หากเอ่ยถึง “คุณแม่คนเก่ง” ในวงการบันเทิงเชื่อว่าต้องมีชื่อของ ตุ๊ก - ชนกวนัน รักชีพ อยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ แน่นอน
หลังจากผ่านพ้นมรสมชีวิตคู่ เธอกลับมาเข้มแข็งและยืนหยัดอย่างมั่นคงเพื่อเป็นเสาหลักให้ลูกน้อยทั้งสองคน (น้องแพรว – เด็กหญิงแพรวพิชชา วัชรคุณและน้องภูมิ – เด็กชายพิชญภูมิ วัชรคุณ) เติบโตขึ้นอย่างมีความสุข
เธอยอมรับว่าจุดหักเหในชีวิตคู่ถือเป็นบทเรียนที่สาหัสที่สุดของหญิงสาวที่มีชีวิตราบเรียบมาตลอด แต่ขณะเดียวกันมันเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เธอเข้าใจชีวิตมากขึ้นและมีทักษะและศิลปะในการรับมือกับความทุกข์ได้ดียิ่งขึ้น
“ทุกวันนี้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มและพร้อมเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตให้เราฟัง
ชีวิตในกรอบ
ตุ๊กคิดว่าชีวิตวัยเด็กของตุ๊กเป็นชีวิตที่อยู่ในกรอบและราบเรียบมาก ครอบครัวของเรามีกันอยู่ 5 คน คือ ป๊า แม่ และลูก3 คน ตุ๊กเป็นพี่สาวคนโต มีน้องสาวและน้องชายอีกสองคน อายุห่างกันคนละ 1 ปีป๊าเลี้ยงดูและปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยให้ลูก ๆ เป็นพิเศษ เราสามคนพี่น้องจึงต้องทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างให้เรียบร้อยและตรงเวลา ป๊ากับแม่ไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวันชีวิตจึงมีแต่เรียน กิน เล่น แล้วก็นอนแต่ก็มีความสุขดี
ตอนตุ๊กอายุ 6 ขวบ ป๊ากับแม่แยกทางกัน แต่ตุ๊กไม่ได้รู้สึกว่าครอบครัวของเราแตกแยก อาจเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กมาก อีกทั้งป๊าก็ให้ภรรยาใหม่รับหน้าที่ดูแลเราสามคนพี่น้อง ซึ่งเมื่อต้องอยู่กับแม่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กก็ทำให้พวกเราสนิทกับท่านมาก ตุ๊กเป็นเด็กคุยเก่งมาก แถมยังกินเก่งเป็นที่สุด เพราะป๊าจะคอยสรรหาของอร่อย ๆ มาให้ลูก ๆ เสมอ ทำให้เราเป็นเด็กที่มีความสุขกับการกินและติดนิสัยนี้มาจนโต ส่วนเรื่องการเรียน ตุ๊กเป็นเด็กที่เรียนดีมาก ช่วงประถมถึงมัธยม ตุ๊กสอบได้ที่ 1 ตลอด จนเป็นที่จดจำของเพื่อน ๆ ว่า “ชนกวนัน คนที่สอบได้ที่หนึ่งไม่เคยได้ที่สอง” ที่เรียนดีขนาดนี้ไม่ใช่เพราะเป็นเด็กขยัน แต่เพราะชอบอ่านหนังสือเรียน ชอบทำแบบฝึกหัดตอนอยู่ในห้องเรียนจึงคุยแหลกเลย เพราะว่าสิ่งที่ครูสอนตุ๊กรู้เรื่องหมดแล้ว
พอโตเป็นวัยรุ่น ที่บ้านยังเลี้ยงแบบอยู่ในกรอบเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร อาจเป็นเพราะเราเป็นเด็กเรียบร้อยอยู่แล้ว เรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตวัยรุ่นก็แค่หนีไปกินไอศกรีมกับเพื่อนหลังเลิกเรียนแล้วแม่จับได้ นี่คือเรื่องที่ทำให้ตุ๊กตัวชาวาบไปทั้งตัวด้วยความกลัวแล้ว นอกเหนือจากนั้นตุ๊กก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้เราเป็นทุกข์ หรือหากไม่สบายใจ ตุ๊กก็มีวิธีดูแลตัวเอง หากิจกรรมโน่นนี่ทำ แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้โดยเร็ว
