พระพุทธเจ้า ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “พระบรมครู” เพราะทรงมีพระอัจฉริยภาพในการสอนที่เหนือกว่าครูทั่วไป
ครูทั่วไปอาจสอนคนให้มีศิลปวิทยาการสำหรับประกอบสัมมาอาชีพ หรือสอนคนให้รู้ดีรู้ชั่ว ตั้งเนื้อตั้งตัวในทางโลกได้ แต่ครูอย่างพระพุทธองค์นั้น เมื่อทรงสอนใครก็ตาม ทรงสามารถทำให้คนที่มีกิเลสอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ กลายเป็นคนที่กิเลสหลุดออกมาเป็นแถบๆ จนเหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์ล้วนๆ…
เรียกว่าจากคนธรรมดา พอผ่านมือ พระพุทธเจ้า เท่านั้น ก็สามารถยกระดับกลายเป็นพระอริยบุคคลขึ้นมาทันที
ทว่าแม้พระพุทธองค์จะทรงเป็นครูชั้นยอดของโลก กระนั้นก็ยังมีคนบางประเภทที่ “หันหลัง” ให้พระองค์ คนชนิดนี้บางทีไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนที่มีความ “มากไป” ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 บุคคล 3 จำพวก ดังนี้
1.สัญชัยปริพาชก ผู้มีความ “มิจฉาทิฐิมากไป”
สัญชัยปริพาชก หรืออาจารย์สัญชัย มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกันกับพระพุทธองค์ เปิดสำนักศึกษาอยู่ในกรุงราชคฤห์ ท่านมีศิษย์เอกอยู่ 2 คน คนหนึ่งชื่อ “อุปติสสะ” อีกคนหนึ่งชื่อ ”โกลิตตะ” ซึ่งเป็นลูกเศรษฐีทั้งคู่ วันที่ทั้งคู่มาสมัครเรียนจึงมีบริวารติดตามมาด้วยเป็นจำนวนมาก แต่พอร่ำเรียนได้ 3 วัน อาจารย์สัญชัยก็แจ้งว่าสอนจบแล้ว ไม่มีอะไรจะสอนอีก ด้วยความเป็นผู้มีปัญญา สองมานพทบทวนสิ่งที่ได้เรียนมาแล้วจึงคุยกันว่าคงจะต้องแสวงหาอาจารย์อื่นๆ ต่อไป
ต่อมาอุปติสสะไปเห็นสมณะรูปหนึ่งเดินบิณฑบาต มีกิริยางดงาม สำรวม จึงเข้าไปไต่ถามธรรม สมณะรูปนั้นคือพระอัสสชิ ได้กล่าวตอบในตอนแรกว่าเพิ่งบวชไม่นาน ยังไม่สามารถแสดงธรรมได้ แต่อุปติสสะก็ตื๊อว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้ากล่าวตามสามารถเถิด จะมากหรือน้อยก็ตาม จงบอกแก่ข้าพเจ้าแต่ใจความเท่านั้น”
พระอัสสชิจึงกล่าวคาถาว่า “ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และเหตุแห่งความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
คาถาที่พระอัสสชิกล่าวคืออริยสัจสี่ หัวใจของพุทธศาสนา คนที่มีการบำเพ็ญธรรมมาบ้างแล้วในชาติภพก่อนๆ สิ่งนี้จึงเป็นการต่อยอดความรู้เดิม ดังเช่นอุปติสสะที่เพียงฟังคาถานี้จบก็บรรลุโสดาบัน ท่านจึงถามถึงที่อยู่ของพระศาสดา และบอกว่าจะไปชวนเพื่อนคือโกลิตตะให้ไปด้วยกัน แต่ด้วยความกตัญญู จึงชวนอาจารย์สัญชัยด้วย แต่อาจารย์ตอบปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าตัวท่านนั้นเป็นบุคคลระดับครูบาอาจารย์ของมหาชนมากมาย การจะลดตัวไปเป็นลูกศิษย์ของศาสดาหน้าใหม่อย่างพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องไม่สมควร แถมกล่าวเยาะว่า
“คนในโลกนี้ คนโง่กับคนฉลาดใครมากกว่ากัน คนฉลาดที่มีน้อยกว่า จงไปหาพุทธโคดม ส่วนคนโง่ที่มีมากจงอยู่กับฉันต่อไป”
ปรากฏว่าหลังพูดจบ อุปติสสะ และโกลิตตะ ก็ขอลาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทำให้เหล่าบริวารของทั้งสองที่ตามมาที่สำนักศึกษายกพวกตามไปด้วย อาจารย์สัญชัยมองดูสำนักที่ว่างเปล่าในพริบตาก็บังเกิดความโศกเศร้า จนอาเจียนเป็นเลือด ขณะที่ศิษย์เอกทั้งสองนั้น การณ์ต่อมาได้เป็นคู่อัครสาวกซ้าย-ขวา ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร” ภายหลังทั้งคู่ได้เล่าเรื่องของอาจารย์สัญชัยให้พระตถาคตฟัง ซึ่งพระองค์ก็ได้ตรัสสองคาถา ดังนี้
อสาเร สารมติโน…………..สาเร จาสารทสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ………มิจฉาสงฺกปฺปโคจรา ฯ
สารญฺจ สารโต ญตฺวา….. อสารญฺจ อสารโต
เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ…….. .สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา ฯ
“ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้นมีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ
“ชนเหล่าใด รู้สิ่งเป็นสาระโดยความเป็นสาระ และสิ่งที่ไม่เป็นสาระ โดยความไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมประสบสิ่งอันเป็นสาระ”
อ่านต่อหน้า 2