อานิสงส์กฐินทาน ในพระไตรปิฎก – เมื่อครั้งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติในโลก มีบุรุษเข็ญใจผู้หนึ่ง เขาไร้ญาติพี่น้องและขาดแคลนทรัพย์สินเงินทอง อาศัยเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองพาราณสี
วันหนึ่งเขาได้ไปหา สิริธรรม มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แล้ววิงวอนขออยู่เป็นลูกจ้าง ท่านเศรษฐีมีความสงสารจึงถามว่า “มีความรู้อะไรบ้าง” บุรุษเข็ญใจตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความรู้อะไรเลย มีแต่กำลังกายเท่านั้น” ท่านเศรษฐีกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปรักษาหญ้า เราจะให้ข้าววันละหม้อ”
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บุรุษเข็ญใจก็รักษาหญ้าจนมีชื่อว่า ติณณปาละ อยู่มาวันหนึ่ง ติณณปาละมาคิดว่า
“ตัวเรานี้ ในชาติปางก่อนคงจะไม่ได้ทำบุญกุศลอันใดไว้เลย มาถึงชาตินี้เราจึงได้ลำบากยากแค้น แม้แต่อาหารจะรับประทานไปวันหนึ่งๆ ก็ทั้งยาก แต่นี้ต่อไปเราจะต้องขวนขวายให้ทานทุก ๆ วัน”
เมื่อมีความตั้งใจอย่างนี้แล้ว ก็แบ่งอาหารออกเป็น ๒ ส่วน ๆ หนึ่ง ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ อีกส่วนหนึ่งไว้บริโภคเองทำอย่างนี้มาตลอดทุก ๆ วันมิได้ขาด ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ติณณปาละทำนั้น ก็ทราบไปถึงสิริธรรมเศรษฐีผู้เป็นนายจ้างจึงสั่งให้เพิ่มอาหารขึ้นอีกเป็น ๓ ส่วน ติณณปาละก็แบ่งออกไปอีกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งถวายภิกษุสามเณรอีกส่วนหนึ่งให้แก่ยาจก อีกส่วนตนเก็บไว้บริโภค ทำอยู่อย่างนี้เป็นลำดับมา
จนถึงฤดูออกพรรษา ประชาชนและท่านสิริธรรมเศรษฐีได้พากันทำกฐินทานเพื่อจะถวายแก่ภิกษุสงส์ ผู้อยู่จำพรรษามานานสามเดือน ติณณปาละได้ทราบข่าวดังนี้แล้วก็เข้าไปหาสิริธรรมเศรษฐี ถามถึงอานิสงส์ผลของกฐินทานว่า การถวายทานอย่างนี้คงจะมีผลเป็นอันมาก เพราะประชาชนไม่นิ่งนอนใจ ช่วยกันหลายคน เศรษฐีบอกถึงคุณานุภาพของกฐินทานโดยละเอียดจนติณณปาละเกิดศรัทธาแก่กล้า ก็ถามอีกว่าเมื่อไรจะถึงกำหนดถวาย เศรษฐีบอกว่าอีก ๗ วัน
เมื่อติณณปาละกลับไปสู่ที่อยู่ของตนก็คิดว่า ตนไม่มีของที่เป็นวัตถุทาน เห็นอยู่แต่ผ้านุ่งผืนเดียวเท่านั้นที่จะนำเข้าเป็นส่วนกฐินทานได้ เมื่อจะเปลื้องผ้าออกทาน ตัวกิเลสคือความตระหนี่เหนียวแน่นก็มากั้นไว้ “ถ้าสละผ้าผืนนั้นแล้วเราจะเอาอะไรนุ่ง มีอยู่ผืนเดียวเท่านี้” ผลที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่า “เราจะต้องถวายแน่” ก็เปลื้องผ้ามาทำการซักฟอกและย้อมด้วยน้ำฝาด จากนั้นเอาใบไม้มานุ่ง ป้องกันความอายเท่านั้น แล้วรีบนำผ้าไปหาเศรษฐี มอบอนุโมทนาผ้านั้นเข้าเป็นส่วนบริวารของกฐินนั้น เศรษฐีก็รับอนุโมทนานำผืนของติณณปาละเข้าเป็นส่วนผ้าบริวาร ซึ่งยังขาดอยู่ผืนหนึ่งแล้วนำไปถวายแก่พระภิกษุสงฆ์
พลันเสียงโกลาหลก็บังเกิดขึ้นในขณะนั้นด้วยเสียงสาธุการของเทวดาทั่วทั้งอากาศและปฐพี พระมหากษัตริย์ได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้ว ก็ตกพระทัยกลัวว่าจะมีมรณภัยมาถึงพระองค์ รับสั่งให้หาปุโรหิตแล้วตรัสถามถึงเหตุโกลาหลอื้ออึงนั้น
ในครั้งนั้นเทวดาองค์หนึ่งที่รักษาอยู่เศวตฉัตรได้กล่าวว่า “ดูกร มหาบพิตร เสียงโกลาหลอื้ออึ้งนั้น มิใช่ว่าจะมีภัยมาถึงพระองค์ นั่นเป็นเสียงของเทวดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุได้สาธุการส่วนบุญของติณณปาละซึ่งเป็นคนเข็ญใจ รักษาไร่หญ้าของเศรษฐี ได้เปลื้องผ้านุ่งของตนออกมาเข้าส่วนกฐินทาน พระองค์อย่าตกพระทัยไปเลย”
พระราชาทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงปีติยินดี รับสั่งให้หาติณณปาละพร้อมทั้งส่งผ้าสาฏกคูหนึ่ง ราคาผืนละหนึ่งแสนกหาปณะไปพระราชทาน นายติณณปาละก็นุ่งสาฎกเข้าเฝ้าพระราชา ครั้นพระราชาทรงขอซื้อส่วนกุศลด้วยทรัพย์มีประมาณพันหนึ่งจนทวีขึ้นเป็นลำดับจนถึงแสนกหาปณะ ติณณปาละก็ไม่ขายให้ตามพระประสงค์ เขาได้กราบทูลว่า “จะทรงซื้อด้วยทรัพย์นั้นไม่ได้ พระเจ้าข้า ถ้าหากพระองค์จะอนุโมทนาส่วนบุญนี้ได้อยู่พระเจ้าข้า”
พระราชามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งให้คนตีฆ้องร้องประกาศตลอดทั้งพระนครแล้วพระราชทาน ช้าง ม้า โค กระบือ ข้าทาส ชายหญิงอย่างละหนึ่งร้อย บูชาแก่ติณณปาละเป็นอันมาก แล้วตั้งไว้ในตำแหน่งเศรษฐี ส่วนพ่อค้าคฤหบดีเศรษฐีก็พากันสละทรัพย์เป็นจำนวนมากออกบูชาคุณติณณปาละเป็นสมบัติมากมาย นี่คือผลจากการที่ติณณปาละทำบุญกุศลด้วยเจตนาอันแรงกล้า จึงส่งผลทันตาเห็นในปัจจุบันชาติ
ต่อมาเมื่อติณณปาละหมดอายุขัย ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานแก้วสูงถึง ๕ โยชน์ มีนางเทพอัปสร ๑๐,๐๐๐ นางเป็นบริวาร และพรั่งพร้อมด้วยทิพยสมบัตินานัปการ ได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน ส่วนสิริธรรมเศรษฐี เมื่อละโลกแล้วก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เช่นเดียวกับติณณปาละ
ที่มา 84000.org
ภาพ librarytrang.blogspot.com, กูเกิ้ล