เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ จากเด็กเกเรอารมณ์ร้อน ป่วยเป็นไมเกรนและไฮเปอร์เวนติเลชั่นหายได้ด้วยธรรมะ
เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ พระเอกหนุ่มที่กำลังขึ้นแท่นเป็นพระเอกนักบู๊ ชื่นชอบการเล่นกีฬา ต่อยมวย ยิงปืนมาตั้งแต่เด็ก และค้นพบว่าที่จริงแล้วชอบเล่นบทบู๊มากที่สุด กับบทบาทล่าสุดในละครเรื่องสารวัตรใหญ่ เขาจะมาเผยเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กที่น้อยคนนักจะรู้ รวมทั้งจุดหักเหที่ทำให้เขาสนใจธรรมะจนถึงกับบอกได้ว่า “ทุกวันนี้ธรรมะช่วยผมได้มาก”
เกเรเพราะเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อ
“เหตุผลที่ผมเกเร เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อและคุณแม่ เพราะคุณพ่อทำงานจนไม่มีเวลาให้ ผมกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน มาถึงจุดที่ควบคุมตนเองไม่ได้คือตอนอายุ 15 ปี ถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการ อย่างเช่น สั่งไปว่าเอาไข่ดาวไม่สุกแล้วทางร้านทอดไข่ดาวสุกมาให้ ผมก็ขยี้ทิ้ง เพราะไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ”
ป่วยเป็นไมเกรนและไฮเปอร์เวนติเลชั่น (Hyperventilation Syndrome) กับธรรมะที่มาผิดทาง
“ผมเป็นไมเกรนตั้งแต่อายุ 10 ปี และเป็นโรคไฮเปอร์เวนติเลชั่นตอนอายุ 15 ปี คุณหมอก็งงว่าทำไมเป็นไมเกรนตอนยังเด็กมาก เพราะตอนนั้นอยากให้คุณพ่อรู้สึกภูมิใจ ท่านวางแนวทางชีวิตไว้ให้แล้ว ผมก็อยากทำให้ได้ตามนั้น และกลัวว่าถ้าทำไม่ได้ท่านจะไม่รัก กลายเป็นการกดดันตนเองจนทำให้ป่วยเป็นไมเกรน พอเครียดจะมีอาการเป็นโรคมือจีบ ถ้าเคยเห็นในภาพยนตร์ที่มีคนชักแล้วมือจีบและมีคนช่วยเอาถุงพลาสติกครอบที่ปากและจมูก ผมเป็นอย่างนั้นเลย ครั้งแรกที่เป็นผมกำลังเป่าเค้กวันเกิด พออาการดีขึ้นเลยมองย้อนกลับไปว่าผมมีอาการแบบนี้ได้อย่างไร ที่แท้มาจากการสะสมความเครียดที่ไม่สามารถจัดการกับความผิดหวังและอารมณ์ของตัวเองได้ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปผมอาจจะเส้นเลือดในสมองแตก ตอนอายุ 20 ปีแน่นอน
“ตอนนั้นมองไม่เห็นทางอื่นเลยที่จะช่วยให้อาการดีขึ้น ได้ยินว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าช่วยได้ เลยลองศึกษาดู เริ่มแรกก็ศึกษาผิดๆ ถูกๆ ได้หนังสือสวดมนต์มาก็พลิกไปหน้าหลังๆ หาคาถาเมตตามหานิยม เวลาผมมีเรื่องกับคนอื่นสามารถเป่าหมัดตัวเองได้เลย ก่อนจะออกจากบ้านก็เสกน้ำมนต์ล้างหน้า แล้วมาฉุกคิดได้ว่าทำไมเรายิ่งศึกษาธรรมะแต่อัตตาตัวตนยิ่งมากขึ้น อีโก้ก็สูง ไมเกรนก็ไม่ได้หาย หรือที่เราศึกษามายังไม่ถูกทาง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วแก่นของธรรมะอยู่ตรงไหน จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรแก่เรา”
