“เชื่อมั่นในความดี” ยุ้ย – จีรนันท์ มะโนแจ่ม
ชีวิตที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่มาจากการ “คิดดี ทำดี” เช่นเดียวกับชีวิตของ ยุ้ย – จีรนันท์ มะโนแจ่ม นักแสดงสาวผู้เชื่อมั่นว่า ผลของ “ความดี” ไม่เพียงนำ “ความสุข” มาให้เธอเท่านั้น แต่ยังมอบสิ่งมีค่าให้ชีวิตมากมาย แม้ว่าเธอจะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม
ชีวิตครอบครัวในวัยเด็กเป็นอย่างไรคะ
ยุ้ยเกิดในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่กับคุณตาคุณยาย ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เพราะท่านต่างไปมีครอบครัวใหม่ แต่คุณแม่ก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน ยังมาหาตลอด เพียงแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ยุ้ยมีพี่สาวอีกสองคน พี่สาวคนโตอายุห่างกับยุ้ย 10 ปี พี่คนกลางห่างกัน 6 ปี ยุ้ยเป็นน้องเล็กที่สุด ทุกคนใจดี คอยดูแลยุ้ยอย่างดีมาตลอด
เมื่อก่อนครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยอะไร จะเรียกว่าจนก็ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับลำบากยากเข็ญ คุณตาเป็นยาม คุณแม่รับจ้างทุกอย่าง แต่พอยุ้ยเริ่มโต คุณตาได้ทำงานบริษัท จึงพอมีรายได้มากขึ้น คุณยายเป็นคนเลี้ยงยุ้ยตั้งแต่เด็ก ๆ ยุ้ยต้องกินน้ำข้าวแทนนมแม่ แต่ที่บ้านใช้หม้อข้าวไฟฟ้า พี่สาวสองคนต้องไปขอน้ำข้าวจากข้างบ้านที่หุงข้าวด้วยเตาถ่าน คุณยายก็เอาน้ำข้าวมาต้มใส่เกลืออีกนิดหน่อยให้พอมีรสชาติ ส่วนพี่สาวทั้งสองคนมีหน้าที่ป้อนน้ำข้าว
เมื่อโตขึ้นก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไป บ้านยุ้ยอยู่ในเขตจังหวัดสระบุรีติดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงเรียนอนุบาลถึงประถมที่โรงเรียนวัดสะตือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยุ้ยทำงานตั้งแต่ ป.4 ช่วงปิดเทอมยุ้ยจะขอเงินยายหนึ่งร้อยบาทไปซื้อไข่นกกระทามาทอดขาย และชงน้ำหวานแช่ช่องฟรีซทำเป็นไอติม ขายถุงละบาท ขายน้ำเขียว น้ำแดง น้ำแข็งใส ยุ้ยบอกยายว่า ขอแค่ร้อยเดียว แล้วปิดเทอมนี้ยุ้ยจะไม่ขอเงินยายอีกเลย และจะคืนทุนให้ยายด้วย ช่วงปิดเทอมยุ้ยไม่เคยอยู่เฉยเลย ไม่เคยได้ไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ
เริ่มหาเงินตั้งแต่เด็กเลยหรือคะ
ยุ้ยอยากทำงาน อยากหาเงินช่วยตากับยาย ไม่อยากให้ท่านลำบาก ตากับยายไม่เคยบอกให้ทำเลย หลังเลิกเรียนก็รับจ้างสอยผ้า ปักมุกชุดแต่งงาน ค่าจ้างตัวละ 5 บาท เสาร์ – อาทิตย์รับจ้างทำความสะอาดบ้าน ได้วันละ 20 บาท สำหรับยุ้ยก็ถือว่าเยอะนะ ถ้าว่างจะรับจ้างทำงานตลอด
