เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล เรื่องของชายขายดอกไม้ผู้ยากจน ที่เห็นแสงฉัพณณรังสี(รัศมีหกสี) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สมัยที่องค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนมชีพอยู่นั้น มีชายยากจนคนหนึ่ง มีอาชีพขายดอกไม้ให้แก่สำนักพระราชวังแห่งกรุงราชคฤห์มหานคร โดยมีสัญญาผูกพันว่า เขาจะต้องส่งดอกมะลิ ๘ ทะนาน ให้แก่สำนักพระราชวังแต่เช้าตรู่ คิดเป็นมูลค่าทะนานละ ๑ กหาปณะ (คำเรียกเงินตราทำด้วยโลหะที่ใช้ในสมัยพุทธกาล เป็นเงินตราโลหะชนิดแรกของอนุทวีปอินเดีย เทียบคำว่า กษาปณ์ ในปัจจุบัน) เป็นประจำทุกวัน จักขาดเสียมิได้ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ทั้งสิ้น
ชายยากจนอาศัยอาชีพขายดอกไม้นี้เลี้ยงดูบุตรและภรรยาให้ได้รับความสุขตามอัตภาพ กระทั่งเช้าวันหนึ่งขณะเดินทางออกจากบ้านเพื่อนำดอกมะลิไปส่งสำนักพระราชวังตามปกติ พอย่างเท้าเข้าเขตพระบรมมหาราชวังก็พลันได้พบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแวดล้อมไปด้วยหมู่พระอริยสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ด้วยพุทธลีลาอันงามเลิศเพริศแพร้วด้วยฉัพพัณณรังสีเข้าพอดี
ตามธรรมดานั้นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามักทรงปกปิดพระฉัพพัณณรังสีมิให้ซ่านออกจากพระวรกาย ไม่มีพุทธประสงค์จักให้ใครเห็น ทรงแสดงองค์เหมือนพระภิกษุธรรมดาทั่วไป แต่ในบางคราว พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระรัศมีก็ทรงเปล่งฉัพพลัณณรังสี เฉกเช่นคราที่เสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อโปรดพระญาติทั้งหลาย ซึ่งในเช้าวันนั้นก็เช่นกัน พระองค์ทรงเปล่งฉัพณณรังสีแผ่ซ่านอยู่ท่ามกลางเหล่าอริยสงฆ์หมู่ใหญ่เพื่อเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ด้วยพุทธานุภาพอันยิ่งใหญ่
เมื่อชายขายดอกไม้ได้เห็นรังสีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันงามบริสุทธิ์แพรวพราวด้วยรัศมีประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และด้วยพระอสีตยานุพยัญชนะ ๘๐ ประการเช่นนั้น ก็พลันงงแลตะลึงครุ่นคิดคำนึงอยู่ว่า
“เราจักทำการบูชาพระพุทธองค์ด้วยอะไรดีหนอ จึงจักสมกับความเลื่อมใสอันเกิดขึ้นมากมายแก่เราในบัดนี้”
เมื่อไม่เห็นสิ่งใดที่จะพึงหยิบฉวยเอาในขณะนั้นได้ทันเวลา จึงตัดสินใจว่า
“เราจักทำการบูชาพระพุทธองค์ด้วยดอกมะลิที่เราถืออยู่ในมือนี้ ถูกแล้ว! ดอกไม้เหล่านี้ เป็นดอกไม้ที่เรามีสัญญาผูกพันต้องส่งให้สำนักพระราชวัง เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าพิมพิสารเป็นประจำทุกวัน จะขาดเสียไม่ได้ แต่หากทรงไม่ได้ดอกไม้เหล่านี้ แล้วจักทรงพระพิโรธโกรธเคือง แลทรงมีพระราชดำรัสสั่งให้ขังเราไว้ในคุก หรืออาจสั่งให้ประหารชีวิตเราเสีย หรืออาจจักให้เนรเทศเราเสีย ก็สุดตามแต่เวรกรรมของเราเถิด
“เพราะบัดนี้เราเกิดความเลื่อมใสขึ้นในดวงใจแล้ว จักต้องถวายดอกไม้เหล่านี้เพื่อเป็นพุทธบูชาให้ได้ คงจักมีอานิสงส์แก่เรามากมาย เทียบกับการเอาดอกไม้ที่เรามีอยู่เพียงเท่านี้ ไปให้แก่สำนักพระราชวัง อย่างดีก็คงได้ทรัพย์เพียงเล็กน้อย สำหรับเลี้ยงชีวิตในชาตินี้เท่านั้น แต่การที่เราจักถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาในครานี้ ย่อมจะเกิดประโยชน์โสตถิผล อำนวยความสุขความเจริญแก่เราเป็นเวลานาน ประมาณหลายแสนโกฏิกัปนัก เป็นไรเป็นกัน เราจักถวายบุปผทาน แด่องค์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลบัดนี้!”