ได้แผนที่ถูกฉบับ
“จนกระทั่งอายุ 18 ปี ตอนนั้นโชคดีมากที่ได้มาเจอคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นซีดีธรรมะชื่อว่า “โอกาสแห่งการดับทุกข์ทางใจ” ผมจึงเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าว่าที่แท้เป็นอย่างนี้เอง ที่ผ่านมาเหมือนกับว่าเดินทางไปเชี่ยงใหม่ แต่ได้แผนที่ไปสุไหงโก-ลก เดินไปเรื่อยแล้วดันมาโผล่ที่ชุมพร ทำไมยังไม่ถึงเชียงใหม่เสียที ที่แท้ผมใช้แผนที่ผิดฉบับต่างหาก หลังจากฟังซีดีในวันนั้นเท่ากับว่าผมได้แผนที่ถูกฉบับแล้ว แต่จากนี้ไปอยู่ที่ผมแล้วว่าจะเดินช้าหรือเดินเร็ว จะขี่จักรยานไป หรือจะขับรถไป ถ้าจะให้ไวก็ขึ้นเครื่องบินไป เมื่อผมได้แผนที่ถูกฉบับแล้วก็พยายามจัดการกับอารมณ์ของตนเองอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งอาการไมเกรนก็ดีขึ้นจนกระทั่งหายไปตอนอายุประมาณ 21-22 ปี โดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้หาย ธรรมะเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถจำกัดสิ่งที่เข้ามากระทบทางใจได้ดีขึ้น ธรรมะช่วยจัดการความเครียด ซึ่งไม่ต่างจากวัคซีนทางใจ ถ้าในวันหนึ่งมีสิ่งมากระทบใจ ผมเชื่อว่าผมจะหวั่นไหวต่อสิ่งกระทบนี้ไม่มาก”
ไม่เข้าใจปัญหาคนอื่นเพราะไม่ได้เป็นผู้เล่น
“เวลาที่คนเราเผชิญอยู่กับความทุกข์แล้วมองหาทางออกไม่เจอ นั่นเพราะเราเป็นผู้เล่น ถ้าเรามีสติหรือธรรมะเมื่อไร เราจะกลายเป็นผู้ดู แล้วเราจะเห็นปัญหาทั้งหมด เปรียบง่าย ๆ เหมือนคนเล่นหมากรุก สมมติผมนั่งเล่นอยู่กับเพื่อน เพื่อนที่เชียร์ก็จะว่าทำไมเอสไม่เดินตัวนี้ ถ้าเดินตัวนี้แกกินสองต่อเลยนะ คนที่อยู่ข้างนอก มักเก่งกว่าคนที่อยู่ข้างในเสมอ เพราะความทุกข์ที่เขาเผชิญทำให้มองไม่เห็นทางออก ฉะนั้นต้องพยายามเป็นผู้ดู ผมก็พยายามทำตัวเองให้เป็นผู้ดูอยู่เหนือปัญหา ซึ่งผมมองปัญหาออกเป็น 2 แบบคือปัญหาที่แก้ไมได้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะไปเครียดทำไม กับปัญหาที่แก้ได้ ถ้าแก้ได้ไหนลองดูสิว่ามีทางออกอะไรบ้าง แล้วลองทำดูว่าทางออกนั้นช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่”
บุญเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าที่คิด