พอเริ่มโต ตากับยายก็ไม่อยากให้ทำงานเพราะเป็นห่วงที่เราเป็นเด็กผู้หญิง แต่ยุ้ยยังทำงาน รับจ้าง ขายของจนถึงชั้นมัธยม ไม่อยากรบกวนเงินตากับยาย และรู้สึกว่าไม่อยากปล่อยเวลาในช่วงปิดเทอมให้ผ่านไปโดยไม่มีประโยชน์ ถ้าไปเล่นกับเด็กคนอื่นก็ได้แค่วิ่งเล่น แต่ถ้าทำงานเราได้เงินด้วย ตากับยายก็ภูมิใจในตัวเราด้วย ที่โรงเรียนยุ้ยประกวดเขียนกลอน อ่านทำนองเสนาะ ร้องเพลง แล้วไปเล่าให้ยายฟังว่า “ยายจ๋า วันนี้ยุ้ยอ่านทำนองเสนาะชนะได้ที่ 1 ได้สมุดมาเป็นตั้ง ๆ เลย เทอมนี้ตากับยายไม่ต้องซื้อสมุดให้หนูเลย” ยายก็จะยิ้มดีใจ
ยุ้ยอยากทำทุกอย่างให้ท่านภูมิใจ เพราะคิดว่าพ่อกับแม่เราเลิกกัน เรายิ่งต้องเป็นเด็กดี ต้องเป็นเด็กที่เก่งให้ได้ เพื่อไม่ให้ใครมาว่าตากับยายว่าเลี้ยงเราไม่ดี ท่านต้องภูมิใจและไม่ต้องกังวลว่าเราจะเป็นเด็กมีปัญหา ยอมรับว่าเคยอายเวลาที่คุณครูให้กรอกประวัติว่าพ่อแม่หย่ากันหรืออยู่กับพ่อแม่ เคยคิดอยากให้พ่อกับแม่กลับมาคืนดีกัน แต่ชีวิตยุ้ยมีตากับยายก็มีความสุขที่สุดแล้ว เราเป็นเด็กดีได้ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กมีปัญหาเลย
คุณตาคุณยายสอนเรื่องอะไรบ้างคะ
ท่านสอนเรื่องประหยัด มัธยัสถ์ และเรื่องความเกรงใจ ไม่ให้รบกวนหรือสร้างความลำบากให้ใคร ถ้ายุ้ยขอไปเล่นหรือนอนค้างบ้านเพื่อน ยายมักจะสอนด้วยเหตุผลว่านั่นเป็นบ้านคนอื่น เจ้าของบ้านอาจไม่พูด แต่เขาก็มีชีวิตส่วนตัวของเขา เราก็มีบ้านอยู่ หากไปอยู่ด้วยมาก ๆ เขาอาจไม่พอใจ ตากับยายไม่อยากให้คนอื่นมาว่ายุ้ยได้ ในความเป็นเด็กเราอาจยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อโตขึ้นจึงเข้าใจมากขึ้นว่าเรื่องเหล่านี้สำคัญอย่างไร
ทุกครั้งที่มีปัญหา ไม่เคยมีคำด่าหลุดออกมาจากปากตากับยายเลย ท่านจะปลอบและสอนยุ้ยตลอด ทุกอย่างที่ท่านสอนคือสอนให้เราเป็นคนดี อาจมีบ้างที่เราทำอะไรนอกลู่นอกทางลงไปเพราะความเป็นเด็ก ยายก็จะตีแล้วสอนด้วยเหตุผลว่า ที่ยายต้องตีต้องดุเรื่องนี้เพราะอะไร เราก็จะเข้าใจ เกเรของยุ้ยมากที่สุดก็คือโดดเรียนไปดูหนังกับเพื่อน แต่ก็ตั้งใจเรียน ไม่เคยสอบตก ไม่เคยมีปัญหาถึงขั้นเข้าห้องปกครองเลย
มาเป็นนักแสดงได้อย่างไรคะ
ตอนนั้นยุ้ยเรียน ปวส. แม่ทำงานเป็นแม่ครัวในร้านอาหาร ยุ้ยก็ไปทำงานพาร์ตไทม์เป็นเด็กเสิร์ฟ เจ้าของร้านเห็นว่าอัธยาศัยดีจึงให้ไปเป็นรีเซ็ปชั่น ได้เงินมากขึ้น พอเริ่มโตเป็นสาว ยุ้ยเข้าประกวดนางงามหลายเวที เมื่อประกวดเวทีใหญ่ขึ้นก็ได้รางวัลมากขึ้น จากเงินรางวัลหลักพันเป็นหลักหมื่นหลักแสน ยุ้ยดีใจมาก ให้เงินตากับยายและแม่หมดเลย
จนอายุ 19 ปี ยุ้ยประกวดได้รางวัลดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ปี 2000 ชีวิตเปลี่ยนเลย เริ่มมีคนรู้จัก มีงานแสดงเข้ามา ถ่ายละครเรื่องแรกเรื่อง คมพยาบาท ปรากฏว่าดังมาก มีงานเข้าเยอะมาก ต้องเล่นละคร 3 – 4 เรื่องพร้อมกัน