ส่วนช่วงชีวิตที่ถือว่าสุดเหวี่ยงที่สุดน่าจะเป็นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เพราะได้ออกจากอ้อมอกของครอบครัวมาอยู่หอพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งตุ๊กได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่อิสระของตุ๊กคือการที่ได้หาของกินอร่อย ๆ แถวมหาวิทยาลัยนั่งรถทัวร์จากนครปฐมไปดูหนังที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า ได้ร้องคาราโอเกะกับเพื่อน ๆ หลังเลิกเรียน เท่านั้นเองจริง ๆ เรียกได้ว่าเป็นชีวิตวัยรุ่นที่จืดชืดมาก แต่ตุ๊กกลับมีความสุขมาก
ก้าวสู่เส้นทางนางแบบด้วยตัวเอง
ดูเหมือนว่าเด็กเนิร์ด ๆ อย่างตุ๊กไม่น่าเป็นนางแบบได้ แต่วันหนึ่งของการเรียนปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย ตุ๊กได้เห็นโฆษณาการประกวด “ซิตร้า พอร์เทรท ออฟ บิวตี้”ซึ่งเป็นการเฟ้นหานางแบบหน้าใหม่ผิวดีมาถ่ายแบบลงปกนิตยสาร ดิฉัน อยู่ดี ๆ ก็คิดขึ้นมาว่า
“ฉันต้องไปประกวดให้ได้”
ตุ๊กก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาจเป็นเพราะตอนนั้นชอบอ่านนิตยสาร และทุกครั้งที่เห็นนางแบบสวย ๆ อย่าง พี่อุ๋ม -อาภาศิริ นิติพน พี่แอน - นาตาชา สัจจกุลรู้สึกว่าอยากจะเป็นอย่างพี่ ๆ เขาบ้าง
เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็แอบนั่งรถทัวร์จากนครปฐมไปสยามสแควร์เพื่อสมัครเข้าประกวดโดยไม่ได้บอกใครทั้งสิ้น ทั้งที่ตอนนั้นยังแต่งหน้าแต่งตัวไม่เป็น และในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นมีโมเดลลิ่งมาดูแล แต่ตุ๊กไม่รู้จักคำว่าโมเดลลิ่งด้วยซ้ำ เรียกว่ากล้ามากที่เดินมาสมัครคนเดียว ปรากฏว่าตุ๊กได้เข้าอบ 50 คน แต่ไม่ได้บอกใคร
จนเมื่อเข้ารอบ 15 คนจึงยอมบอกแม่เพราะให้แม่ไปเป็นเพื่อน จำได้ว่าเช้าวันประกวดชุลมุนวุ่นวายมาก เพราะตุ๊กเป็นภูมิแพ้ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่หนึ่งปีจะเป็นเพียงหนึ่งวัน แต่ก็ดันมาเป็นวันประกวดพอดี ทำให้ตาบวม หน้าบวม ต้องรีบแวะหาหมอเพื่อเอายามากินและเอาน้ำแข็งประคบรอให้ยุบ แล้วจึงแต่งหน้าเข้าประกวด ทุกอย่างไม่พร้อมเลยสักนิด แต่สุดท้ายผลการตัดสินในวันนั้นคือ ตุ๊กชนะการประกวด ซึ่งอาจเป็นเพราะเราตัวสูงกว่าใครในการประกวดนี้
หลังชนะการประกวดก็ได้ไปถ่ายแฟชั่นเพื่อลงปกนิตยสาร ดิฉัน ที่ประเทศเคนยาทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด เพราะเป็นการไปต่างประเทศโดยไม่มีครอบครัวไปด้วยเป็นครั้งแรก การไปทำงานครั้งนี้ทำให้รู้ว่าเบื้องหลังการถ่ายภาพในนิตยสารไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานทุกคนต้องทุ่มเทอย่างมากเพื่อให้ผลงานออกมาดี ตอนนั้นเป็นการถ่ายแบบครั้งแรก ตุ๊กยังโพสท่าไม่เป็น ไม่รู้มุมกล้อง ทุกอย่างดูยากไปหมด แต่ก็เก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ในใจและตั้งใจทำให้ดีที่สุด จนพี่ ๆ ทีมงานเอ่ยชมซึ่งไม่ได้ชมว่าสวยนะคะ แต่ชมกันว่า “เป็นเด็กที่อึดมาก”