“คนส่วนมากมักไม่รู้ว่ากิเลสที่น่ากลัวอย่างหนึ่งคือ “บุญ” ท่านพุทธทาสภิกขุบอกว่า “อย่าบ้าบุญ อย่าเมาบุญ อย่าหลงในบุญ” อันนี้น่ากลัวกว่า เพราะถ้าเราไปยึดบุญ ก็จะกลายเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เป็นความโลภ เป็นความอยากในบุญ เป็นกิเลสที่เรามองไม่เห็น แต่ถ้าผมให้เพื่อนไปฆ่าคน เพื่อนต้องไม่ทำแน่ ๆ เพราะเห็นชัดว่าเป็นบาป แต่ถ้าแม่บอกให้ลูกไปทำบุญ แล้วปรากฏว่าตื่นสาย พระบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านตอน 6 โมงครึ่ง แต่ตอน 6 โมง 20 ยังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงอยู่เลย แม่ก็มาเคาะประตูบ่นโน่นบ่นนี้ ลองคิดดูว่าจิตของแม่ในตอนนั้นก็เป็นการหลงกิเลสในบุญไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
“การให้พ้นจากกิเลสคือการมีสภาวะของนิพพาน ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุบอกว่า สภาวะของนิพพานเป็นสิ่งที่อยู่เหนือบุญ และบาป คือมีความรู้สึกว่าดีฉันก็ไม่อยากได้ ชั่วฉันก็ไม่อยากได้ บุญฉันก็ไม่อยากได้ บาปฉันก็ไม่อยากได้ มันมีสภาวะอย่างหนึ่งที่สุดยอดมาก ท่านเรียกว่า “นิพพานชิมลอง” นิพพานแปลว่าดับจากกิเลส ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราต้องรอให้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตก่อนแล้วจึงจะสัมผัสกับนิพพานได้ เพราะมีนิพานชั่วขณะที่เราสามารถสัมผัสได้ เมื่อใดที่จิตว่างเป็นสุญญตา จิตว่างจากกิเลสแล้ว เมื่อนั้นก็เป็นนิพพานเล็ก ๆ ที่สามารถสัมผัสได้”
วิปัสสนากรรมฐานครั้งแรก
“นอกจากจะศึกษาธรรมะจากผลงานของท่านพุทธทาสภิกขุแล้ว ผมยังศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ผมมีโอกาสมาปฏิบัติธรรมที่ศูนย์วิปัสสนาโอเอ็นก้า จังหวัดพิษณุโลก ศูนย์ปฏิบัติธรรมที่นี่สัปปายะมาก ไม่บังคับเรื่องการแต่งกายว่าต้องเป็นชุดสีขาว ผมอยู่ที่นั่น 10 กว่าวัน จำได้ว่า 5 วันแรกทรมานมาก ทั้งที่ผมนั่งสมาธิเป็นประจำ คงเพราะตอนแรกเข้ามาปฏิบัติอย่างมีความหวังว่าต้องได้อะไรกลับมาบ้าง กลายเป็นว่าตั้งต้นก็ผิดแล้ว ทำให้ตอนนั่งสมาธิรู้สึกอึดอัด คิดว่าที่เป็นแบบนี้เพราะผมไปอย่างไม่ว่าง ทั้งที่หลายคนเตือนแล้วว่าการไปปฏิบัติธรรมควรไปอย่างว่าง ๆ ไม่ให้ไปอย่างคาดหวังว่าจะได้อะไร จนกระทั่งถึงวันที่ 6 ทางศูนย์วิปัสสนาอนุญาตให้แยกไปนั่งสมาธิเดี่ยวได้ ตอนนั้นจึงได้สัมผัสกับสภาวะธรรม ผมพยายามตามหาสภาวะธรรมนี้มาเป็นเวลา 5 วัน แต่พอไม่สนใจแล้วกลับได้พบ หลังจากนั้นก็มีไปปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ท่านอื่นๆ อีก”
ความรู้สึกของคนรอบข้างเมื่อผมมีธรรมะ
