เปิดชีวิต เฮียใช้ กรงกรรม เพ็ชร ฐกฤต ตวันพงค์ ครั้งหนึ่งผมเคยเป็น “แบดบอย”
หลังจากละครเรื่อง กรงกรรม ออนแอร์ไปได้ไม่นาน เพ็ชร ฐกฤต ตวันพงศ์ ก็กลายเป็นกระแสอยู่ไม่น้อย ในบทบาทใหม่ของเขา เฮียใช้ ลูกชายคนโตของป้าย้อยซึ่งสวมบทบาทโดยใหม่ เจริญปุระ ลองมาทำความรู้จักกับชีวิตของเพ็ชรในอีกมุมมองหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นแบดบอย
เพ็ชร เริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตว่า ครอบครัวผมมีด้วยกันสี่คน พ่อ แม่ และลูกๆ อีกสองคน ผมไม่ได้เป็นแค่ลูกชายคนเดียวของบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นน้องเล็กสุดแสบอีกด้วย ยิ่งพอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นความแสบของผมก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
ผมกำลังจะเล่าถึงช่วงอายุสิบห้าหมาด ๆ เรียกว่ากำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อพอดี อยากรู้อยากลอง คึกคะนองไปหมดไม่ว่าจะเที่ยวกลางคืน กินเหล้า ร่วมก๊วนซิ่งมอเตอร์ไซค์ หมกนอนตามบ้านเพื่อน ไม่กลับบ้าน ฯลฯ ผมทำมาหมดแล้ว ยิ่งพอระยะหลังๆ พ่อกับแม่มีปากเสียงกันบ่อยขึ้น ผมก็ยิ่งไม่อยากกลับบ้าน เพราะไม่อยากเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันและไม่อยากเป็นเด็กบ้านแตก
ไม่นานนักสิ่งที่ผมกลัวก็เป็นจริง…เมื่อพ่อกับแม่ตัดสินใจแยกทางกัน! ทุกคนแยกไปคนละทาง ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองรู้สึกอย่างไร รู้แค่ว่า ไม่ว่าใครจะพูดอะไรผมก็ไม่ฟังทั้งนั้น เพราะผมเชื่อว่าความคิดของผมเจ๋งที่สุดแล้ว ผมเริ่มทำตัวมีปัญหามากขึ้น มีเรื่องชกต่อยบ่อยขึ้น ไม่มีคำว่า “ถอย” หรือ “ยอม” มีแต่ลุยอย่างเดียวบางทีก็ถึงขั้นถือมีดดาบไล่ฟันคู่อริจนได้เลือดกันมาแล้ว
แต่เชื่อไหมครับว่า ไม่ว่าจะเกเรแค่ไหน ผมก็ไม่เคยทิ้งการเรียน พยายามบังคับตัวเองเพื่อเรียนให้จบชั้น ปวช.
ตอนนั้นผมอายุราวสิบเจ็ดได้ ผมเริ่มย้อนคิดขึ้นมาว่า “ที่ผ่านมาผมทำอะไรอยู่ ผมเกเรไปเพื่ออะไร” จนกระทั่งมาได้คำตอบแบบชัดๆ เมื่อพี่เขยและป้าช่วยกันสอนผมว่า
“ถึงพ่อกับแม่จะเลิกกันไป แต่เราก็ยังต้องทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด ไม่ใช่เกกมะเหรกเกเรอย่างทุกวันนี้เพ็ชรต้องตั้งใจเรียน เรียนให้จบ ทำงานหาเลี้ยงตัวเองให้ได้ และอย่าทำให้พ่อแม่เสียใจ”
ช่วงนั้นปิดเทอมพอดี ผมจึงตัดสินใจลองทำงานพิเศษเพื่อหารายได้ เริ่มจากงานขนไม้ยางพาราในสวนของพี่เขยกับป้าก่อน ผมต้องตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อไปขนไม้ยางที่เขาตัดกองไว้ ลำเลียงขึ้นท้ายมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ไปส่งลูกค้า เรียกว่างานหนักไม่ใช่เล่น แค่วันแรกผมก็เหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว ท้อใจ ไม่อยากทำ แต่พอรู้ว่าจะได้ค่าแรง 700 – 800 บาทต่อวันซึ่งถือว่ามากทีเดียว เพราะทำงานถึงแค่บ่ายโมงก็เลิกผมจึงพยายามกัดฟันสู้ทนทำต่อไปตลอดทั้งปิดเทอม ส่วนเรื่องเที่ยวเล่น ถึงจะยังมีอยู่บ้าง…แต่ก็ลดลงมาก
ในที่สุดผมก็หาเงินก้อนแรกในชีวิตได้สำเร็จ สามารถซื้อโทรศัพท์มือถือ แต่งมอเตอร์ไซค์อย่างที่ชอบได้เอง ไม่ต้องไปขอพ่อแล้ว อ้อ นอกจากงานในสวนยาง ถ้ามีเวลาว่างผมก็เริ่มไปช่วยงานพ่อบ้าง บางทีก็แวะไปช่วยงานแม่บ้าง แรกๆ ท่านก็งงที่จู่ๆ ผมก็มาช่วย แต่หลังๆ ก็เริ่มชินและน่าจะดีใจไม่น้อย
