พิการเพียงกายแต่ใจไม่พิการ เรื่องจริงของคนไม่สมบูรณ์พร้อม แต่ไม่ขอยอมแพ้
ฉันเคยเป็นคนที่มีศักยภาพหลายด้าน แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ทำให้กลายเป็นคนพิการ และต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ฉันเกิดในครอบครัวคนจีนที่มีฐานะยากจน พ่อแม่มีลูก 10 คน ฉันเป็นลูกคนที่ 9 พ่อประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังเด็ก แม่จึงเลี้ยงดูลูก ๆ เพียงลำพังพอเริ่มโตขึ้นฉันและพี่ ๆ ก็เริ่มทำงานหารายได้เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับครอบครัว
ฉันทำงานตั้งแต่ยังเรียนชั้น ปวช. เพราะตระหนักว่าครอบครัวของเรายากจนด้วยเหตุนี้ฉันจึงมีต้นทุนด้านความพยายามและความอดทนสูงกว่าเด็กคนอื่น ๆ ซึ่งทำให้ฉันเรียนจบเร็วกว่าเด็กทั่วไป
ฉันเป็นคนขี้โรคตั้งแต่ยังเล็ก แต่ที่บ้านกลับไม่มีใครรู้ เพราะไม่เคยโอดครวญให้ใครฟัง ตอนเรียนชั้นประถมฉันเลือดกำเดาไหลสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทุกครั้งฉันจะนอนเงยหน้าและเฝ้ารอให้เลือดหยุดไหลไปเองโดยไม่เคยบอกให้ใครพาไปหาหมอ เมื่อโตมาฉันต้องนั่งขายของอยู่ริมถนนทั้ง ๆ ที่เป็นโรคภูมิแพ้ความยากไร้ทำให้ฉันไม่มีทางเลือก ต้องทนขายของท่ามกลางฝุ่นควันต่อไปทั้งที่ร่างกายก็ย่ำแย่
เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ฉันเปลี่ยนที่ทำงานและตำแหน่งงานค่อนข้างบ่อย เพราะไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ และชอบทำในสิ่งที่ท้าทายความสามารถเพื่อให้สมองพัฒนาอยู่เสมองานสุดท้ายที่ฉันทำก่อนเกิดอุบัติเหตุก็คือรองหัวหน้าฝ่ายจัดการเร่งรัดหนี้สิน บริษัทสินเชื่อย่านสีลม
วันนั้นฉันลาพักร้อนและเดินทางไปพักผ่อนที่เพชรบูรณ์ตามคำชักชวนของเพื่อนตอนแรกฉันตั้งใจนั่งรถโดยสารประจำทางเพราะคิดว่าปลอดภัยกว่า เนื่องจากคนขับมีประสบการณ์ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าฉันต้องนั่งรถไปพร้อมกับเพื่อนและน้องชาย
เมื่อรถแล่นมาถึงจังหวัดลพบุรี รถที่ฉันโดยสารมาก็เกิดอุบัติเหตุ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีรถยนต์ที่ฉันนั่งก็หลุดจากเลนขวาพุ่งลงท้องนาข้างทาง ล้อรถระเบิดทั้ง 4 ล้อ ผู้ที่เห็นสภาพรถต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องมีคนเสียชีวิตอย่างแน่นอน
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบดูสารคดีจึงรู้ว่าควรป้องกันตนเองอย่างไรขณะเกิดอุบัติเหตุ ฉันเอามือกุมสันหลัง ต้นคอ และจุดสำคัญ แต่กลับเกิดอุบัติเหตุต่อสันหลังส่วนที่ฉันกุมไม่ถึง ขาทั้งสองข้างเข้าไปอยู่ใต้เบาะคนขับ ฉันรู้สึกเจ็บหลังและขาทั้งสองข้างก็ไร้ความรู้สึก ในตอนนั้นฉันรู้ทันทีว่าตัวเองเป็นอัมพาต
ฉันไม่รู้สึกเสียใจ เพราะก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุ ฉันไม่เคยดูถูกคนพิการ กลับรู้สึกว่าพวกเขาเก่งเสียด้วยซ้ำที่ยังสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างคนปกติ
อุบัติเหตุเกิดตอนบ่าย 3 โมง กว่ารถพยาบาลจะมาถึงก็ 6 โมงเย็นแล้ว โชคยังดีที่ระหว่างนั้นมีคนขับรถบรรทุกมาช่วยถอดเบาะหน้าออก แต่ฉันยังคงติดอยู่ในรถเป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง และต้องทนเจ็บปวดกับบาดแผลตามร่างกายที่เกิดจากเศษกระจกรถบาดอีกด้วย
เมื่อรถพยาบาลมาถึง ฉันถูกลากขึ้นรถพยาบาลอย่างทุลักทุเลเพราะขาดเครื่องมือที่จำเป็นในการขนย้ายผู้ป่วย ฉันถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัดตอน 1 ทุ่ม แต่ก็ยังไม่ได้รับการรักษาเนื่องจากไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ต้องรอจนกระทั่งเที่ยงคืนจึงได้เข้าผ่าตัดวิสัญญีแพทย์วางยาสลบฉันเหมือนกรณีอื่น ๆ แต่ร่างกายของฉันต่อต้าน ยาสลบจึงใช้กับฉันไม่ได้ผล ฉันรู้สึกตัวตลอดการผ่าตัด ขณะผ่าตัดเศษอาหารเข้าไปอุดตันท่อออกซิเจนแต่ด้วยฤทธิ์ของยาสลบทำให้ฉันไม่สามารถขยับตัวให้แพทย์และพยาบาลรับรู้ได้ จึงต้องพยายามดันท่อออกซิเจนออกจากปากด้วยตนเอง จนในปากเกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์
