คืนนั้นกับ…โจร!
“เข้ามายังไงเหรอ นายชื่ออะไร แล้วมาจากไหน…”
“หิว จะเข้ามาหาอะไรกิน แต่ไม่เห็นมีอะไรกินเลย”
“เดี๋ยวเราพาลงไปกินข้างล่างในครัวมีขนมปังนะ หรือจะให้เราทำกับข้าวให้กินก็ได้”
ใครบ้างจะคิดว่านี่คือบทสนทนาระหว่างฉันกับ โจร!
ฉันชื่อ “ผึ้ง” ว่าที่บัณฑิตใหม่ป้ายแดงจากรั้วมหาวิทยาลัยดังทางภาคอีสาน ฉันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรกับพ่อแม่และน้องสาว แต่พักหลังมานี้เราทุกคนมักจะไปนอนค้างที่บ้านสวนกัน แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็เกิดรู้สึกไม่อยากตามพ่อกับแม่ไปและขออยู่บ้านในเมืองคนเดียว ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันต้องจำไปอีกนาน!
ราว ๆ ตีสามของคืนวันนั้น ระหว่างที่กำลังนอนหลับอยู่ ฉันได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังขึ้น…พ่อกับแม่บอกว่าจะกลับบ้านตอนรุ่งเช้านี่นา ‘รึว่าจะเปลี่ยนใจ’ ฉันเปิดประตูห้องนอนออกไปดูด้วยความงัวเงียพร้อมตะโกนถามไปว่า
“พ่อเหรอ”
สิ้นเสียงก็ปรากฏชายแปลกหน้าร่างเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนอนฉันเขาปิดบังหน้าตาไว้ด้วยผ้าคลุมสีดำแบบไอ้โม่ง แต่ยังเผยให้เห็นรอยแผลไหม้บนใบหน้าอย่างชัดเจน ในมือของเขาถือมีดทำครัวจากห้องครัวติดมาด้วย การแต่งตัวและท่าทางของเขาบ่งบอกให้ฉันรู้ทันทีว่า
โจรขึ้นบ้าน!
ชายแปลกหน้าปิดประตูแล้วลากเก้าอี้มานั่งกั้นไว้ ไม่เหลือทางให้ออก เขาจ้องเขม็งมาที่ฉัน ฉันพยายามสะกดความหวาดกลัวที่เกิดขึ้น แล้วคิดหาทางให้ตัวเองหลุดออกไปจากตรงนั้นโดยเร็วที่สุด
เมื่อไม่นานมานี้ฉันเคยลงเรียนวิชาอาชญวิทยาและจิตวิทยาในมหาวิทยาลัยเพื่อความอุ่นใจว่า วันหนึ่งอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย…และดูเหมือนว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นวันนี้ไปเสียแล้ว
บทเรียนยังคงติดแน่นในความทรงจำในภาวะคับขันเช่นนี้ สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการส่งเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือเพราะนั่นเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้โจรลงมือทำร้ายเรา ฉันจึงใจเย็นและเริ่มพูดคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่เป็นมิตร แม้ภายในใจจะหวาดวิตกมากเพียงใดก็ตาม
“เข้ามายังไงเหรอ นายชื่ออะไร แล้วมาจากไหน…”
ฉันรัวคำถามที่คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะสามารถเป็นบทสนทนาระหว่างเหยื่อกับโจร ชายแปลกหน้าอยู่ในอาการมึนเมา แม้เขาจะพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แต่ฉันก็ไม่หยุดความพยายาม
เขาบอกกับฉันว่าเขาหิว จะเข้ามาหาอะไรกิน แต่ไม่เห็นมีของกินอยู่ในบ้าน ฉันจึงอาสาพาเขาลงไปหาอาหารที่ยังมีอยู่ในครัวและยังอาสาทำกับข้าวให้เขาด้วย! แต่เขากลับปฏิเสธ พร้อมบอกว่าอยากคุยกับฉันมากกว่า