เมื่อคิดสละชีวิตเพื่อจักถวายบุปผทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนี้เล้ว ชายขายดอกไม้ก็มีจิตผ่องแผ้วโสมนัส เกิดปีติซึมซาบเอิบอาบใจขึ้นเป็นทับทวี แล้วก็เริ่มถวายบุปผทานเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธองค์ เขาน้อมกายถวายนมัสการเฉพาะพระพักตร์ จากนั้นซัดดอกมะลิ ๒ ทะนานขึ้นไปในอากาศเบื้องบนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พลันนั้นก็บังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น บรรดาดอกมะลิทั้งหลายพากันคลี่คลายขยายกลีบบานสะพรั่ง แล้วเรียงรายขยายแถวเสมอกัน เป็นเพดานกั้นอยู่บนอากาศเบื้องพระเศียรแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยมิได้ล่วงหล่นลงมายังพื้นพสุธาเหมือนดั่งดอกไม้ธรรมดาที่บุคคลขว้างปาทั่วไป
เมื่อชายขายดอกไม้ได้เห็นความอัศจรรย์ดังนั้น จึงซัดดอกมะลิเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาไปอีก ๒ ทะนาน ดอกไม้เหล่านั้นเมื่อลอยขึ้นไปในอากาศตามกำลังโยนซัดแล้ว ก็ค่อยๆ ขยายกลีบบานและลอยลงมาเรียงแถวประดิษฐานอยู่ ณ ข้างพระหัตถ์เบื้องขวาแห่งองค์สมเด็จพระพุทธองค์อีกเช่นกัน
ชายขายดอกไม้จึงซัดดอกไม้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาอีก ๒ ทะนาน ครั้งนี้ดอกไม้ลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วค่อยๆ ขยายกลีบบานสะพรั่งและลอยลงมาเรียงแถวประดิษฐานอยู่ข้างหลังพระพุทธองค์ เขาจึงตัดสินใจซัดดอกมะลิเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเป็นครั้งสุดท้ายอีก ๒ ทะนาน ครานี้ดอกมะลิขยายกลีบคลี่บานสะพรั่ง ลอยขึ้นไปในอากาศตามกำลังซัด ก่อนจะลอยต่ำลงมาเรียงแถวประดิษฐาน ณ ข้างพระหัตถ์เบื้องซ้ายแห่งองค์พระชินสีห์
ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าคือเมื่อพระองค์เสด็จพุทธดำเนินไปที่ใด ดอกมะลิเหล่านั้นก็ห้อมล้อมลอยตามไปด้วย เมื่อพระองค์ทรงหยุด ดอกไม้ก็หยุดตาม ความงามแห่งพุทธลีลาเมื่อโคจรบิณฑบาตในเช้านี้ เป็นทัศนียภาพอันนำมาซึ่งความเลื่อมใสศรัทธาแห่งประชาชนผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก
ฝ่ายชายขายดอกไม้ ภายหลังจากถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาแล้วก็มีจิตผ่องแผ้วปีติยิ่งกว่าผู้อื่น เดินน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้มใจตามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปอย่างไม่รู้ตัว พอได้สตินึกขึ้นได้ว่าตนลืมกระเช้าดอกไม้ไว้ก็รีบวิ่งกลับมาถือเอากระเช้าเปล่ากลับไปบ้าน
ที่บ้าน ภรรยาของชายขายดอกไม้เห็นสามีกลับมาเร็วกว่าปกติก็ถามว่า “ข้าแต่สามี! เหตุไฉนวันนี้ท่านจึงกลับมาเร็วเหลือเกิน ไม่เหมือนวันก่อนๆ ท่านเอาดอกไม้ไปส่งสำนักพระราชวังเรียบร้อยแล้วหรือประการใด?”
