คนไข้ ห้อง 4/8
1
ฉันเป็นพยาบาลที่เพิ่งเข้ามาทํางานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ไม่นานนัก ปกติฉันเข้าเวรผลัดเช้าแล้วออกเวรตอนบ่าย แต่จู่ ๆ พี่พยาบาลคนหนึ่งมาขอแลกเวร ให้ฉันเข้าเวรผลัดดึกแทนสักระยะโดยไม่บอกสาเหตุ ฉันไม่ได้เอะใจอะไร ตกปากรับคําด้วยความเต็มใจ
2
ฉันกลับไปอาบน้ําแต่งตัวที่หอพักแล้วเดินมาเข้าเวร คนไข้นอนกันหมดแล้ว ทั้งตึกจึงมีแต่เสียงฝีเท้าของฉัน แต่พอขึ้นบันไดไปชั้น 2
ก็เริ่มได้ยินเสียงแหบพร่าของคนแก่ดังแว่วมาแต่ไกล จึงเดินตามหาเสียงไปท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ เพราะเจ้าหน้าที่เปิดไฟทิ้งไว้เป็นบางดวงพอให้เห็นทางเดินเท่านั้น จนมาถึงหน้าห้อง 4/8 เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ในตอนแรกก็ชัดเจนขึ้น
3
ฉันยืนอยู่หน้าประตู มองลอดช่องเข้าไปเห็นหญิงชราตัวผอมแห้งผมซอยสั้น นอนอยู่บนเตียง ตาลอยพูดกับกําแพงว่า “ฉันอยู่ซอยแบริ่ง”
4
นี่คงเป็นคนไข้ที่พี่ ๆ พยาบาลตั้งชื่อให้ว่าคุณยายแบริ่ง ฉันเปิดประตูแล้วเดินไปนั่งบนเตียงคนไข้อีกเตียงที่ว่างอยู่
5
“ยาย คืนนี้หนูมานอนเป็นเพื่อนยายนะ”
6
“ฉันอยู่ซอยแบริ่ง” ยายตอบ
7
ฉันขยับขึ้นไปกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงพร้อมกับอ่านหนังสือนิยายที่หยิบติดมือมา โดยมีเสียงยายที่พูดซ้ําเดิมว่า ฉันอยู่ซอยแบริ่ง แทรกเข้ามาในโสตประสาทเป็นระยะ ๆ เมื่อเวลาล่วงเลยไป เสียงพูดของยายค่อย ๆ เงียบลง
8
ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก เสียงเข็มนาฬิกาดังขึ้นแทนเสียงพูดของยาย เมื่อเหลือบดูนาฬิกาที่ฝาผนัง ตอนนั้นเป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว ฉันลดหนังสือนิยายลง ค่อย ๆ หันไปมองเพื่อดูว่ายายหลับหรือยัง
9
แล้วฉันก็แทบหยุดหายใจ เพราะใบหน้าแก่ ๆ ของยายถูกซ้อนทับด้วยหน้าขาวซีดของหญิงสาวสวยผมยาวดัดหยิก ปากสีแดง สายตาของเธอดุดันจ้องเขม็งมาที่ฉัน
10
กรี๊ดดดดดด
11
ฉันร้องเสียงดังเพราะตกใจสุดขีด กระเด้งขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนจะขยี้ตาสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติกลับคืนมา เมื่อหันมองหน้ายายอีกครั้งก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ฉันถอนหายใจเบา ๆ บอกตัวเองว่าตาฝาดแน่ ๆ เราต้องตาฝาดไปแน่ ๆ
12
ฉันขยับตัวกลับลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนอีกครั้ง พยายามข่มใจให้หันมาสนใจกับหนังสือตรงหน้า แต่ใจไม่ได้จดจ่ออยู่ที่นิยายอีกแล้ว เพราะคิดถึงแต่ภาพใบหน้าผู้หญิงคนนั้น ในที่สุดความอยากรู้ก็ชนะความกลัว ฉันวางหนังสือลงข้างตัว แล้วค่อย ๆ หันไปมองที่หน้ายายอีกครั้ง และรู้ว่าตัดสินใจผิด
13
ใบหน้าบนเตียงไม่ใช่หน้าของยายแบริ่ง หากถูกซ้อนทับด้วยหน้าผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ดวงตายังคงจ้องเขม็งมาที่ฉันและดูเหมือนจะดุดันกว่าเดิม ม่านตาของเธอค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ปากสีแดงค่อย ๆ ขยับฉีกออก วินาทีนั้นกายฉันเย็นวาบ รู้สึกชา หูอื้อไปหมด สมองสั่งให้คิดหาวิธีทําให้สิ่งที่เห็นตรงหน้าหายไป แต่ร่างกายกับสติไม่ตอบสนองต่อการสั่งงาน ฉันชะงักอยู่อย่างนั้นเป็นนาที ก่อนคิดได้ว่าต้องสวดมนต์ จึงประนมมือขึ้น สูดหายใจเรียกสติ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีหลับตาแล้วเริ่มท่อง
14
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” ความคิดตอนนั้นคือทําอย่างไรก็ได้ให้วิญญาณหายไปให้เร็ว
15
“กลับไปเถอะนะจ๊ะ สัญญาว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ทําบุญไปให้ อย่ามาแบบนี้อีก”
16
ฉันสวดมนต์ไปไม่รู้กี่จบ และไม่รู้ด้วยซ้ําว่าวิญญาณไปแล้วหรือยัง เพราะไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดูจนกระทั่งได้ยินเสียง “ฉันอยู่ซอยแบริ่ง” ของยายดังขึ้น จึงรู้ว่าเหตุการณ์เข้าสู่ปกติแล้ว เมื่อลืมตาขึ้นและหันมามองก็เห็นแต่ยายแบริ่งที่ดูเหมือนจะหลับสนิท
17
ตอนเช้าฉันรีบไปทําบุญให้ดวงวิญญาณตามที่สัญญาไว้ พร้อมกับอธิษฐานจิตให้เธอไปผุดไปเกิด อย่าวนเวียนเป็นผีแบบนี้อีกเลย
18
เมื่อฉันเล่าเหตุการณ์ที่เจอเมื่อคืนให้พยาบาลคนอื่น ๆ ฟัง ทุกคนยิ้มและบอกว่า
19
“เขาอยู่มานานแล้ว ตั้งแต่สร้างตึกใหม่ ๆ เป็นคนงานก่อสร้างผูกคอตาย ทุกคนเคยเจอกันมาแล้วทั้งนั้น นี่คงจะหิวมากจริง ๆ ถึงได้มาแบบนี้”
20
คืนต่อมาฉันต้องเฝ้าไข้ยายแบริ่งอีก เหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นเหมือนฉายหนังซ้ํา เมื่อเสียงยายเงียบลง ใบหน้าเหี่ยวย่นก็กลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้น แต่คืนนี้แววตาเธอดูอ่อนลง เหมือนมาขอบคุณ ฉันยิ้มแล้วพยักหน้าให้
21
“ไปดีเถอะ”
22
สิ้นเสียงของฉัน ใบหน้าของเธอค่อย ๆ หายไป
23
หลังจากวันนั้นไม่มีใครเจอวิญญาณของเธออีกเลย ต้องขอบคุณบทสวดมนต์สั้น ๆ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉันเองหันมาสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนนับแต่นั้นเป็นต้นมา
24
ที่มา : นิตยสาร Secret
เรื่อง : ฐิติพร มาระวัง
Photo by Nevin Ruttanaboonta on Unsplash