ฉันทำใจดีสู้เสือ พูดคุยกับโจรต่อโดยพยายามสะกดกลั้นท่าทีหวาดกลัวไว้ภายในหวังเพียงว่าจะเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาให้ได้มากที่สุด ภายในใจก็ครุ่นคิดหาวิธีออกไปจากห้องนี้ให้ได้…แต่แล้วคำพูดที่ทำเอาฉันถึงกับอึ้งก็หลุดออกมาจากปากโจร
“พี่เหมือนพี่สาวผม พี่ใจดี ไม่รังเกียจที่ผมเป็นแบบนี้ ผมขอกอดพี่ได้ไหม” เขาว่าการสวมกอดคนแปลกหน้าโดยเฉพาะเป็นโจรผู้ร้ายที่พกมีดอยู่เป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงเกินกว่าหญิงใดจะหาญกล้า ทว่าทางเลือกมีไม่มากนัก เพราะถ้าฉันยอมให้เขากอดในตอนนี้ก็จะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขาลุกจากเก้าอี้ แล้วฉันก็จะสามารถเปิดประตูวิ่งหนีออกไปจากห้องนี้ได้
ไม่มีเวลาให้ตัดสินใจนานนัก และแล้วฉันก็เลือกที่จะสวมกอดเขาหลวม ๆ ในขณะที่สองตายังคงจับจ้องประตูไว้ ทันทีที่เขาลุกขึ้นยืนแล้วสวมกอดฉัน ฉันก็รีบยื่นมือไปหมุนลูกบิดประตูและก้าวออกจากห้องนอนทันที! แต่…น่าเสียดายที่ช้าไปเพียงเสี้ยววินาที เขาไหวตัวทันและจับฉันเหวี่ยงออกไปด้วยความโมโห
แม้เขาจะตัวเล็ก แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถสู้เรี่ยวแรงผู้ชายได้ ฉันต่อสู้เพื่อแย่งมีดจากมือเขา ฉันออกแรงจนสุดกำลังและสามารถหักคมมีดออกจากด้ามไม้ด้วยสองมือเปล่า โชคดีที่เป็นมีดเล่มบางคมมีดจึงหลุดออกมาได้ไม่ยากนัก ฉันกำมีดไว้แน่น แม้เลือดจะไหลเต็มฝ่ามือ แต่นาทีนั้นฉันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว รู้แต่เพียงว่าต้องรีบวิ่งหนีลงไปยังชั้นล่างให้เร็วที่สุด
ทว่าไม่ทันวิ่งหนีพ้นเขาก็ก้าวตามลงมาทัน แล้วกระชากผมฉันเหวี่ยงไปยังห้องกินข้าว ผมยาวสลวยของฉันหลุดติดมือเขาไปเป็นกำ ฉันพยายามใช้เล็บข่วนแขนเขาหวังว่าจะให้เศษชิ้นเนื้อติดมากับเล็บจะได้ใช้เป็นหลักฐานเวลาแจ้งความ แต่เขากลับผลักฉันนอนลงกับพื้นแล้วโถมตัวคร่อมฉันทางด้านหลัง ก่อนจะกดลูกกระเดือกฉันด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ซึ่งมันแสนทรมานเสียยิ่งกว่าการใช้มือบีบรัดคอไว้เสียอีก
ฉันพยายามดิ้นสุดแรง แต่ก็เกินกำลังวินาทีนั้นฉันแทบหมดลมหายใจ กำลังที่มีหายไปจนหมดสิ้น มีดในมือร่วงหล่นลงบนพื้น เขาคว้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วปาดคอฉันเป็นทางยาว พร้อมกับบีบคอต่อไปโดยไม่ปราณี เวลานั้นฉันรู้สึกชาไปหมด เลือดไหลอาบเต็มตัว ฉันได้ยินเขาสบถออกมาว่า
“ทำไมมันตายยากตายเย็นซะจริง!” นี่เขาหวังจะเอาชีวิตฉันเลยเชียวหรือ
ฉันเหมือนคนใกล้ตายเต็มที ลมหายใจเริ่มแผ่วเบา ภาพต่าง ๆ กำลังจะเลือนหายไปแต่จู่ ๆ ในนาทีที่กำลังจะหมดลมหายใจ ฉันก็นึกถึงหน้าพ่อและแม่ขึ้นมา
‘เราเกิดมายังมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เพิ่งจะเรียนจบมหาวิทยาลัย ยังไม่ได้รับปริญญาและสำคัญที่สุดคือ ยังไม่ได้ทำงานเลี้ยงดูพ่อแม่เลย แล้วเราจะรีบตายแล้วเหรอ ไม่! เรายังไม่อยากตาย เรายังอยากอยู่กับพ่อแม่เรายังอยากทดแทนบุญคุณท่าน!’