ชายขายดอกไม้ตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจว่า “ดูกรภรรยาที่รัก! วันนี้เราไม่ได้ไปส่งดอกไม้ยังพระราชวังดังเคย เพราะเราเกิดความเลื่อมใสจึงได้ถวายดอกมะลิเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนหมดสิ้น ไม่มีเหลือแม้แต่ดอกเดียว”
“อ้าว! แล้วกัน ทำไมทำเช่นนั้นเล่า ท่านก็รู้อยู่ว่าจักต้องมีความผิด เพราะเรามีสัญญาว่าจะต้องมีดอกไม้ส่งถวายพระเจ้าพิมพิสารทุกวันเป็นประจำ หากเป็นเช่นนี้จักต้องได้รับโทษประหารชีวิต อาจต้องถึงคอขาด ๗ ชั่วโคตร ก็เป็นได้”
“ผิดก็ผิดไป! จะทำอย่างไรได้เล่า เพราะเราเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหลือเกิน จึงได้ถวายดอกมะลิเป็นพุทธบูชา เมื่อพระเจ้าพิมพิสารไม่ได้รับดอกไม้จากเราแล้ว จักทรงพิโรธรับสั่งให้เรารับโทษอย่างรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิตเราก็ยอม! นี่แน่ะ! ดอกมะลิที่เราถวายแด่องค์พระชินสีห์ผู้เป็นองค์อรหันต์ มีอาการประหลาดน่าอัศจรรย์ ผู้คนได้พบเห็นต่างก็แซ่ซ้องก้องเป็นที่โกลาหลด้วยความปีติยินดี เจ้าไม่ได้ยินบ้างเลยหรือ? ขอเจ้าจงยังจิตให้เลื่อมใสในทานร่วมกันกับเราด้วยเถิด”
ภรรยาของชายขายดอกไม้เป็นผู้มีสันดานอันธพาล หาได้ยินดีด้วยไม่ กลับออกเสียงด่าตวาดลั่นว่า “ร่วมยินดีกับเจ้าให้ข้าคอขาดด้วยนะสิ ใครจะไปยอมร่วมด้วย เจ้าโง่! เจ้าจงรอความตายอยู่คนเดียวเถิดเจ้างั่ง! ไอ้คนไม่มีเงาหัวเอ๋ย เรายังไม่อยากตาย และจะไม่ยอมตายกับเจ้าในครั้งนี้เป็นอันขาด”
ว่าแล้วก็รีบเก็บข้าวของเสื้อผ้าอันเป็นสมบัติแห่งตนจนหมดสิ้น ด้วยความประสงค์ว่าจะไปแจ้งความแก่พระเจ้าพิมพิสารให้ทรงทราบไว้ก่อนว่า ตนหย่าขาด มิได้เกี่ยวข้องเป็นภรรยาแห่งสามีหน้าโง่ ผู้จักต้องเป็นนักโทษประหารในอนาคตแล้ว ครั้นไปถึงราชสำนัก นางก็กราบทูลพระเจ้าพิมพิสารว่า
“ข้าแต่องค์ราชา! สามีของหม่อมฉันซึ่งมีหน้าที่ต้องเอาดอกไม้มาส่งยังพระราชสำนักเป็นประจำทุกวัน เช้าตรู่วันนี้ เขามีจิตโมหันธ์ บ้าศรัทธาเอาดอกไม้สำหรับทูลเกล้าถวาย ไปทำการบูชาพระศาสดาสมณโคดมเสียจนหมดสิ้น ไม่สามารถที่จะหาดอกไม้ที่ไหนมาทูลเกล้าถวายพระองค์ได้อีก หม่อมฉันมีความเสียใจและเกรงต่อราชภัย จึงได้ด่าว่าเขาอย่างหนัก แต่เขากลับตอบว่า ขอยอมตาย แม้จักต้องราชภัยก็ตาม เพียงขอให้เขาได้ถวายดอกไม้เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นก็พอใจแล้ว
“ฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การกระทำของเขาไม่ว่าจะเป็นการกระทำดีหรือชั่วก็ตาม ก็ขอจงเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเถิด หม่อมฉันไม่ยอมรับผิดชอบด้วย ขอพระองค์จงรับทราบด้วยเถิด หม่อมฉันกับสามีได้หย่าขาดจากกันแล้ว”
พระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นพระบรมมหากษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ พระองค์ทรงได้บรรลุพระโสดาปัตติผล สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันในพระบวรพุทธศาสนา ตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ได้พบเห็นและสดับฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงมีจิตเลื่อมใสคงมั่นในพระรัตนตรัยอย่างไม่หวั่นไหวสั่นคลอน ยิ่งกว่าปุถุชนคนธรรมดาสามัญ
