือแม่ไว้จนหลับทุกคืน เพราะไม่อยากให้แม้สักวินาทีหมดไปโดยไม่ได้บอกรักแม่ ไม่ว่าจะเป็นการบอกรักด้วยคำพูด การกระทำ หรือสัมผัส ฉันก็อยากจะบอกรักแม่ตลอดไป
กว่าเราจะเกิดมาพบกันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่อยากให้ต้องเสียดายที่ไม่ได้ทำดีเพื่อแม่เลย…
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง รุจิกร ธงชัยขาวสอาด
บทความน่าสนใจ
วิธีตอบแทนพ่อแม่ ระดับสูง…หนทางสู่การเป็น “ที่สุด” แห่งความกตัญญู
True Story of Mom : ความรักของแม่คือปาฏิหาริย์ที่แท้จริง
ลีลาแห่งกรรมและการให้ผลของกรรม โดย สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)