พ่อและแม่ทำให้ฉันมีกำลังขึ้นมาอย่างประหลาด โชคดีที่จังหวะนั้นเขาคลายนิ้วออก ฉันจึงใช้วินาทีใกล้ตายเฮือกสุดท้ายร้องขอชีวิต น้ำตาของฉันไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ฉันกราบเขาแทบเท้า เขาหยุดชะงักทันที
“อย่าทำอะไรเราเลย เราเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ยังไม่ได้รับปริญญา ยังไม่ได้หางานทำ ตั้งแต่เกิดมาเรายังไม่เคยได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่เลยสักครั้ง พรุ่งนี้เราก็จะไปสมัครงานแล้ว ปล่อยเราไปเถอะนะ”
อาจเป็นอานิสงส์จากการระลึกถึงบุญคุณของพ่อและแม่หรืออะไรก็ตามแต่ท่าทีของเขาเริ่มอ่อนลงทันที ไม่แน่ว่า…ความรู้สึกผิดบาปอาจเกิดขึ้นในใจของเขาแล้วก็เป็นได้
“นายจะหนีก็หนีไปได้เลย เราไม่เอาเรื่อง ขออย่างเดียวตอนนี้ปล่อยเราไปเถอะเราอยากไปหาหมอ เราไม่ไหวแล้ว”
ราวกับภาพยนตร์แอ๊คชั่นหักมุมจบ…ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เขาอาสาพาฉันไปหาหมอ! โดยขับมอเตอร์ไซค์ของฉันพาฉันไปส่งถึงโรงพยาบาล
แม้จะอยู่ในนาทีที่เรี่ยวแรงใกล้หมดลง แต่ฉันก็พยายามประคองสติไว้ไม่ให้ขาด ฉันถือโอกาสที่เขาไม่รู้เส้นทางอาสาบอกทางไปโรงพยาบาลให้เขา ฉันจดจำได้แม่นว่าระหว่างทางมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ที่ไหนบ้าง จึงออกอุบายให้เขาไปตามเส้นทางนั้น เขาเลาะเลี้ยวไปตามที่ฉันบอกโดยไม่ทันสงสัย
ในขณะที่ซ้อนท้าย ฉันตบไหล่เขาพลางพูดกับเขาด้วยความเมตตา
“ขอบคุณที่ไว้ชีวิตเรา นายอย่าไปทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนอีกนะ นายเป็นคนดีมากที่มาส่งเราขอบคุณนายมากจริง ๆ”
เขาชะลอรถลงเมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าไปยังเขตโรงพยาบาลและมองเห็น รปภ.อยู่ลิบ ๆ เขาบอกให้ฉันขับรถต่อไปเอง
“นายเอาเงินนี้ไปใช้ต่อชีวิตในวันนี้ก่อนนะ แล้วรีบหนีไปเถอะ” ทันทีที่ฉันยื่นเงินหนึ่งร้อยบาทให้ เขาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นแววตาสำนึกผิดปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจนเขาก้มกราบเท้าฉันก่อนจะวิ่งหนีไป
ฉันพยุงร่างอาบเลือดของตัวเองไปหาหมอ ทั้งหมอและพยาบาลต่างตกใจว่าฉันเอาตัวรอดมาได้อย่างไร โชคยังดีที่มีดเล่มนั้นกรีดลงลึกถึงแค่ชั้นไขมันทำให้ฉันรอดตายมาได้ ส่วนโจรคนนั้น…แน่นอนฉันไม่มีทางปล่อยเขาไป ภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่มัดตัวเขาได้อย่างแน่นหนา ทำให้ตำรวจสามารถจับเขาได้ในเย็นวันนั้นเอง