หลังจากอยู่ที่โรงพยาบาลในจังหวัดลพบุรีได้ไม่กี่วัน ฉันขอให้คุณหมอส่งตัวกลับมารักษาต่อที่กรุงเทพฯ แต่หมอปฏิเสธเพราะอาการของฉันหนักมากและต้องฉีดสเตียรอยด์กระตุ้นเส้นประสาทอีก 4 วัน แต่กลับไม่เป็นผล ร่างกายยังคงไร้การตอบสนองดังเดิม ฉันจึงทำเรื่องย้ายมารักษาต่อที่โรงพยาบาลที่ทำประกันสังคมไว้ในกรุงเทพฯ
ผลสแกน MRI พบว่า บาดแผลที่กระดูกสันหลังมีขนาดเล็กมากแค่ครึ่งเซนติเมตร แต่กลับโดนเข้าที่จุดสำคัญ ทำให้ฉันเป็นอัมพาตและระบบขับถ่ายล้มเหลวไม่สามารถขับถ่ายได้อย่างคนปกติ ต้องกินยาถ่ายทุกชนิด แม้กระทั่งยาถ่ายของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด แต่ฉันก็ยังไม่สามารถขับถ่ายได้
ฉันรักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ 3 เดือน อาการก็ไม่ดีขึ้น ซ้ำร้ายซี่โครงอ่อนยังอักเสบเพราะการรักษาผิดวิธี หลังจากนั้นฉันก็ถูกส่งต่อไปอีกหลายโรงพยาบาลแต่อาการไม่ดีขึ้น จึงย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง ได้ทำกายภาพบำบัดอย่างถูกวิธี แต่เนื่องจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้กล้ามเนื้อล้มเหลว จึงต้องผ่าใส่เหล็กดามหลัง ทั้งยังต้องใส่อุปกรณ์ดามหลังไว้ด้านนอก แพทย์บอกว่า ฉันเป็นคนไข้ที่อารมณ์ดีมาก เพราะไม่เคยโอดครวญแม้สภาพร่างกายจะย่ำแย่ก็ตาม
ฉันอารมณ์ดีเพราะฉันยอมรับตัวเองได้ และไม่เคยคิดว่าตัวเองด้อยค่า เพราะคนเราจะด้อยค่าหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสรีระ แต่อยู่ที่จิตใจ ต่อให้ร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ถ้าไม่มีเมตตา ไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ รวยแค่ไหนก็ถือว่าด้อยค่า
คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ฉันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐได้ 1 เดือน เหล็กดามหลังก็หลุด แต่เนื่องจากช่วงนั้นเกิดสึนามิครั้งใหญ่ แพทย์และอุปกรณ์ภายในโรงพยาบาลจึงไม่เพียงพอฉันถูกส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลอื่น ก่อนจะกลับมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเดิม
ช่วงที่ประสบอุบัติเหตุใหม่ ๆ ฉันไม่สามารถกินอะไรได้เลย กินแล้วก็อาเจียนออกมาจนหมด เมื่อย้ายมาโรงพยาบาลรัฐแห่งนี้ แพทย์วินิจฉัยว่าลิ้นเปิดปิดระหว่างหลอดอาหารไปยังกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะไหลย้อนกลับ ทั้งยังตรวจพบว่าเยื่อบุโพรงมดลูกของฉันเจริญผิดที่อีก ในตอนนั้นฉันรู้สึกว่าโชคชะตาเล่นตลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถึงอย่างไรฉันก็จะก้าวผ่านมันไปให้ได้
หลังจากรักษาลำไส้อยู่สักพัก ฉันยังคงขับถ่ายไม่ได้เช่นเดิม แพทย์จึงต้องผ่าตัดยกลำไส้หรือเปิดทวารทางหน้าท้อง ให้ถ่ายออกที่บริเวณหน้าท้อง โดยใช้ถุงหน้าท้องรองรับของเสีย แต่ด้วยสรีระของฉันทำให้ฉันต้องเปลี่ยนถุงหน้าท้องบ่อยกว่าคนอื่น
ต่อมาช่วงน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 2554 ฉันมีอาการติดเชื้อในลำไส้ จึงต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่สถานการณ์น้ำท่วมทำให้โรงพยาบาลต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังศูนย์อพยพต่าง ๆ ฉันจึงต้องเผชิญช่วงชีวิตที่ยากลำบากอีกครั้ง เพราะศูนย์อพยพไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการ
ปัจจุบันฉันสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เหมือนคนทั่วไป คงเหลือเพียงกิจกรรมบางอย่างเท่านั้นที่ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองเช่น การก้มลงเก็บของ เนื่องจากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย
ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงฉันจะนั่งสมาธิ เพราะการนั่งสมาธิทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินและลดปริมาณของอะดรีนาลิน ช่วยให้ความเจ็บปวดลดลงนอกจากนั้นการนั่งสมาธิยังช่วยให้จิตใจสงบ มีสติ และเมื่อมีสติ ก็มีปัญญาในการพิจารณาความเจ็บปวด อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็จะลดลง
ทุกวันนี้ฉันไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งเพราะแพทย์สั่งห้ามไม่ให้เครียด มิเช่นนั้นอาการของฉันจะยิ่งทรุดลง แต่เนื่องจากฉันมีความรู้ในด้านการเงินและการลงทุน ประกอบกับชอบติดตามข่าวสารในแวดวงเศรษฐกิจฉันจึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการลงทุน โดยการตรวจสอบทิศทางการลงทุนให้เพื่อน ๆ และได้เปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุน ฉันพร่ำบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ฉันจะขอหาเลี้ยงชีพโดยการประกอบอาชีพสุจริต ไม่ขอเป็นภาระให้กับคนรอบข้าง นอกจากนั้นฉันยังอุทิศตนเป็นกรณีศึกษาให้ทางโรงพยาบาลอีกด้วย
ตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุ ฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจหรือกล่าวโทษโชคชะตา เพราะคิดว่าคนเราต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเคยก่อกรรมอะไรไว้ในอดีต บัดนี้ผลแห่งกรรมเหล่านั้นได้ย้อนกลับมาแล้ว ฉันก็ต้องยืดอกรับและต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แม้กระทั่งร่างกายที่ใช้มาตั้งแต่เกิด ดังนั้นเมื่อถึงวัยเสื่อมก็จงยอมรับให้ได้ว่าเป็นความเสื่อมไปตามกาลเวลา ไม่มีใครหนีพ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราจะต้องยอมรับในสิ่งที่เราเป็นให้ได้ อย่าดูถูกตัวเองว่าเป็นคนพิการ ไม่มีความสามารถ ด้อยค่า เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์ทุกคนต่างก็มีศักยภาพในตนเอง คิดเสียว่าความพิการเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้เราได้ดึงศักยภาพแท้จริงที่ซ่อนแฝงอยู่ภายในออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
ฉันไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา แม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย ฉันขอยืนหยัดนำความรู้ความสามารถที่ฉันมีมาเลี้ยงดูตนเองและทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น
ข้อคิดจากพระครูธรรมธร ดร.สาคร สุวฑฺฒโน
การยอมรับความเป็นจริงและอยู่กับปัจจุบัน ไม่หวนคิดถึงอดีตอันเลวร้าย ไม่คิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เป็นการปฏิบัติธรรมอันสูงส่งของความจริงของชีวิตมนุษย์เราถ้ารู้ทันความจริงที่เกิดขึ้นและยอมรับมันให้ได้ก็สุขไปครึ่งหนึ่งแล้ว การเคารพในชีวิตที่มีลมหายใจของตนเองถือเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด การเคารพในชีวิตที่มีลมหายใจของผู้อื่นก็ยิ่งประเสริฐ สิ่งที่มีลมหายใจในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์ก็ย่อมมีทุกข์มีสุข และยิ่งกว่าทุกข์และสุขก็คือการสู้ชีวิตเพื่อดำรงชีพให้อยู่ต่อไป
จงมองทุกอย่างให้เป็นธรรมจงมองทุกสิ่งให้เป็นกลาง จงมองทุกข์ให้เห็นสุข จงมองสุขให้เห็นทุกข์ แล้วชีวิตจะรู้ถึงธรรมอันประเสริฐ
เรื่อง เบญจวรรณ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ เรียบเรียง อิศรา ราชตราชู