“เพื่อนในวัยเด็กก็จะไม่เชื่อว่าผมตอนนี้คือเพื่อนของเขาในตอนนั้น ส่วนเพื่อนในตอนนี้ก็จะไม่เชื่อว่าผมเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ครั้งหนึ่งกองถ่ายนัดมาตอน 6 โมงเช้า แต่ได้ถ่ายตอน 4 โมงเย็น ตอนนั้นหงุดหงิดมาก แต่ผมนั่งเล่นชิวๆ ชวนคนอื่นคุย เพื่อนนักแสดงคนหนึ่งถามว่า “เอสไม่รู้สึกโกรธบ้างเหรอ” ผมก็ตอบว่า “ไม่โกรธ” คือจะโกรธทำไม กองถ่ายอาจมีปัญหาเรื่องสถานที่ เวลา แสง รถกองถ่ายอาจจะเสีย คือเป็นปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทางกองถ่ายก็ไม่ตั้งใจจะให้เป็นอย่างนี้ โกรธไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมศึกษาธรรมะและนำมาใช้ ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่ก็ภูมิใจที่ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ถึงขนาดนี้”
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำเด็ดขาด
“ตอนเด็กผมเคยทะเลาะกับคุณแม่ถึงขั้นฉีดสเปรย์พ่นสีใส่ผนังห้องนอนตัวเอง ตอนนั้นแสบมาก คุณพ่อชอบให้เราแต่งตัวเรียบร้อย ถูกบังคับให้ใส่เสื้อเชิ้ตมาตั้งแต่เด็ก เราก็แกล้งแต่งเป็นบีบอย ใส่เสื้อตัวใหญ่ ๆ กางเกงขาด ๆ สวมหมวก คือพยายามทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาให้มากที่สุด ผมจำได้ว่าท่านไม่ดุเลยสักคำ ท่านเดินมาหา ผมมองไปที่ดวงตาของท่าน เห็นว่านัยน์ตาของท่านมันแตกสลาย แล้วท่านก็ลูบหัวผมและถามว่า “เป็นอะไรลูก” ตอนนั้นในใจคิดว่า “ทำไมเราชั่วอย่างนี้” แค่ต้องการให้ท่านรู้ว่าเพราะท่านไม่สนใจและไม่ดูแล ผมจึงเป็นแบบนี้ ซึ่งถือว่าสำเร็จนะแต่เป็นความสำเร็จที่ผมไม่ได้ภูมิใจเลย ผมมองย้อนกลับไปโดยยึดตามคำสอนของท่านติช นัท ฮันห์เรื่องการฟังอย่างมีเมตตา ผมย้อนกลับไปว่าสาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้คืออะไร พอรู้สาเหตุก็แก้ปมได้”
0
ทุกข์มันอยู่ข้างใน
“เวลาไปวัดเคยสังเกตไหมครับว่า พระเนตรของพระพุทธรูปจะมองลงข้างล่าง ไม่มองไปข้างหน้า หรือทางอื่นเลย การที่พระพุทธรูปมองแบบนี้เพราะเป็นกุศโลบายที่ต้องการบอกเราว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรามองสำรวมใจในกาย ท่านไม่เคยสอนให้เรามองหรือสำรวจอะไรข้างนอกกายเลย เพราะทุกข์มันอยู่ข้างใน ถ้าสมมติว่าผมตบไหล่คนอื่นที่ไม่รู้จักอย่างแรง คนนั้นคงคิดโกรธในใจ แต่ถ้าเป็นพระเกจิอาจารย์เอาไม้มาเคาะศีรษะแรงเพื่อเป็นการให้พร คงรู้สึกยินดีว่าเป็นมงคล ทั้งๆ ที่ทั้งสองอย่างนี้เจ็บเท่ากัน แต่ความรู้สึกในใจต่างหากที่ต่างกัน ความทุกข์เกิดขึ้นจากข้างในจริง ๆ”
ธรรมะกับการทำงาน
“อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่ต้องพบเจอกับสิ่งเร้าหรือสิ่งยั่วกิเลสมากมาย ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ทำให้ลืมตัวได้ง่าย มีคนเตือนผมว่าพอได้เป็นพระเอกแล้ว สิ่งที่ตามมาคือความเปลี่ยนไป ซึ่งผมมองว่าทุกอย่างมีความตั้งอยู่และดับไปเป็นเรื่องธรรมดา บทบาทของผมในฐานะพระเอกเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน บางครั้งสิ่งที่ผมเจอคือคำติเตียน คำวิจารณ์ ซึ่งคำพูดเหล่านี้สามารถนำมาพัฒนาตนเองได้ ถ้าเขาติแล้วเป็นจริง จะโกรธไปทำไม แต่ถ้าติแล้วไม่เป็นจริง ก็จะโกรธไปทำไมก็มันไม่ใช่เรื่องจริง (หัวเราะ)”
เข้าวงการได้เพราะพระ
“ก่อนไม่เข้าวงการ ผมทำชมรมอยู่กับรุ่นพี่ ชื่อชมรมว่า “ชมรมพุทธกัลยา” เป็นชมรมที่สอนธรรมะให้วัยรุ่นเข้าใจด้วยภาษาง่าย ๆ แปลจากบาลีแล้วนำมาย่อยให้เรียบร้อย จัดทำหนังสือสวดมนต์แจก ตอนนั้นจัดงานทำบุญที่วัดบางแคน้อย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นงานใหญ่มีดารามาหลายคน เพื่อนพี่เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตรเดินมาถามว่า “อยากเป็นพระเอกไหม” ผมตอบไปว่า “ไม่อยากครับ” เพราะตอนนั้นผมทำงานประจำอยู่ เปิดบริษัทรับจัดงาน และเป็นผู้ช่วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ด้วย กำลังสนุกอยู่กับงาน พี่คนนั้นก็ตามตื้อผมอยู่ 5-6 เดือน ผมเลยยอมตกลงแล้วเข้าสู่วงการบันเทิง”
สารวัตรใหญ่ละครน้ำดี
“ตอนเด็กผมดูละครอยู่ไม่กี่เรื่อง แต่ละครที่ชอบมากมีอยู่สามเรื่องคือ สายโลหิต นายขนมต้ม และสารวัตรใหญ่ เมื่อทางช่องให้โอกาสผมเล่นละครเรื่องสารวัตรใหญ่จึงถือเป็นเกียรติอย่างมาก ผมมีความรู้สึกกังวลพอควรเพราะบทพูดของตัวละครตัวนี้ (พ.ต.ต.ใหญ่ เวโรจน์ หรือสารวัตรใหญ่) ยาวมาก บทพูด 3 หน้าเป็นเรื่องธรรมดามาก บางทียาวถึง 5 หน้า ผมกลัวว่าคนดูจะเบื่อและไม่ดูละคร แต่ผลปรากฏว่า วันแรกเรตติ้ง 6.9 วันที่สอง 7.1 วันที่สาม 7.7 คิดว่าคงเพราะคนดูรอคอยละครเรื่องนี้มานาน
“ละครเรื่องนี้ถ่ายทอดมุมที่ไม่ดีของตำรวจก็จริง แต่หัวใจหลักของเรื่องคือสารวัตรใหญ่เป็นตัวแทนของตำรวจดี ละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้าโรงพักแห่งหนึ่งมีตำรวจดีเป็นหัวหน้า สามารถเปลี่ยนตำรวจทั้งโรงพักให้เป็นตำรวจที่ดีได้ จากโรงพักก็จะมีผลต่อทั้งเขต นี้คือความหมายที่ละครเรื่องนี้ต้องการจะบอกกับคนดู”
เรื่อง : กันตพงศ์ บำรุงรักษ์
เรียบเรียง : ชนินทร์ ผ่องสวัสดิ์
ภาพ : ฝ่ายภาพ อมรินทร์พริ้นติ้งฯ
บทความน่าสนใจ
10 ดารากับ 10 วิธีทำบุญ ตาม มรรควิธี 10 ไปดูกัน มีใครบ้าง
แพท วงเคลียร์ ชีวิตที่มี ธรรมะของคุณพ่อเป็นเครื่องเตือนสติ
ตูน บอดี้สแลม กับเทคนิควิ่ง 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว
อีกมุมของ เจมส์ มาร์ พระเอกวัยใสหัวใจธรรมะ
มรสุมชีวิต หมู-ดิลก ทองวัฒนา จากพระเอกดาวรุ่งสู่วันที่ไม่เหลืออะไร