โชคดีที่ฉันทํางานอยู่สายการบิน ทําให้ได้ท่องเที่ยวไปเกือบทั่วโลก นอกจากจะไปตามเส้นทางที่บริษัทของฉันบินไปแล้ว ยังซื้อทัวร์ไปเองอีกต่างหาก เบ็ดเสร็จนับได้ทั้งหมดเกือบ 50 ประเทศ ซึ่งนับว่ามากเอาการสําหรับคนที่ไม่ได้เป็นแอร์โฮสเตสหรือมีธุรกิจระหว่างประเทศ การเดินทาง
ตอนเข้าทํางานใหม่ๆ ฉันตระเวนไปแต่ประเทศที่ชาวบ้านเขานิยมไปกัน เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ เริ่มจากการซื้อแพ็คเกจทัวร์ไปยุโรป 8 ประเทศ หรือที่เขาเรียกว่า “ชะโงกทัวร์” คือไปให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ได้เห็นอะไรอย่างลึกซึ้ง แบบว่าพอรถหยุดปุ๊บ ไกด์ก็จะต้อนให้ออกไปถ่ายรูป ถ่ายเสร็จก็ต้อนขึ้นรถ แม้จะได้เห็นครบทุกอย่างก็จริง แต่เหนื่อยแทบขาดใจ เพราะต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน แถมยังต้องลากกระเป๋าเอง เพราะโรงแรมแถบยุโรปส่วนมากจะเป็นโรงแรมเล็กๆ ที่ต้องช่วยตัวเอง จําได้แม่นยําว่า พอถึงประเทศที่ 8 คือฝรั่งเศส ฉันถึงกับอาเจียนเลยทีเดียว ! คนอื่นเขาออกไปดูโชว์คาบาเร่ต์ที่มีชื่อเสียง แต่เรากลับต้องนอนซมอยู่ที่โรงแรม ดีหน่อยที่รุ่งขึ้นได้ยาหอมภูมิปัญญาไทย ทําให้มีแรงไปเดินพระราชวังแวร์ซาย ไม่อย่างนั้นคงขาดทุนน่าดู!
เมืองที่ประทับใจที่สุดสําหรับทัวร์ยุโรปครั้งนั้นคือ เวียนนา ประเทศออสเตรีย เป็นเมืองที่โรแมนติกมากๆ โดยเฉพาะการบรรเลงดนตรีคลาสสิกในสวนที่ร่มรื่น อากาศเย็นสบาย นั่งทานอาหารไปฟังเพลงไป แถมยังมีคนเต้นวอลตซ์ให้ดูด้วย เพราะที่นี่เป็นแหล่งกําเนิดของคีตกวีที่มีชื่อเสียงหลายคน น่าเสียดายที่พอจะถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์ของเบโทเฟน กล้องก็เกิดถ่านหมดและหาซื้อไม่ได้ เลยตั้งใจไว้ว่าจะต้องกลับมาอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ไปอีกเลย
อีกทริปที่ประทับใจคือทัวร์อเมริกาทั้งด้านตะวันตกและตะวันออก ได้เห็นตั้งแต่ความอลังการของน้ําตกไนแอการา จนถึงความมหัศจรรย์ของแกรนด์แคนยอน เราไปกันทั้งครอบครัว ครั้งแรกเช่ารถนอน (Motor Home) ที่ม่ีรถสําหรับใส่กระเป๋าเดินทางพ่วงไปด้วย แล้วก็ขับตระเวนกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ค่ำไหนนอนนั่น อีกครั้งก็เช่ารถเก๋งขับไปแวะนอนตามโรงแรมต่างๆ บางครั้งหาโรงแรมไม่เจอ ทุลักทุเลเอาการ แต่ก็เป็นการผจญภัยที่ได้รสชาติไปอีกแบบ
ต่อมาฉันเริ่มเบื่อก่ับการไปหลายๆ แห่งในทริปเดียว เพราะเหนื่อยมากกว่าสนุก เลยเปลี่ยนเป็นแบบไปอยู่ที่เดียวแต่นานหน่อย ซึ่งมักเป็นการตามสามีที่เป็นลูกเรือไปเที่ยวเวลาที่เขามีไฟลต์ซึ่งต้องไปค้างหลายวัน น่าเสียดายที่หลังๆ บริษัทของฉันมีนโยบายประหยัด ทําให้ไม่ค่อยมีเที่ยวบินที่ลูกเรือจะได้ไปค้างหลายวัน หรือถ้ามีก็เป็นที่ท่ี่เคยไปมาแล้ว เลยไม่ค่อยตามสามีไปเหมือนแต่ก่อน …นับว่าเป็นโชคดีของเขา !