ช่วงนั้นยุ้ยเคยตื่นมาแล้วนั่งร้องไห้ เพราะรู้สึกว่าทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้ ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ ยุ้ยกังวลหลายอย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องละคร เราไม่เคยเล่นละครมาก่อน แต่ต้องรับบทชีวิตหนักมาก เจอปัญหาหลายอย่าง แต่ใจก็คิดว่าต้องทำเพื่อตากับยาย เพราะสิ่งเดียวคือต้องการเงิน ยุ้ยอยากหาเงินมาซื้อบ้านให้แม่และดูแลตากับยายให้สุขสบาย จึงมีกำลังใจฮึดสู้ บอกตัวเองว่าหลังจากนี้ชีวิตเราจะเปลี่ยน ต้องอยู่ให้ได้ ยุ้ยให้กำลังใจตัวเอง ทำทุกอย่างที่ให้ตัวเองอยู่ได้อย่างมีความสุขในตอนนั้น ซึ่งมันค่อนข้างหนักสำหรับชีวิตของเด็กวัยรุ่นต่างจังหวัดคนหนึ่งที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้
ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างคะ
ยุ้ยให้แม่ออกจากงานเข้ามาอยู่กรุงเทพฯด้วยกัน ต้องใช้ชีวิตในเมืองที่ไม่เคยอยู่ ตอนนั้นเช่าห้องโล่ง ๆ อยู่กันสองคน ไปไหนก็ต้องนั่งแท็กซี่เป็นหลัก จนวันหนึ่งยุ้ยพาแม่เดินขึ้นสะพานลอยแล้วแม่เป็นลม ยุ้ยร้องไห้แล้วบอกตัวเองว่าจะรีบทำงาน รีบเก็บเงินซื้อรถ จะไม่ให้แม่ต้องมาเดินแบบนี้ จะไม่ให้แม่ต้องลำบาก โชคดีที่ยุ้ยเป็นคนไม่กินไม่เที่ยว ได้เงินเท่าไหร่ก็เก็บหมด ทำงานปีเดียวยุ้ยก็เก็บเงินซื้อรถได้ ดีใจมาก
จากนั้นยุ้ยคิดต่อว่าจะทำอย่างไรให้ได้อยู่กับตายายอีก แต่การซื้อบ้านเป็นเรื่องที่ไกลมากในเวลานั้น เพราะบ้านหลังหนึ่ง 3 – 4 ล้านบาท มันยากมาก กว่าเราจะเล่นละครได้เรื่องหนึ่งก็ต้องใช้เวลา จึงพยายามคิดว่าต้องทำให้ได้ ตากับยายจะได้มาอยู่ด้วยกัน ต้องตั้งใจเก็บเงินซื้อบ้านให้ได้
ระหว่างเก็บเงิน คุณแม่เกิดป่วยกะทันหันเพราะหลอดเลือดหัวใจโป่งพอง ต้องผ่าตัดด่วน ตอนนั้นทุกข์ใจมาก เพราะเป็นห่วงแม่ ห่วงตากับยาย และงานยังหนักอีก โชคดีที่คุณแม่ปลอดภัย ดูแลรักษาจนดีขึ้น สุดท้ายก็สามารถเก็บเงินซื้อบ้านในกรุงเทพฯได้ภายในสองปี ยุ้ยรับพี่สาว หลาน ตา ยายมาอยู่ด้วยกันหมดเลยเกือบ 10 คน มีความสุขมาก
รับมือกับความทุกข์ที่เข้ามาพร้อมกันอย่างไรคะ
ยุ้ยเป็นเหมือนเสาหลักคนเดียว ต้องใช้กำลังใจเยอะมาก ยุ้ยทำงานหนัก ต้องมีกำลังใจสู้ทุกอย่าง ตอนนั้นเรายังเด็ก มีกำลังมีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีความฝัน อยากทำหลายอย่าง อยากมีเงิน เพราะชีวิตเริ่มจากศูนย์จริง ๆ ต้องสร้างทุกอย่างมาด้วยตัวเอง แต่ยุ้ยมีจุดมุ่งหมายที่มีพลัง นั่นคือครอบครัว โชคดีที่ยุ้ยเป็นคนให้กำลังใจตัวเองตลอด มีตากับยายเป็นแรงบันดาลใจให้ยุ้ยสู้มาตลอด
ตากับยายเสียหลังจากย้ายมาอยู่ด้วยกันหลายปี ยุ้ยโชคดีที่ตัวเรารักดี มีตากับยายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงทำให้เราคิดดีและมีกำลังใจที่ดีมาตลอด ยุ้ยรักตากับยายมาก เคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งตากับยายไม่อยู่ ยุ้ยจะอยู่อย่างไร แต่พอเราโตขึ้นก็เข้าใจว่าชีวิตมันก็ต้องดำเนินต่อไป เราก็ต้องอยู่ให้ได้ (เธอกลั้นน้ำตาไม่ไหว กล่าวขอโทษ และขอพักสักครู่)