เมื่อได้สดับฟังคำกราบบังคมทูลของหญิงผู้เข็ญใจไร้ปัญญาเช่นนั้น ก็ทรงเกิดความสังเวชสลดพระทัยเป็นยิ่งนัก ด้วยว่าชายขายดอกไม้อุตส่าห์ประกอบกรรมดีอันเป็นมหากุศล โดยได้ถวายบุปผทานแด่องค์สมเด็จพระทศพลเป็นอัศจรรย์ปานนี้ แทนที่ภรรยาจะยินดีอนุโมทนา กลับเห็นว่าเป็นโทษผิด เพราะคิดเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวมากไป อีกนานสักเท่าใดหนอ สันดานของหญิงผู้นี้จึงจักดีขึ้น
พระองค์ทรงแกล้งทำอากัปกิริยาดั่งว่าโกรธเคือง แล้วตรัสด้วยสุรเสียงอันดังว่า
“ไฉน! สามีเจ้าจึงทำเช่นนั้น ที่เจ้าทอดทิ้งไม่เกี่ยวข้องกับคนเช่นนี้เป็นการดีแล้ว ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราเองที่จะได้พิจารณาว่าจักทำประการใดแก่เจ้าคนซึ่งมีน้ำใจขบังอาจเอาดอกไม้ของข้าไปทำการบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาล่ะเจ้าไปได้แล้ว”
เมื่อรับสั่งแล้วพระเจ้าพิมพิสารก็รีบเสด็จไปยังถนนที่สมเด็จพระชินสีห์กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่พร้อมกับหมู่อริยสงฆ์ทั้งหลาย เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธองค์ซึ่งทรงดำเนินไปด้วยพุทธานุภาพอันมีเหล่าดอกมะลิลอยตามรายล้อม ก็ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก ครั้นสมเด็จพระพิชิตมารเสด็จไปยังประตูพระบรมมหาราชวังจึงเสด็จเข้าไปรับบาตรจากพระหัตถ์แล้วทรงอาราธนาให้เสด็จเข้าไปในปราสาท แต่สมเด็จพระพุทธองค์หาได้เสด็จเข้าไปตามที่ทูลไม่
พระพุทธองค์ทรงแสดงอาการว่าจะประทับที่พระลานหลวง ด้วยทรงดำริว่า ถ้าจักเสด็จเข้าไปในปราสาทแล้วไซร้ ประชาชนทั้งหลายผู้ติดใจใคร่จะดูซึ่งพระพุทธานุภาพ จักไม่ได้เห็นพระองค์ และอีกประการหนึ่งดอกไม้ที่ลอยเด่นอยู่รอบพระวรกายเป็นอัศจรรย์ที่ชายขายดอกไม้ผู้เข็ญใจถวายเป็นพุทธบูชานั้น บัดนี้ก็ยังปรากฎอยู่ หากพระองค์เสด็จเข้าไปในปราสาทที่รโหฐานแล้ว ประชาชนจะไม่ได้เห็นความอัศจรรย์นี้ แต่พระพุทธองค์ทรงต้องการให้ชื่อเสียงแห่งนายมาลาการผู้ถวายดอกไม้ปรากฎขจรขจายไป ประชาชนจักได้ร่วมอนุโมทนาในมหากุศลครั้งนี้ของเขา
ครั้นสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารถวายภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มีรับสั่งให้นำชายขายดอกไม้มาเข้าเฝ้า “เจ้าผิดสัญญา และนำดอกไม้ของเราไปบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเหตุใด?”
ชายขายดอกไม้ผู้เข็ญใจ ผู้เกรงความผิด ตอบด้วยอาการตัวสั่นงันงกว่า “เพราะข้าพระองค์เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนอดใจไว้ไม่ได้ จึงได้ถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาไป พระเจ้าข้า”
เมื่อได้สดับฟังพระเจ้าพิมพิสารจึงตรัสถามขึ้นว่า “ตอนที่เจ้าถวาย เจ้าไม่เกรงกลัวต่อราชภัยเลยหรือไรเล่า?”