เมื่อจบ ปวช. ผมตัดสินใจขอพ่อไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ จะได้ลองเปิดโลกใหม่ๆดูบ้าง เพราะถ้าเรายังอยู่กับที่ ชีวิตก็คงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คิดแค่นี้ใจผมก็ลอยไปถึงกรุงเทพฯแล้วละครับตอนนั้นพ่อปฏิเสธอย่างเดียว เพราะอยากให้ผมอยู่ช่วยงานท่านมากกว่า แต่ผมพยายามรบเร้าพ่อทุกวันๆ ในที่สุดพ่อก็ใจอ่อน
พอมาอยู่กรุงเทพฯ หลังเลิกเรียนผมไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านราเม็งแห่งหนึ่งทำงานตั้งแต่บ่าย ๆ ไปจนห้างปิด แรกๆ ก็สนุกดี แต่หลังๆ เริ่มเหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ จึงหันมาเรียนอย่างเดียว
วันหนึ่งผมได้เจอ พี่อุ๊บ (วิริยะ พงษ์อาจหาญ) โดยบังเอิญ พี่อุ๊บชวนผมมาทำงานด้วย แต่ด้วยความที่ผมไม่รู้จักเขามาก่อนและไม่สนใจงานในวงการบันเทิงก็เลยปฏิเสธไป หลังจากนั้นราวหนึ่งสัปดาห์โชคชะตาก็พาผมให้ได้มาเจอกับพี่อุ๊บอีกจนได้ วันนั้นพี่อุ๊บมาจัดกิจกรรมพร้อมกับดาราดังหลายคนที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่พอดี พอเจอกันคราวนี้พี่อุ๊บพูดคุยกับผมอย่างจริงจังเกี่ยวกับรายละเอียดของงานทั้งหมดผลประโยชน์ที่จะได้รับ ฯลฯ จนผมตัดสินใจว่า “เอาวะ โอกาสมาถึงทั้งที ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”
คราวนี้ชีวิตเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เลยครับ จากเด็กผู้ชายปอนๆ ไม่เคยดูแลตัวเอง ก็ต้องหันมารักษาผิวหน้าเล่นฟิตเนส เข้าคอร์สการแสดง พัฒนาบุคลิกภาพ ฯลฯ เพื่อปูพื้นฐานการทำงานในวงการบันเทิง เรียกว่าเปลี่ยนอย่างรุนแรงชนิดจากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลยก็ว่าได้
พอเริ่มงานชิ้นแรก ไม่นานก็มีงานชิ้นที่สอง สาม…ตามมาเรื่อยๆ ผมมีรายได้มากขึ้นๆ จนสามารถช่วยแม่ปลดหนี้สินทั้งหมดได้ คราวนี้ผมเริ่มคิดว่า “ผมน่าจะดูแลครอบครัวได้แล้ว” แต่จะมีประโยชน์ อะไรถ้าผมต้องดูแลแม่ที ดูแลพ่อที เพราะท่านทั้งสองยังแยกกันอยู่ สู้ให้ผมได้ดูแลทั้งสองคนพร้อมๆ กันดีกว่า สำหรับลูกชายคนหนึ่งแล้ว มันง่ายและมีความสุขกว่ากันเยอะเลย ผมจึงเริ่มพูดคุยเรื่องนี้กับพ่อและแม่ พยายามอย่างจริงจัง เป็น “คนกลาง”ช่วยให้ท่านเข้าใจกัน แต่ก็ใช้เวลานานเป็นปีๆ กว่าที่ท่านจะคืนดีกันและย้ายขึ้นมาอยู่ที่กรุงเทพฯพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกพอภารกิจนี้สำเร็จ ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขที่สุดเลยครับ จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขเท่าอยู่กับคนที่เรารัก
กว่าผมจะเป็นเพ็ชร – ฐกฤตในวันนี้ได้ ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ที่สั่งสอนดูแลผมเรื่อยมา แม้ผมจะเคยออกนอกลู่นอกทางมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เกเรสารพัด แต่พ่อกับแม่ก็ยังให้โอกาส เข้าใจ และให้อภัยผมทุกครั้ง…ขอบคุณอย่างสูงสุดครับ
Secret Box
เกิดเป็นคนต้องรู้จัก “หน้าที่” แล้วทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
เพ็ชร – ฐกฤต ตวันพงค์
ที่มา : นิตยสารซีเคร็ต
ภาพ : https://www.instagram.com/phet_thakritและ http://www.youtube.com/ch3thailand
บทความน่าสนใจ
ถึงจะเกเรแค่ไหน ผมก็จะทำให้พ่อแม่ภูมิใจให้ได้ – เป้ วงมายด์
คิดดี ทำดี เคล็ดลับสร้างความสุขและความสำเร็จ ในสไตล์ เจมส์ จิรายุ
อีกมุมของ เจมส์ มาร์ พระเอกวัยใสหัวใจธรรมะ
สติชนะทุกสิ่ง อาโป – ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์
มรสุมชีวิต หมู-ดิลก ทองวัฒนา จากพระเอกดาวรุ่งสู่วันที่ไม่เหลืออะไร