แต่พอลองนึกย้อนถึง การเดินทาง ทั้งหมด ก็ต้องแปลกใจว่า ที่ฉันประทับใจจริงๆ กลับไม่ใช่สถานที่ที่สวยงามเหมือนสวรรค์ เช่น ที่สวิตเซอร์แลนด์ หรือนิวซีแลนด์ ไม่ใช่การได้เดินดูสินค้าแบรนด์เนมที่ฝรั่งเศส ไม่ใช่การได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมโบราณของอิตาลี สเปน หรือรัสเซีย ไม่ใช่การได้โหมซื้อของดีราคาถูกอย่างเหลือเชื่อที่ปักกิ่ง หรือไม่ใช่การได้เห็นภาพวัวมากมายและคนแบกศพที่เดินเคียงคู่กับรถยนต์ที่อินเดีย ซึ่งคงไม่ได้เห็นที่ไหนอีกแล้ว แต่กลับเป็นความประทับใจที่เกิดจากการได้สัมผัสความสงบของธรรมชาติทั้งที่เมืองไทยและต่างประเทศ…เป็นความสงบงามที่ยังประทับอยู่ในความทรงจําจนถึงเดี๋ยวนี้
ในเมืองไทยคือที่อุทยานนกน้ำคูขุด หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลสาบสงขลา อําเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ที่นี่น้ำในทะเลสาบนิ่งสนิทเหมือนกระจก จะกระเพื่อมน้อยๆ ก็เฉพาะเวลาที่เรือแหวกเข้าไปตามแมกไม้เท่านั้น บรรยากาศเงียบสงบมากจนได้ยินแต่เสียงเรือที่กระทบผิวน้ำ และเสียงกระพือปีกของนกที่นานๆ จะส่งเสียงร้องสักครั้งหนึ่ง
ส่วนที่ต่างประเทศคือที่สวนสัตว์เปิด พิลาเนสเบิร์ก (Pilanesberg) ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ที่ประทับใจคือตอนที่เดินเข้าไปยังบริเวณซึ่งเขาจัดไว้ให้ดูสัตว์ ซึ่งทําเป็นทางเดินลึกเข้าไปในหนองน้ำ เราต้องจอดรถไว้ด้านหน้าแล้วเดินเข้าไปเงียบๆ เพื่อไม่ให้รบกวนสัตว์ที่ไปหากินแถวนั้น ตามทางเดินจะเห็นฝูงกวางก้มลงกินน้ำ และพอเดินไปถึงศาลากลางบึงก็จะเห็นฝูงยีราฟยืนอยู่ไกลๆ น้ำในบึงที่นั่นใสแจ๋วจนมองเห็นเต่าตัวเล็กว่ายไปมา นกป่าเกาะตามต้นไม้อย่างสบายใจ ดูมีอิสรเสรี มันคงมองไม่เห็นพวกเราเพราะเขาทําทางเดินและศาลาซ่อนไว้แบบมิดชิด
ในเวลานั้นฉันนั่งลงและหันดูรอบตัว…ทุกอย่างเงียบสงบ…เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของตัวเอง น้ำในบึงนิ่งสนิท มองดูเหมือนภาพวาด ฉันลองจินตนาการว่า ถ้าได้นั่งอยู่ที่น่ี่คนเดียวสักชั่วโมงจะมีความสุขขนาดไหน มันเหมือนฉันไดัหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของธรรมชาติที่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่มีการปรุงแต่ง ไร้ซึ่งมารยาใดๆ ฉันหลับตาลงและสูดลมหายใจลึกๆ ช้าๆ…
และแล้ว…ในวันนี้ฉันก็ได้พบว่าฉันไม่จําเป็นต้องดิ้นรนไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ เพื่อแสวงหาความสุขอีกแล้ว เพราะสิ่งที่สร้างความสุขอันแท้จริงให้ฉันคือความสงบนั่นเอง ซึ่งความสงบที่ว่านี้หาได้ไม่ยากจากสถานที่ใกล้ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นวัดเล็กๆ แถวบ้าน…สวนสาธารณะในเวลาที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน…หรือแม้แต่ห้องพระและสวนในบ้านของฉันเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับใจของเรา เพราะถ้าใจไม่สงบหรือเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แม้จะอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากโลกภายนอกก็คงไม่อาจเกิดความสุขใจขึ้นมาได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าใจสงบก็สามารถหาความสุขได้จากสถานที่และสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยที่ไม่ต้องสร้างความยุ่งยากหรือเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
เมื่อค้นพบแล้วว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ฉันก็เริ่มต้นทําสิ่งแวดล้อมที่บ้านให้มีระเบียบ สวยงาม น่าอยู่ … ดูแลทุกคนและทุกชีวิตในบ้านให้มีความสุข ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะลูกของแม่ แม่ของลูก ภรรยาของสามี เจ้านายของสาวใช้และสัตว์เลี้ยงให้ดีที่สุด พยายามปล่อยวางเรื่องที่ทําให้เสียใจในอดีต และเลิกวิตกกังวลถึงอนาคต ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากให้มากที่สุดโดยไม่หวังอะไรตอบแทน และไม่ลืมที่จะเตือนตัวเองให้พร้อมรับมือกับความสูญเสีย หรือความเปลี่ยนแปลงที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนเป็นธรรมดา
แต่ที่ชอบมากที่สุดคือการได้นั่งอ่านหนังสือที่ให้แง่คิดดีๆ เช่น Secret หรือหนังสือธรรมะ ในสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากชนิดที่ฉันดูแลเอง…ได้ยินนกบนต้นปีบร้องจิ๊บๆ…ได้กลิ่นหอมของดอกโมกที่อยู่ริมบ่อปลาโชยมาอ่อนๆ…เสียงลูกและสามีคุยกันดังแว่วๆ…
ฉันก้มลงกอดเจ้า “น้องเล็ก” หมาน้อยตัวโปรดที่ขึ้นมาซุกตัวอยู่บนตักด้วยความสุขใจเป็นที่สุด…
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ทิพถวิล
บทความน่าสนใจ
“อานาปานสติ” กรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ
ความสงบ บทความธรรมะโดย พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)