“ข้าพระองค์คิดพระเจ้าข้า! หากแม้นองค์ราชาไม่ได้รับดอกไม้แล้ว มาตรว่าพระองค์จักประหารชีวิตของข้าพระองค์หรือจักลงอาญาแก่ข้าพระองค์โดยประการใดก็ตาม ข้าพระองค์ก็ยินดีที่จักรับโทษทัณฑ์นั้น ด้วยความเต็มใจ เพราะข้าพระองค์ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจักขอถวายชีวิตบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาให้ได้ในครั้งนี้ พระเจ้าข้า”
“เจ้าเป็นมหาบุรุษ เจ้าควรได้รับการยกย่องเพราะเป็นผู้มีจิตศรัทธา องอาจกล้าหาญในการบริจาคทานยิ่งนัก สมควรที่จักได้รับรางวัลจากเราผู้เป็นพระราชาในกาลบัดนี้”
พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์อริยบุคคลโสดาบันตรัสขึ้นด้วยความพอพระทัย แล้วทรงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าพนักงานจัดหาสิ่งของให้ โดยมี ช้าง ๘ เชือก ม้า ๘ ตัว เครื่องประดับอันมีค่าและเสื้อผ้า ๘ ชุด ทาส ๘ คน ทาสี ๘ คน นารีซึ่งประดับด้วยสรรพอลังการ ๘ นาง พร้อมพระราชทานบ้านส่วย ๘ ตำบล ให้เขาดูแลจัดหาผลประโยชน์เอาเอง รวมทั้งยังพระราชทานทรัพย์อีก ๘,๐๐๐ กหาปณะ
เมื่อข่าวของชายขายดอกไม้รู้ไปถึงหมู่พระภิกษุสงฆ์แล้ว พระอานนทเถรเจ้าจึงกราบทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้มีพระภาค! ชายเข็ญใจผู้ถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาในวันนี้ได้รับพระราชทานลาภยศจากพระราชาธิบดีเป็นอันมากในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้นหรือพระเจ้าข้า!”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพุทธฎีกาตรัสว่า
“ดูกรอานนท์! เธออย่าได้กำหนดว่า กุศลกรรมที่นายมาลาการกระทำในวันนี้ เป็นกรรมกุศลเพียงน้อยนิด หากแต่เขาได้ถวายบุปผทานเป็นพุทธบูชา ด้วยการเอาชีวิตเข้าเป็นเดิมพัน เหตุนี้ทานของเขาจึงมีอานิสงส์มากคือ นอกจากเขาจะได้รับลาภยศมากมายในปัจจุบันชาติทันตาเห็นแล้ว เมื่อเขาดับขันธ์สิ้นชีวิตจากมนุษยโลกนี้ไป เขาจักไม่ไปเกิดในทุคติภูมิเป็นเวลานานถึง ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป ในชาติสุดท้ายจักได้บรรลุปัจเจกโพธิญาณสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มีนามว่า พระสุมนปัจเจกพุทธเจ้า อย่างแท้จริง”
สาธุชนผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธามั่นในพระรัตนตรัยทั้งหลาย เมื่อได้อ่าน เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล นี้แล้ว หากมีความตั้งใจในการถวายดอกไม้หอมนานาชนิดเป็นพุทธบูชาดั่งชายขายดอกไม้ แม้นดอกหญ้าเพียงดอกเดียว ก็ส่งผลให้เกิดความสุขทั้งใจกายให้แก่ตนเองและยังความปลื้มปีติใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น ซึ่งนับว่าเป็นการประกอบกุศลกรรมดี
จึงขออนุโมทนาบุญกับสาธุชน ผู้นำดอกไม้นานาชนิด ถวายแด่องค์สมเด็จพระบรมพุทธเจ้า และพระเจดีย์ อันจักเป็นการนำมาซึ่งวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของผู้ที่ได้ชื่อว่า พุทธศาสนิกชน ทั้งยังเป็นตัวอย่างการปฏิบัติตนอันทรงคุณค่าแห่งความเป็นพุทธศาสนิกชนไว้ ให้แก่ลูกหลานและเยาวชนของชาติสืบต่อไป
สาธุ สาธุ สาธุ…
ที่มาข้อมูล : ลานธรรมจักร
ภาพ : @pixabay and @zeynepinyeri (ภาพที่ใช้เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น)