บทเรียนดี ๆ จากการเป็นนักแสดง
หลังจากนิตยสารเล่มนั้นวางแผง ตุ๊กก็เป็นที่รู้จักในวงการนางแบบ จากนั้นก็ได้ขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นทุกฉบับ แต่ก็ยังไม่ทิ้งการเรียน โดยจะรับงานแค่เสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น ชีวิตส่วนตัวก็เป็นเหมือนเดิมทุกอย่างตุ๊กยังคงเป็นเด็กสาวที่กินเก่ง โหวกเหวกโวยวาย ไม่เคยห่วงสวย ไม่มีจริตใด ๆ และลืมไปว่าคนเริ่มจำหน้าเราได้แล้ว จนเพื่อน ๆเตือนตุ๊กว่า “ตุ๊ก แกช่วยมีฟอร์มนิดหนึ่งเถอะนะ”
เมื่อเป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่น อายุ –ยุวดี ไทยหิรัญ ผู้บริหารค่ายละครยูม่ากำลังมองหานักแสดงหน้าใหม่ จึงเรียกให้ตุ๊กไปแคสติ้ง และได้เล่นละครเรื่องแรกโดยรับบทนางร้ายในเรื่อง ผู้ดีอีสาน พอละครออนแอร์ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าตุ๊กคงเป็นไฮโซมาเล่นละครแน่ ๆเพราะหน้าตาก็แย่ ในเรื่องตุ๊กต้องทำผมหยิกฟู ไม่เข้ากับหน้าเราเลย ที่สำคัญคือแอ๊คติ้งได้แย่มาก ๆ ซึ่งตุ๊กก็รู้ตัวว่ายังทำได้ไม่ดี และตั้งใจจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
การได้เข้ามาทำงานกับค่ายยูม่า เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะ อายุ ดูแลเราเหมือนเป็นลูกหลาน สอนนักแสดงทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องการวางตัว ท่านเน้นให้รู้จักช่วยเหลือทีมงาน ไม่นิ่งดูดาย ต้องเอื้อเฟื้อไปไหนมาไหนต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝากอดทนทำงาน ไม่บ่น ไม่เรื่องมาก เรียกได้ว่านี่คือคาแร็คเตอร์ของเด็กค่ายยูม่าเลยทีเดียว
หลังจากเรียนจบ ตุ๊กรับงานเดินแบบและเล่นละครไปพร้อมกัน บางครั้งก็มีช่วงที่ทำงานหนักและเหนื่อยมาก แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับตุ๊ก เพราะเมื่อเหนื่อย พอได้นอนหลับ ตื่นมาก็หาย และพร้อมลุยงานต่อไม่เคยคิดว่าเหนื่อยมากแล้ว อยากหนีไปไกล ๆไม่เจอใครเลย อาจมีบ้างที่เหนื่อยมาก ๆ แล้วเหวี่ยงนิดหน่อย แต่ส่วนมากเป็นเรื่องเหนื่อยและหิวมากกว่าที่ทำให้งอแงผิดปกติ
ชีวิตของตุ๊กดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนไม่ได้เตรียมใจเลยว่าต่อไปจะต้องเจอบทเรียนชีวิตที่ทำให้ทุกข์ใจที่สุด
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เรื่อง ชนกวนัน รักชีพ เรียบเรียง เชิญพร คงมา ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ ผู้ช่วยช่างภาพ พรพรรษา อรคามิน, ภัณทิลา ทนงคงสวัสดิ์