เวลานี้สภาพจิตใจฉันเข้มแข็งขึ้นมากแล้ว เป็นเพราะกำลังใจที่ฉันมอบให้กับตัวเองอยู่เสมอ รวมถึงกำลังใจจากครอบครัวที่ทำให้แผลทางกายไม่สร้างรอยลึกลงไปถึงข้างในใจ ฉันได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายในชั้นเรียนอาชญวิทยาในมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้น้อง ๆ รุ่นต่อไป
ฉันไม่แน่ใจนักว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะกรรมที่ฉันเคยทำร้ายเขามาก่อนหรือไม่ แต่ในตอนนี้ฉันอโหสิกรรมให้โจรผู้นั้นทั้งหมดแล้ว
เหตุการณ์วันนั้นได้ให้บทเรียนมากมายกับฉันและครอบครัว ซึ่งฉันอยากส่งต่อให้กับใครก็ตามที่กำลังท้อถอย มีชีวิตย่ำแย่ตกงาน ธุรกิจล้มละลาย หรือเจ็บป่วยว่าท้อได้แต่อย่าถอยเป็นอันขาด ที่สำคัญที่สุดคือ อย่าคิดสั้น เพราะชีวิตเรามีคุณค่ามากเกินกว่าที่เราคิด
ท้ายที่สุดแล้วประสบการณ์เฉียดตายครั้งนั้นทำให้ฉันได้รู้ว่า…หากมีสติอยู่กับตัวก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น!
ข้อคิดจากพระมหาวีระพันธุ์ ชุติปัญโญ (พระนักเขียนนามปากกา ชุติปัญโญ)
วัดป่าอกาลิโก จังหวัดกาฬสินธุ์
เมื่อใดที่เราเจอเรื่องร้าย ๆ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ส่งผลต่อชีวิตในด้านลบสิ่งสำคัญที่เราจะต้องนำมาใช้เพื่อแก้ไขสถานการณ์นั้น ๆ ให้ผ่านไปได้ด้วยดีคือ “ใจที่มีสติ”ซึ่งเป็นใจที่พร้อมจะระลึกรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรและจะผ่านมันไปได้อย่างไร
เมื่อใจเราดีและสติของเราทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ การมองสิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเหมือนกับเราได้ตั้งหลักอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เพราะใจที่มีสติคอยนำทางจะทำให้เราไม่รู้สึกตกใจตื่นจนกลายเป็นความหวาดกลัวเมื่อเจอปัญหา แต่จะช่วยปรับเปลี่ยนเรื่องร้ายให้คลายตัวลง ทำให้เรากล้าที่จะเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างผู้รู้จักระวังและสงบเย็นได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย
“ไม่มีอะไรร้ายในวันที่ใจเราดี” เพราะใจที่มีสติครองจะมองทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกที่ทำให้เราฉลาดขึ้น แม้ว่าในความเข้าใจของใครหลายคนอาจมองว่ามันคือความทุกข์ แต่สำหรับบัณฑิตชนย่อมมองเห็นคุณค่าจากปัญหาที่ก่อตัว แล้วเรียนรู้ที่จะสร้างปัญญาเพื่อมอบเป็นของกำนัลให้กับชีวิตได้เสมอ
เรื่อง ณัฐวดี
photo by methodshop on pixabay