ขอบคุณ “ทุกคำสบประมาท” ที่ทำให้ผมมีวันนี้ – ดีเจพีเค ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร
ผม ( ดีเจพีเค ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร) ย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่จบชั้น ป.6 ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่เป็นแค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร คุณแม่จึงสอนเสมอว่า “ถ้าอยากได้ก็ต้องหาเอาเอง เพราะพ่อกับแม่ให้ได้แค่การศึกษา”
ความที่คุณแม่อยากให้ผมมีอนาคตที่ดี ได้ทำงานนั่งโต๊ะ ใส่สูท ผูกไท ท่านจึง “เคี่ยวเข็ญ” ผมเป็นการใหญ่ ทั้งการเรียนและการใช้ชีวิต ถ้าผมอยากทำงานพิเศษท่านก็ไม่ห้าม เพียงแต่ต้องจัดสรรเวลาให้เหมาะสม ด้วยเหตุนี้ผมจึงใช้ชีวิตกึ่งเด็กอเมริกันกับเด็กไทยมาโดยตลอด
พอเข้าสู่วัยรุ่น ผมก็เริ่มมีความรัก ซึ่งเกิดขึ้นแบบ love at first sight ด้วยความที่ผมกับเธออยู่ต่างรัฐ การเดินทางไปมาหาสู่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องติดต่อกันด้วยการเขียนจดหมายหรือไม่ก็ใช้โทรศัพท์บ้าน ซึ่งอย่างหลังผมต้องทำงานเก็บเงินเยอะ เพราะค่าโทรศัพท์ที่นั่นถือว่าค่อนข้างแพง
หลังจากเราติดต่อกันแบบนี้อยู่ราว 1 ปี วันหนึ่งผมก็มีโอกาสได้เจอเธออีกครั้งในงานกีฬา ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก อยากเอาของขวัญไปให้และอยากชวนเธอไปกินไอติม แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายลงในพริบตา เพราะทันทีที่เจอกันเธอก็บอกผมว่า
“เราเป็นเพื่อนกันเถอะ เพราะฉันรักคนอื่นไปแล้ว อย่าเสียใจนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
พูดจบเธอก็เดินสวย ๆ เชิด ๆ ไม่ไยดีผมสักนิด แล้วไปขึ้นรถสปอร์ตสีดำที่ติดเครื่องจอดรออยู่ ผมรู้สึกถึงอาการอกหักที่เพื่อน ๆ เคยเล่าให้ฟังทันที ความรู้สึกที่ทั้งชา เสียใจ และปวดร้าวปน ๆ กัน จากนั้นผมก็เริ่มคิดว่า เหตุที่เธอไม่รับรักผมก็คงเพราะผมไม่รวย ไม่มีรถสปอร์ต ดังนั้นวันหนึ่งผมต้องมีรถสปอร์ตแบบนี้ให้ได้ นั่นคือเหตุการณ์ที่ฝังอยู่ในใจผมมาตลอดตั้งแต่ชั้นไฮสกูล อย่างที่บอกว่าช่วงไฮสกูลผมแทบไม่เคยได้รับอิสระจากคุณแม่ ดังนั้นช่วงเรียนมหาวิทยาลัยผมจึงตั้งใจไปยื่นคะแนนกับมหาวิทยาลัยตามรัฐไกล ๆ เพื่อจะได้ลองใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนคนอื่น ๆ ดูบ้าง แล้วผมก็ทำได้จริง ๆ แถมยังได้ทุนจากมหาวิทยาลัยด้วย ถึงอย่างนั้นแม่ ก็แนะให้ผมเลือกลองไอแลนด์ เพราะเป็นรัฐที่ใกล้บ้านมากที่สุด…ซึ่งผมก็ยอมที่ลองไอแลนด์ผมใช้ชีวิตแบบเด็กใจแตก เป็นตัวของตัวเองสุด ๆ ออกเที่ยวทุกคืน แต่พอเกรดเทอมแรกออกมาผมแทบช็อกเพราะผมได้เกรดเฉลี่ยแค่ 1.86 เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมากสำหรับนักเรียนทุน ทางมหาวิทยาลัยจึงสั่งระงับทุนการศึกษาทั้งหมดทันที แน่นอนว่าเรื่องนี้ห้ามให้แม่รู้เด็ดขาด ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียน International Business แทน Computer Engineer เพื่อให้มีเวลามากพอที่จะหางานพิเศษทำได้มากขึ้น เพราะจากนี้ไปผมต้องจ่ายค่าเทอมเองแล้ว ผมใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทำงานแล้วก็เรียน เรียนแล้วก็ทำงาน โดยที่ยังไม่มีเป้าหมายอื่นในชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น มุมมองในชีวิตผมก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที
เรื่องมีอยู่ว่า กลางดึกคืนหนึ่งผมกับเพื่อน ๆ อีกสามคนตัดสินใจ ว่าจะไปแมนแฮตตันด้วยกัน โดยมีเพื่อนใหม่รับอาสาขับรถพาพวกเราไป วันนั้นฝนตกหนักมาก ประกอบกับเพื่อนใหม่ก็ยังไม่ชินทางสายนี้ด้วย เป็นเหตุให้รถเสียหลักแหกโค้งออกไป ด้วยความเร็วและแรงทำให้เพื่อนสองคนที่นั่งด้านหลังหลุดออกจากรถทันที ส่วนผมกับคนขับติดแหง็กกันอยู่ในรถอย่างนั้น มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่หน่วยกู้ภัยกำลังใช้เครื่องมือตัดหลังคาเพื่อนำร่างของผมและคนขับออกมา
ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองคงไม่เป็นอะไรมาก แต่มาเอะใจตอนที่เห็นสีหน้าของคุณแม่ เพราะผลปรากฏว่า กระดูกซี่โครงซีกซ้ายของผมแตกทั้งหมดและกระดูกบางส่วนก็เบี้ยว ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลราว 1 เดือน ส่วนเพื่อนสองคนมีแค่รอยฟกช้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นอะไรมาก แต่ที่ช็อกที่สุดคือคนขับครับ เขาเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในรถ!