แม้ตากับยายจากไปแล้ว แต่หน้าที่ของยุ้ยก็ยังไม่หมด บุญคุณที่ตากับยายเลี้ยงดูยุ้ยมาอย่างดี ถึงวันนี้เราก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องตอบแทน ต้องทำบุญ ต้องสวดมนต์ ต้องแผ่อุทิศส่วนกุศลให้ตากับยาย ไม่ใช่ว่าท่านจากไปแล้วเราจะหมดหน้าที่ของหลาน หน้าที่ของยุ้ยไม่ได้หมดแค่เลี้ยงดูตากับยายจนสิ้นอายุ ทุกวันนี้ที่ยุ้ยทำทุกอย่างก็ยังมีตากับยายเป็นแรงบันดาลใจเสมอ คิดว่าถ้าชีวิตยุ้ยดี มีความสุข ตากับยายก็จะมีความสุขไปด้วย
ตอนนี้คุณยุ้ยเป็นทั้งนักแสดงและทำธุรกิจหลายอย่าง จัดการชีวิตอย่างไรคะ
ยุ้ยแบ่งเวลา ส่วนที่เป็นนักแสดง ยุ้ยให้ความสำคัญกับการถ่ายละครและทำหน้าที่อย่างดีที่สุด แต่ก็ต้องมีเวลาดูแลครอบครัว ร้านอาหาร และงานจัดละครของตัวเองด้วย แต่ว่ายุ้ยมีความสุขมาก เมื่อเราโตขึ้น เข้มแข็ง และมีกำลังใจ จะเห็นว่าเราทำอะไรได้หลายอย่าง เพียงแต่ต้องแบ่งเวลาให้ลงตัวที่สุด
โชคดีที่งานในร้านอาหาร (ร้านบ้านฟ้าเคียงตะวันที่จังหวัดสระบุรี) มีคนในครอบครัวช่วยดูแล พนักงานเกือบ 20 คนเป็นญาติพี่น้องลูกหลานมาช่วยกันทำงาน ส่วนงานจัดละคร ยุ้ยโชคดีที่ยังมีธันญ์ (ธันญ์ ธนากร) เขาเป็นกำลังใจที่สำคัญมาก ช่วยกันคิด ร่วมกันทำ ครอบครัวใหญ่ที่อยู่ร่วมกันปัญหาก็มีบ้างเป็นธรรมดา เราก็ค่อย ๆ แก้ปัญหาไป ต้องมีสติ ต้องแก้ไป ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ
คิดว่าชีวิตมาถึงจุดที่พอใจหรือยังคะ
จริง ๆ พอใจมาตลอด ชีวิตมาไกลเกินความฝันที่เคยคิดไว้ตอนเด็ก ยุ้ยไม่ได้อยากโด่งดังหรือมีชื่อเสียง ยุ้ยอยากหาเงินมาเลี้ยงดูตากับยาย แม่ และครอบครัวของยุ้ยให้อยู่สุขสบาย แค่จุดนี้ยุ้ยก็พอใจแล้ว ยุ้ยไม่ได้คิดจะโด่งดังหรือไปแก่งแย่งอะไรกับใคร ยุ้ยอยากอยู่แบบสบาย ๆ อย่างมีความสุข ตื่นเช้ามาได้ทำงานที่เรารัก กลับมาได้เจอครอบครัวที่เรารักและรู้สึกอบอุ่น ชีวิตยุ้ยต้องการแค่นี้เอง ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้
ทุกวันนี้เรามีทุกอย่างที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข ยุ้ยรู้ว่าที่ผ่านมาตากับยายและแม่มีความสุขมาก ยุ้ยไม่เคยทำให้ใครลำบาก ชีวิตยุ้ยมีความสุขที่สุดและดีใจที่สุดที่มาถึงจุดนี้ได้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร แต่ที่ผ่านมายุ้ยถือว่าได้ทำเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้ว ยุ้ยไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปเลย
เหมือนชีวิตที่ผ่านมาคุณยุ้ยทำเพื่อคนอื่น