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือ “ฉิบหายแล้ว ชีวิตคนเรามันสั้นแค่นี้เองเหรอ” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมคิดมาตลอดว่าเราต้องอยู่บนโลกนี้ไปนานแสนนาน พอแก่แล้วถึงตาย แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่าจากนี้ไปคิดจะทำอะไรต้องรีบทำ อย่ามัวรอนั่นรอนี่ อย่ามาคิดว่า “ถ้า” หรือ “What if”
ตั้งแต่นั้นผมจึงเริ่มคิดถึงความฝันของตัวเอง ฝันที่อยากเป็นนักร้อง รวมถึงฝันเก่า ๆ ที่คิดอยากจะมีรถสปอร์ต…ผมบอกตัวเองว่าพอหายดีแล้วผมจะรีบทำมันทันที
เมื่อชีวิตมีเป้าหมาย ผมก็เริ่มทำงานมากขึ้นเพื่อที่จะเก็บเงินให้ได้มาก ๆ ราว 2 ปีต่อมาผมก็เรียนจบจึงไม่มีภาระเรื่องค่าเทอมมากวนใจอีก ผมเริ่มมองหารถสปอร์ตสีดำรุ่นนั้นทันที และนำเงินเก็บทั้งหมดไปซื้อหามาจนได้ ตอนนั้นผมดีใจมาก โคตรภูมิใจในตัวเองเลย เพราะมันแสดงให้เห็นว่า
จากนี้ไปถ้าตั้งใจจะทำอะไร ผมก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรยากเกินความพยายามของเราจริง ๆ หลังจากนั้นผมย้ายกลับมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เหมือนเดิมแล้วก็ไปสมัครงาน จนได้งานใส่สูทผูกไทอย่างที่คุณแม่ต้องการ แต่ทำไปได้สักระยะผมก็รู้สึกว่างานนี้ไม่ใช่ตัวตนของผม ผมไม่มีความสุขเอาเสียเลย ที่สุดผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าบอกคุณแม่ว่า
“แม่ครับ ผมจะกลับเมืองไทยไปเป็นนักร้องอย่างที่ฝัน”
ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่มากนะครับ เพราะผมเหมือนคนที่กำลังตัดความหวังของคุณแม่ ท่านดูทุกข์ใจ ร้องไห้ตลอด แต่ผมต้องใจแข็ง เพราะความฝันของผมก็ยิ่งใหญ่เหมือนกัน ผมอยากลองทำดู จะได้รู้ว่า “ทำได้หรือไม่ได้” จะได้ไม่เสียใจว่าไม่มีโอกาสได้ลอง
ส่วนคุณแม่ท่านน่ารักนะครับ ถึงจะไม่เห็นด้วย แต่ท่านไม่เคยดูถูกความฝันของผมเลย จะมีก็แต่เพื่อนของคุณแม่คนหนึ่งที่เคยพูดเปรย ๆ ให้ผมได้ยินว่า “เคยส่องกระจกดูตัวเองไหม” แม้ผมจะโกรธมาก แต่ก็รู้สึกฮึดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้น เรายิ่งต้องทำให้เห็นว่าเราทำได้”
หลังจากตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ผมก็จัดแจงขายสมบัติที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทุกชิ้น เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินทุนสำหรับใช้ที่ประเทศไทย ที่นี่ชีวิตของผมต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ เน้นหนักเอาเบาสู้ ในที่สุดราว 4 ปีต่อมาฝันของผมก็เป็นจริง เมื่อผมมีโอกาสได้เป็นนักร้องออกอัลบั้มเป็นครั้งแรก แต่ประสบการณ์ในการทำงานทำให้ผมรู้ว่าอาชีพนี้ไม่มั่นคง เมื่อเทียบกับงานดีเจและพิธีกรที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม เส้นทางงานดีเจและพิธีกรที่ว่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายผมต้องเจอบททดสอบ คำสบประมาทหลายครั้ง แต่ผมไม่ยอมแพ้อะไรทำไม่ได้ก็หาความรู้เพิ่ม แล้วฝึกฝน ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้าเห็นความสามารถและจ้างผมตลอด ในที่สุดผมก็ทำได้ และยืนหยัดบนเส้นทางนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนหนึ่งที่ผมมีวันนี้ได้ต้อง “ขอบคุณ” ทุกคำสบประมาทรวมทั้งความผิดหวังต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต ซึ่งช่วยผลักดันให้ผมไม่ยอมแพ้และฮึดสู้ครับ
Secret BOX
ทำตัวให้เป็น “น้ำ”
เพราะน้ำสามารถปรับตัวเข้าได้กับภาชนะ
ทุกรูปแบบ ทุกสถานการณ์
ดีเจพีเค - ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร
เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์
ภาพ Siamdara
บทความน่าสนใจ
แฮร์ริสัน ฟอร์ด ดาราฮอลลีวูด รุ่นใหญ่ ทำบุญถวายพระพุทธรูปแด่วัดที่สปป.ลาว
ปรับความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน เรื่องราว “การปรับความคิด” ของดาราหนุ่มทั้ง 3 คน
3 ดารา ที่มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อม
9 ดารานักร้องฮอลลีวู้ดที่ไม่น่าเชื่อว่านับถือ “ศาสนาพุทธ”
ดารา “พิมพ์” คีโมครั้งสุดท้าย เชื่อธรรมะช่วยสุขภาพจิตใจ