มีคนบอกกับยุ้ยเหมือนกันว่ายุ้ยทำอะไรก็ทำแต่เพื่อคนอื่น แล้วทำอะไรให้ตัวเองบ้าง นี่แหละคือการทำให้ตัวเอง เพราะถึงแม้ที่ผ่านมายุ้ยจะทำเพื่อคนอื่น แต่คนอื่นก็คือคนที่เรารักทั้งนั้น ยุ้ยไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลย ยุ้ยมองว่าที่เรามีชีวิตไม่ใช่การอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้นแต่อยู่เพื่อความสุขของคนอื่นด้วย ชีวิตจึงจะมีความหมายและมีความสุขมากกว่า ถ้าคนรอบข้างมีความสุข เราก็มีความสุขไปด้วย
ยุ้ยไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ธรรมดา มีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทุกคนต่างมีมุมที่ดีและไม่ดี แต่ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายว่าอยากดีหรือประสบความสำเร็จเราก็เลือกได้ ถ้ายุ้ยแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก ยุ้ยจะปลูกฝังแบบที่ยุ้ยโตมา ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ต้องเรียนเก่งที่สุด ไม่ต้องเรียนโรงเรียนดีหรือโก้หรูที่สุด ยุ้ยเองก็ไม่ได้เรียนเก่ง เรียนโรงเรียนวัด เรียนโรงเรียนรัฐบาล แต่ยุ้ยสามารถเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวมีทุกอย่างได้ ยุ้ยจะสอนให้ลูกเป็นคนดี ไม่เป็นภาระให้ใคร ชีวิตเขาก็มีความสุขแล้ว
คุณยุ้ยเชื่อมั่นว่า ความดีส่งผลให้ชีวิตมีความสุข
ยุ้ยเชื่อมั่นล้านเปอร์เซ็นต์ ที่ยุ้ยมีทุกวันนี้ได้เพราะความกตัญญู เพราะคิดดีทำดีมาตลอด ยุ้ยเชื่อเรื่องนี้หมดใจ แล้วก็พยายามสอนหลานทุกคน สอนน้อง ๆ แฟนคลับทุกคนที่มองยุ้ยเป็นแบบอย่าง อยากให้เขาเห็นว่า เราเป็นเด็กที่ครอบครัวแตกแยก แต่วันหนึ่งเราก็เป็นคนที่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ทำให้ชีวิตตนเองมีคุณค่าได้ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหาเสมอไป พ่อแม่เลิกกันก็เพราะพวกเขามีเหตุผล เขาอยู่ด้วยกันแล้วอาจไม่มีความสุขก็ได้ เราต้องพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องที่คิดถึงแล้วทำให้ตัวเองแย่ ต้องคิดเรื่องที่ทำให้ตัวเองมีกำลังใจ เพิ่มพลังให้ตัวเอง
ทุกวันนี้ยุ้ยมีความสุขที่สุดแล้วจริง ๆ ได้ทำทุก ๆ หน้าที่อย่างดีมาตลอด และจะยังคงทำทุกอย่างต่อเนื่องไปให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากสามารถช่วยเหลืออะไรใครได้ก็จะทำ แม้แต่ชื่อเสียงของเรา ถ้าช่วยใครได้ก็ยินดี เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องหลักเลย ใครให้ไปช่วยงานที่ไหน ถ้าว่างยุ้ยก็ไป เพราะคิดเสมอว่า แค่ชื่อเสียงเราเป็นประโยชน์กับคนอื่นก็ถือว่าได้ทำบุญแล้ว
ยุ้ยเชื่อว่า การทำดีไม่ใช่แค่การทำบุญ แค่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขไปกับเราหรือทำประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคม ก็สร้างบุญได้เช่นกัน
หาก “คิด” และลงมือ “ทำ” แล้ว วันหนึ่ง “ความดี” จะส่งผลอันงดงามกลับคืนมา
ที่มา คอลัมน์ Idol Secret นิตยสาร Secret
เรื่อง อุราณี ทับทอง
ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
บทความน่าสนใจ